ความคิดเห็นที่ 1 ขอถามคำถามกลับว่า รู้ได้อย่างไรว่าแนวโน้มตลาดปีหน้าจะ down ? สำหรับผม ถ้าหุ้นที่ผมถืออยู่พื้นฐานไม่เปลี่ยน (คำว่าพื้นฐานไม่เปลี่ยนคือ กิจการยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างปกติ) และผลประกอบการคงที่หรือดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และสามารถปันผลได้เท่าเดิมหรือมากขึ้น ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องขายหุ้นทิ้ง กรณีถ้าราคาหุ้นลดต่ำลง(ถึงจุดที่ผมพอใจ) ผมก็จะ "ซื้อเพิ่ม" คำว่าซื้อเพิ่มนี้ ไม่ใช่เพื่อถัวต้นทุนให้ต่ำลง เพราะราคาหุ้นที่ผมซื้อเพิ่มใหม่นั้น อาจจะสูงกว่าราคาทุนเก่าก็เป็นได้ แต่เพราะผมมองแล้วว่า ราคา ณ จุดนั้นผมพอใจที่จะซื้อ และ mr.market ลดราคาหุ้นตัวนั้น เทียบกับมูลค่าพื้นฐาน ได้ต่ำเกินไป...ครับผม อิอิอิ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 53 15:27:22 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:25:45

ความคิดเห็นที่ 2 หากท่านวิเคราะห์ว่า แนวโน้มตลาดปีหน้าจะ down ท่านจะล้างปอดก่อน เพื่อรอเข้าใหม่ ตอบ.....ถ้าวิแคะได้แบบนั้นจริงๆ  คงแค่ลดพอร์ตไม่ถึงกับล้าง รอดูมันลง  จนแน่ใจก่อน ตอบ....ถ้ารู้  คงไม่มีใครต้องรอให้มันลงหรอกครับ  555  ปัญหามันคือไม่มีใครรู้  ขนาดมืออาชีพนักวิแคะยังผิดยังปรับเป้าตลอด.....  จังหวะที่มันลงน่าจะเป็นจังหวะที่เอาเงินจากการที่ปรับพอร์ตหรือเงินอื่นๆมาเข้าซื้อของถูกมากกว่า หรือ.. ไม่ทำอะไร เพราะพื้นฐานไม่เปลี่ยน  แม้ปัจจัยภายนอกได้แก่ ศก.โลก ,การเมือง จะสุ่มเสี่ยง ตอบ......ถ้า VI แท้ๆ  ก็น่าจะทำแบบนั้น  แต่ก็อาจมีทำบ้างคือซื้อเพิ่มตอนมันลดราคาลงไง  อิอิ จากคุณ : satan@เต้ย เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:27:49

ความคิดเห็นที่ 3 ถามเหมือนกัน..... ชาว  vi   เฝ้าหน้าจอ....ไม่เบื่อหรือไง ?   (เพราะพวกท่าน  นาน นานอาวที.....ที หนึ่ง  อาว  นาน  นาน) ส่วนพวก vs   เนี่ยมันขยันเข้าซอย.....  ขออภัยเหมือนกัน.....ถ้าไม่สุภาพ....อิ  อิ จากคุณ : notsugar เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:28:25

ความคิดเห็นที่ 4 ความคิดเห็นที่ 1     ขอถามคำถามกลับว่า รู้ได้อย่างไรว่าแนวโน้มตลาดปีหน้าจะ down ? ------------------------------------------------------ วิเคราะห์เอง  อาจถูกหรือผิดก็ได้ การตัดสินใจจึงแยกออกเป็น3อย่าง..ทันที,รอให้แนใจ,อยู่เฉยๆ จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:29:56

ความคิดเห็นที่ 5 ลองตอบดู ผมไม่ใช่ชาววีไอ ผมเป็นชาวบ้าน VI ไม่ชอบคาดการแนวโน้ม เพราะเชื่อว่าไม่มีใครรู้ล่วงหน้า VI ไม่น่าล้างปอด ตราบใดที่กิจการหุ้นที่ถืออยู่ยังดี และราคาหุ้นไม่ได้แพงเว่อร์ หากขายหุ้นไป ก็มักจะเปลี่ยนไปซื้อหุ้นตัวที่คิดว่าจะดีกว่า ราคายังถูกกว่า ดังนั้น โอกาสVI ล้างปอดมีน้อยมากๆ คำจำกัดความVI   ตรงๆไม่อ้อมค้อม  การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นซื้อสิ่งที่มีคุณค่า มีมูลค่า ในราคาที่เหมาะสม ยิ่งถูกยิ่งดี การขายหุ้นก็ตรงกันข้าม เมื่อสิ่งนั้นหมดค่า หรือเมื่อมีใครมาให้ราคาจนเกินมูลค่านั้นไปมาก จากคุณ : อมหุ้นแล้วยิ้ม เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:30:54

ความคิดเห็นที่ 6 ชาว  vi   เฝ้าหน้าจอ....ไม่เบื่อหรือไง ?   ตอบ ไม่เบื่อครับ เพราะผมทำงานไปด้วย (แอบ)เข้าห้องสินธรไปด้วย อิอิอิ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 53 15:39:13 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:31:09

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ได้เป็น VI เสียด้วยสิ แต่ขอตอบในฐานะเป็น DI ได้ป่ะ (เพิ่งตั้งสดๆ เมื่อกี้ DI = Dividend Investor) จากประสบชะตากรรมส่วนตัวตั้งแต่ลงทุนมาเมื่อเดือน มีนาคม 2553 นี้ พบปัจจัยภายนอกที่ส่งผลให้หุ้นที่ทั้งขึ้นและลง สิ่งที่ประสบเจอคือ ในช่วงเลวร้าย หุ้นหลายตัวตกกราวรูด แต่ก็จะมีหลายตัวที่เป็นเด็กสวน และช่วงที่หุ้นขึ้นสวรรค์ ก็ยังมีหุ้นบางตัวที่ตกนรก ผมเชื่อว่า ถ้าหากปัจจัยภายนอกไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ แม้ฝนจะตกแดดจะออก ก็ไม่มีผลต่อพื้นฐานของการทำกำไรของบริษัท ราคาหุ้นก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีสาระสำคัญ จึงควรถือต่อไป เพื่อเก็บกินเงินปันผลครับ เป็นลิง : รอ VI ตัวจริงเสียงจริงมาตอบด้วยครับ อยากรู้วิธีคิด จากคุณ : เตร็ดเตร่ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:32:25

ความคิดเห็นที่ 8 ^ กว่าจิ้มพิมพ์เสร็จ ข้างบนมีความเห็นดีๆแล้ว เรื่องเฝ้าจอ คงท่องเวบดูอย่างอื่นมากกว่าreal time ส่วนหุ้นเมื่อล๊อคเป้าหมาย ราคาลงมาย่านซื้อ ช่วงนั้นอาจเฝ้าจอถี่หน่อย แต่ปกติ ไม่ดูก็ได้ มีธุระไปเที่ยวไปได้เลย แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 53 15:36:44 จากคุณ : อมหุ้นแล้วยิ้ม เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:32:34

ความคิดเห็นที่ 9 ที่ถามเพราะ เต็มปอดตลอด เวลาหุ้นตก ก็ไม่มีโอกาสเก็บของเพิ่มหรือช็อต จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:33:20

ความคิดเห็นที่ 10 ปัจจัยภายนอกไม่สามารถควบคุมได้   ดังนั้น ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน ก็ไม่ขายคับ จากคุณ : ขงเบ้งพเนจร เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:34:58

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 8     ^ กว่าจิ้มพิมพ์เสร็จ ข้างบนมีความเห็นดีๆแล้ว จากคุณ : อมหุ้นแล้วยิ้ม   เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:32:34   --------------------------------------------------------- มาช่วยกันแชร์ความเห็นได้ค่ะ จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:36:22

ความคิดเห็นที่ 12 อมหุ้นแล้วยิ้ม นั่นนะสิ จากคุณ : เตร็ดเตร่ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:36:32

ความคิดเห็นที่ 13 ผมว่า VI หลาย ๆ ท่าน เฝ้า บอร์ด เฝ้าบล๊อค มากกว่า เฝ้าหน้าจอดูราคาเยอะนะครับ หาข้อมูลใหม่เรื่อย ๆ ไม่ก็ทำงานของท่านที่ต้องทำไป แบบสบายใจได้เลย อย่างผม ส่วนใหญ่ ดูราคาหุ้น 2 ครั้ง ตอนปิดภาคเช้า และปิดตอนเย็น จบข่าว ถ้าว่างหน่อย ดูตอนใกล้ตลาดปิด ดูความโกลาหล พอเป็นพิธี แต่ถ้ามาร์โทรมาบอก ว่า ไม่ดีแล้ว ก้อาจจะเข้ามาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ปีนี้ ผมซื้อขายยังไม่ถึง 10 ครั้งเลย เหอ ๆ ย้อนกลับไปสมัยเล่นหุ้นใหม่ ๆ ดูราคาบ่อยเหมือนกัน แต่หลัง ๆ ตระหนักได้ว่า มันเปล่าประโยชน์ เราไม่ไ้ด้เน้น ซื้อขายบ่อย ซะหน่อย จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:38:19

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 9 ที่ถามเพราะ เต็มปอดตลอด เวลาหุ้นตก ก็ไม่มีโอกาสเก็บของเพิ่มหรือช็อต จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:33:20 สำหรับผมนะ ถ้ามีเงินเติมพอร์ตได้ จะเติม ถ้าไม่มีเงินเติมพอร์ต จะวิแคะว่าตัวไหนถึงที่สุด (ประเภทเงินปันผลก็จ่ายน้อย ราคาก็ไม่ขยับ) ก็ขายทิ้ง เพื่อเอาไปลงตัวอื่นแทน จากคุณ : เตร็ดเตร่ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:42:02

ความคิดเห็นที่ 15 ที่ถามเพราะ เต็มปอดตลอด เวลาหุ้นตก ก็ไม่มีโอกาสเก็บของเพิ่มหรือช็อต จากคุณ : WTKn   ^ ไม่มีใครได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือได้ตลอด เงินก็เหมือนกระแสน้ำใหญ่ จะตักตวงได้แค่ไหน แล้วที่เต็มปอดนะ หากแน่ใจว่าของเราดี เรามีเงินเต็มที่แค่นี้ อย่าไปกังวลกับส่วนที่ไม่ใช่ของของเราเลยครับ แสดงว่า เจ้าของกระทู้ยังมีทัศนคติแบบเก็งกำไรอยู่   หากทนได้นานๆไป ไม่เลิกแนวทางนี้ เดี๋ยวตกผลึกเองครับ จากคุณ : อมหุ้นแล้วยิ้ม เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:43:01

ความคิดเห็นที่ 16 ...แทบไม่สนใจราคาแล้วว่าจะถูกหรือแพง... ...สนใจแค่ว่าซื้อมาแล้ว "คุ้มหรือไม่คุ้ม"... ...ป.ล.ผมถือหุ้นตัวเดียวในพอร์ตตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้ กำไร 58% ผมพอใจและมองว่าคุ้มแล้วสำหรับผม...ถ้าอยากซื้ออีกก็ต้องดุว่า มัน "คุ้มค่าพอจะซื้อหรือไม่?"....หุ้นเต็มตลาด เลือกดี ๆ มาสักตัวสองตัวแล้วเก็บเกี่ยวประโยชน์จากมันดีกว่าครับ... จากคุณ : gunpen2010 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 15:54:22

ความคิดเห็นที่ 17 เท่าที่ทราบ VI ดั้งเดิม ไม่สน index นะครับ และ vi ดั้งเดิม ไม่เฝ้าจอด้วย เค้าเฝ้ารอดูงบซะมากกว่าครับ ... และเท่าที่ทราบ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ซักกะข้อ T^T จากคุณ : กาลครั้งหนึ่งบนดวงดาวสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:02:44

ความคิดเห็นที่ 18 เคยอ่านพี่ๆในthaivi หุ้นในพอร์ทลงแดงไปหลายสิบเปอร์ ยังถือไว้เฉยๆ แสดงว่า VI เขาไม่ได้ดูราคา แต่รอดูการเติบโตที่จะมาถึงมากกว่า.... จากคุณ : alien Flu เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:02:45

ความคิดเห็นที่ 19 เคยไหมครับตอนหุ้นขาลงแต่หุ้นที่เราลงไว้กลับขึ้นสวนทางซะงั้น ถ้าหุ้นขาลงเน้น Defend stock มูลค่าไม่สูงมากปลอดภัย จากคุณ : opar156 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:05:10

ความคิดเห็นที่ 20 VI ชอบเวลาเศรษฐกิจแย่ๆ เพราะเป็นช่วงเวลา Shopping ของชาว VI VI จะขายหุ้นออก หากราคาหุ้นวิ่งเกินปัจจัยพื้นฐาน VI กินปันผล หากบริษัทยังคงดำเนินกิจการที่มีกำไรดีต่อเนื่อง VI ไม่สนใจว่าดัชนีวันนี้จะปิดสูง หรือปิดต่ำ เพราะ VI ใส่ใจอยู่อย่างเดียวว่าบริษัทที่เขาถือหุ้น จะยังคงดำเนินการได้ดี มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 53 20:44:14 จากคุณ : bigzaa เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:06:42

ความคิดเห็นที่ 21 วันนี้ ทดสอบจิตใจ ว่าจะเป็นVI ต้องทนได้ ..ล้อเล่น เพราะปกติ ก็ไม่ค่อยขายอยู่แล้ว จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:07:17

ความคิดเห็นที่ 22 หัวข้อ VI แต่เข้ามาถาม Trend ของราคาหุ้น งง เลยทีเดียว จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:56:47

ความคิดเห็นที่ 23 ความคิดเห็นที่ 22     หัวข้อ VI แต่เข้ามาถาม Trend ของราคาหุ้น งง เลยทีเดียว จากคุณ : หมึกสด     เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 16:56:47   -----------------------------------------------------------   ไม่เชิงค่ะ  เพียงแต่อยากทราบว่า ถ้าคาดว่าจะมีปัจจัยภายนอกบางอย่าง ส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดรวม ชาวVI จะยังคงนิ่ง เพราะมองว่าพื้นฐานไม่เปลี่ยนรึเปล่า เพราะเห็นบางคนบอกเป็นVI  แต่แนะนำว่าหุ้นลงให้ช็อตค่ะ จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:06:03

ความคิดเห็นที่ 24 ตอบได้โดนหลายคนเลย จากคุณ : Heinz เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:11:54

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 24     ตอบได้โดนหลายคนเลย จากคุณ : Heinz   เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:11:54   -------------------------------------------------- แสดงว่าเป็นVI ช่วยเพิ่มคำตอบโดนๆบ้างก็ได้ค่ะ จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:15:02

ความคิดเห็นที่ 26 ช่างหัวตลาดสิครับ ผมซื้อบริษัท ไม่ได้ซื้อตลาดน่ะ :) ตลาดจะหัวทิ่ม ถ้าบริษัทยังกำไร ก็คงไม่ได้ขายครับ แต่ถ้าตลาดพุ่งเป็นจรวด ถ้าบริษัทมันโชว์ขาดทุน ก็ดีเลย จะได้ขาย ๆ ทิ้งบนดอย แต่ไม่ต้องคิดมากหรอก ซื้อถูก ขายแพง ซื้อแพง ขายแพงกว่า ... ทำให้ได้อย่างนี้ ใครจะเรียก VI จะเรียกเก็งกำไร ... ยังไงก็ได้ทั้งนั้น จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:18:42

ความคิดเห็นที่ 27 แอบตอบบ้าง แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะ ทั้ง Value investor หรือ Momentum investor แต่ประการใด ว่ากันไปตามแนวทางที่ตนเองกำหนดเอาไว้แบบบ้านๆ นะครับ ที่ท่านวิเคราะห์ว่า "แนวโน้มตลาดปีหน้าจะ down" ดูจาก Macro & Micro กับพื้นฐานหุ้นในตลาด ที่ตนเองทำการบ้านอยู่ ส่วนตัวคิดว่า รอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเหลืออีกหนึ่งคลื่นยาวๆ ไม่น่าจะจบแค่ลูกที่ ๕ ส่วนจะมีลูกที่ ๗ หรือไม่ ต้องว่ากันปีหน้า แต่ความเป็นไปได้ก็น้อยเหมือนจบตรงนี้ ดังนั้น พวกหุ้นที่ลงทุนไว้ ตัวไหนปัจจัยไม่เปลี่ยน ผมถือต่อด้วยเหตุผลของตัวเอง และรอซื้อหุ้นดีตัวใหม่เข้าพอร์ต ตอนปรับฐานครั้งที่กำลังจะถึง แล้วกะถือยาวๆ จนสุด ช่วงตลาด bullish market แบบนี้ ก้อกล้าถือยาวๆ เอาให้คุ้มการรอคอยหน่อย ถ้ายืนยันเข้าสู่ช่วง bearish market พอร์ตก้อเข้าสู่สภาพแทบล้างปอดแหละครับ และถ้าเป็นตอน chaotic market หลักการลงทุนก้อจะปรับเปลี่ยนอีกแน่นอนครับ แต่ที่แน่ๆ คือ ลงทุนกับหุ้นที่ดี ไม่เข้าไปเล่นในเกมคนอื่น และซื้อเมื่อจะได้เงินแน่ๆ จากคุณ : tomimoto เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:22:17

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 26 แต่ไม่ต้องคิดมากหรอก ซื้อถูก ขายแพง ซื้อแพง ขายแพงกว่า ... ทำให้ได้อย่างนี้ ใครจะเรียก VI จะเรียกเก็งกำไร ... ยังไงก็ได้ทั้งนั้น จากคุณ : Morning Star   เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:18:42   ------------------------------------------------------------- เราเข้าประเด็นนี้  ประเด็นเดียว จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:24:10

ความคิดเห็นที่ 29 เหตุผลที่ vi ขายหุ้นที่ถืออยู่ 1. พื้นฐานเปลี่ยน บริษัททำกำไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว หรืออนาคตไม่รุ่ง 2. ราคาเต็มมูลค่าแล้ว แต่ต้องฝึกความนิ่งของใจก่อนนะครับ จากคุณ : เปาจืด (ณัฐพุฒิ) เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:25:12

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่รู้ว่า vi แท้ๆเป็นไงแต่เพื่อนๆหลายคนที่ใช้ fundamental analysis ก็ลดพอร์ตไป เยอะล่ะค่ะ ตลาดไม่ดีบริษัทดียังไงก็ต้องลง ยิ่งบริษัทไม่ดียิ่งลงหนักค่ะ มอง top down ยังไม่ค่อยเห็นแง่ดี ตอนนี้มีแต่คนมองแง่ดีสุดๆ 1700บ้าง 1500 บ้าง expectation สูงค่ะ แต่ถ้าเห็นบริษัทไหนราคาลดจนคุ้มค่าความเสี่ยงก็น่าสนนะคะ จากคุณ : WinStar เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:25:43

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณ ทุกความเห็น  ทุกคำตอบ เดือนนี้กิ๊ฟแห้ง ชักหน้าไม่ถึงหลัง แปะโป้งไว้ก่อน เดี๋ยวต้องไปธุระ กลับมามืดๆ แล้วจะมาดูต่อค่ะ จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:44:24

ความคิดเห็นที่ 32 vi เวลาเต็มพอร์ตตลอด แล้วเวลาหุ้นตกหรือที่เห็นว่ามีส่วนลดเยอะๆเนี่ย อยากรู้จังเลยว่าเอาตังที่ไหนมาซื้อในเมื่อถ้าวีไอ มักไม่เก็บเงินสด เพราะบางทีผมเห็นหุ้นลงเยอะๆก็อยากซื้อ แต่มันไม่มีตังให้ซื้อนี่สิ มันกลายเป็นหุ้นตัวแดงๆอยู่ในพอร์ตเต็มไปหมดแล้ว งงกับบางคำตอบมากครับ รบกวนชี้แนะเด็กใหม่ด้วยครับ จากคุณ : modpon เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 17:51:50

ความคิดเห็นที่ 33 เป็นการทำ portfolio management น่ะค่ะคุณ modpon ขายกองหลังไปซื้อกองหน้า ทำนองนั้น vi น่าจะถือกระจายพอสมควรอย่างน้อยน่าจะ3-10 บริษัทค่ะ จากคุณ : WinStar เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 18:48:49

ความคิดเห็นที่ 34 คนเล่นหุ้นไม่ว่าจะ VI หรือไม่ VI ผมว่า 15% น่าจะได้กำไรในระยะยาว ที่เหลืออีก 85% ก็ขาดทุนเปลี่ยนหน้าไปเปลี่ยนหน้ามา สำหรับคน VI ก็มี 15/80% เหมือนกัน  คนในพวก15% จะซื้อได้ราคาต่ำมากจนผลตอบแทนเนื่องจากเงินปันผล มันมีสัดส่วนมากกว่า 10% เขาก็ถือได้ครับ ถือไป10ปีเอาผลตอบแทนมาลงทุนต่อก็มีทรัพย์สินเกือบ 2 เท่าครับ เผลอๆเห็นรอบใหญ่น่าจะลงก็ขายเอา capital gainอีก (ที่กำไรไม่ต่ำกว่า4-5เท่าทีเดียว) ส่วนพวก85%ก็ซื้อเหมือนกันแต่ราคาไม่ต่ำมาก และอดทนไม่ได้ก็ต้องขายขาดทุนไปเมื่อหุ้นตกลงแรง ตอนหุ้นอยู่ที่ระดับต่ำๆนี่มีคนน้อยคนเท่านั้นล่ะครับ ที่คิดว่าเป็นจุดซื้อและเข้าซื้อ ส่วนคนอื่นๆก็จะคิดว่ามันจะลงต่อไป พอมันขึ้นมาก็คิดว่ามันเด้งก็ไม่ซื้ออีก จนมันขึ้นมาได้ระดับนึงจึงซื้อ ซึ่งก็จะเป็นต้นทุนที่แพงแล้วครับ และพอได้กำไรสัก 10-20% ก็ขาย ซื้อขายหลายรอบ จนกำไรที่ได้มาหมดไปกับการซื้อขายช่วงตลาดเริ่มอิ่มตัว (เช่นช่วงเดือนพย-ธคนี้) สุดท้ายอาจจะติดหุ้นอีกเพราะขายตัดขาดทุนไม่เป็น จนเงินจมอยู่ไม่มีโอกาสไปซื้อที่ราคาต่ำๆครับ (แฮ่ๆประสบการณ์ผมเอง) ถ้าใครซื้อขายบ่อยๆลองย้อนหลังไปดูสิครับ ว่าที่ซื้อมาเมื่อเดือน กค ถ้ายังไม่ขายนี่ได้กำไรเท่าไรแล้ว ไม่ต้องตกใจรายวันด้วย แต่มีข้อเสียอย่างนึงคือมันไม่ค่อยมันครับ เวลาว่างเยอะเพราะไม่ได้มาลุ้นรายวัน ฝากไว้ให้คิดครับ ขอให้โชคดีในกรลงทุนครับ จากคุณ : ทองแก เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 20:32:24

ความคิดเห็นที่ 35 แจ๋วไปเลย จากคุณ : แม่น้องอะตอม เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 20:56:46

ความคิดเห็นที่ 36 หากท่านวิเคราะห์ว่า แนวโน้มตลาดปีหน้าจะ up ท่านจะอัดหุ้นให้เติมปอดก่อน เพื่อดักตลาดที่จะขึ้นสูงไปอีก หรือ.. รอดูมันขึ้น  จนแน่ใจก่อน หรือ.. ไม่ทำอะไร เพราะพื้นฐานไม่เปลี่ยน  แม้ปัจจัยภายนอกได้แก่ ศก.โลก, การเมือง จะดูมีแนวโน้มสดใส ผมลองเปลี่ยนคำถามเพื่อลองดูมุมมองตรงข้าม ไม่ได้คิดว่าจะล้อเลียน หากไม่เหมาะสม ก็ขออภัยครับ อยากรู้ว่ามันทำให้ความคิดเราเปลี่ยนหรือเปล่า เดาเอานะครับว่า คงมี value investor หลายคนที่อยู่เฉย ไม่ทำอะไร เพราะเต็มพอร์ตอยู่แล้ว ซึ่งก็จะได้ประโยชน์จากการขึ้นของตลาดอย่างเต็มที่ หรือเพราะวางแผนไว้แล้วว่าจะมีหุ้นเท่าไหร่ เงินสดเท่าไหร่ คงมี value investor หลายคนที่เพิ่ม position ของพอร์ตเพิ่ม ซึ่งเป็นหุ้นมีประมาณการณ์ของรายได้และกำไรของหุ้นในพอร์ตที่ถืออยู่ในใจเรียบร้อยอยู่แล้ว และคิดว่าราคาในปัจจุบันยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงออกมา ครับถ้าคิดว่าจะลง  ก็คงทำตรงกันข้าม อยู่เฉยๆ หรือลด position ของพอร์ตลง ในหุ้นที่คิดว่าราคาในปัจจุบันยังสูงขึ้นมามากเกินมูลค่าที่แท้จริงแล้ว อันที่จริง การคาดการณ์ตลาด เป็นเรื่องยากมากๆ เรื่องนึง ตัวอย่างที่ใกล้ตัวก็คือ เมื่อต้นปี ใครจะคิดว่า SET จะมาถึงพันจุดบ้างครับ แน่ละครับถ้าเศรษฐกิจซบเซา โดยรวมก็คงต้องโดนไปหมด ราคาอาจจะตกไปมากตามอารมณ์ของนายตลาด หากพื้นฐานไม่ได้เสียไป ยังทำรายได้และกำไร ได้ดีเท่าเดิม ก็มักจะฟื้นได้เร็วกว่า ดีไม่ดีวิ่งไปได้ไกลกว่าก่อนลงด้วยซ้ำ เราก็จะหาประโยชน์จากอารมณ์ของนายตลาดในช่วงนี้ด้วยการซื้อเพิ่ม แต่ถ้าตังหมด ก็อยู่เฉยๆ การหาหุ้นที่ราคายังไม่เต็มมูลค่า เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าจะตลาดจะเป็นอย่างไร เจอตอนไหน ผมคิดเอาเองว่า vi ก็ลงทุนตอนนั้น เจอตอนตลาดอารมณ์ดี และหากไม่ลงทุนในหุ้นที่เราเจอตอนนั้น อาจจะไม่ได้เจอในราคานั้นอีกแล้วก็ได้ เจอตอนตลาดอารมณ์ไม่ดี ก็ยิ่งดีใหญ่ จะได้ซื้อของเพิ่มในราคาถูกลงไปอีก มั๊ยครับ ปล วันนี้เปิดดูราคา S&P อีกทีครับ ถ้าเมื่อ สี่ปีที่แล้ว ตอนที่ซื้อมาประมาณยี่สิบปลายๆ ไม่เบื่อราคาที่ไม่วิ่ง แล้วปล่อยทิ้งออกไป ถ้าถืออยู่ถึงวันนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ราคาก็จะเป็นสองเท่ากว่า รวมปันผลอีกนิดหน่อย คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ ยี่สิบเปอร์เซนต์ทบต้น ก็แล้วแต่นะครับ ส่วนตัวผมว่าผมพอใจแล้วกับผลตอบแทนขนาดนี้ แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 53 07:04:16 แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 53 21:26:48 จากคุณ : gongort2 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 21:16:44

ความคิดเห็นที่ 37 VI = ลงทุนระยะยาว ถ้าเทียบหุ้นของ VI เหมือนกับบ้าน ผมขอถามว่า ถ้าคุณซื้อบ้านมา 10ล้าน แล้วปีหน้ามีแนวโน้มว่าบ้านจะราคาตกลง 30% คุณจะขายบ้านหลังเก่า ไปซื้อบ้านหลังใหม่รึเปล่า? หรือคุณจะอยู่เฉยๆ เพราะตัวเองมีบ้านแล้ว หรือคุณจะกันเงินส่วนนึงมาซื้อ บ้าน หรือคอนโดเพิ่ม? บางทีเทียบกับหุ้น สภาพคล่องอาจจะเยอะไป ทำให้อยากซื้อ อยากขาย แต่ถ้าเทียบเป็นอสังหา หรือ บ้านที่สภาพคล่องต่ำ อาจจะทำให้คิดถึงการลงทุนระยะยาวมากกว่า --------------- แล้ว VI ปกติก้ไม่เฝ้าจอ ไม่สน index ครับ ขอแค่ราคาหุ้นที่จะซื้อ ต่ำกว่ามูลค่า ก็พร้อม key ซื้อเสมอ key เสร็จก็ปิดจอ แล้วก็นั่งอ่านข่าว หรือศึกษาบริษัทเพิ่มเติม จากคุณ : KC_CRUSH เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 21:31:22

ความคิดเห็นที่ 38 เข้ามาตอบ คห.25 ครับ ^_^ อ้างอิงจากท่าน อ.นิเวศน์ แล้วอธิบายตามความเข้าใจของผมนะ VI เริ่มต้น จากจุดเดียวกัน แต่ตอนนี้ได้แตกแขนงออกไปมากมาย 1. แบบ เบนจามิน เกรแฮม การลงทุนอย่างปลอดภัย หรือ Margin of Safety ราคาหุ้นที่สามารถเข้าซื้อได้โดยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ดูตัวเลข ต่ำกว่ามูลค่า มี MOS เยอะๆ  แล้วจะเปลี่ยนตัวหรือขายเมื่อ MOS เหลือน้อย หรือเกินมูลค่าแล้ว 2. แบบ วอเรน บัฟเฟตต์ ดูพื้นฐาน ประยุกต์เพิ่มด้วยคุณภาพของบริษัท แบบ Super Stock โดยมั่นใจได้ว่า ธุรกิจจะทำกำไรได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จากนั้นก็ลงทุนระยะยาว ซื้อสะสมเรื่อยๆ เหมือนเป็นเจ้าของกิจการด้วย แต่อาจมีการขายออกมา ถ้าธุรกิจพลิกผันไปในทางที่เลวร้าย หรือ พื้นฐานเปลี่ยน (อ.นิเวศน์ ก็น่าจะแนวนี้ ถ้าพื้นฐานดี ยิ่งลงยิ่งสะสม ไม่ค่อยขาย ซื้อหุ้นเหมือนซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจ) 3 แบบ ปีเตอร์ ลินช์ เพิ่มการแบ่งกลุ่มบริษัทให้ละเอียดขึ้นเป็น 6 กลุ่ม 3.1  หุ้นโตช้า ตะวันตกดิน ซึ่งเขาบอกว่าไม่น่าสนใจลงทุน 3.2  หุ้นแข็งแกร่ง Blue Chip หุ้นเหล่านี้จะโตไม่มากแล้ว  ต้องเน้นปันผลในอัตราที่ดีจึงจะน่าสนใจที่ลงทุน 3.3  หุ้นโตเร็ว แต่กิจการยังไม่เข้มเข็งมาก (แนวนี้แหละ ถ้ามองไปข้างหน้าขาด ก็รวย ถ้าโตเรื่อยๆ จะกลายเป็นSuper Stock ถ้าโตแล้วอิ่มจะกลายเป็น Blup Ship ถ้าโตแล้ว ทรุดจะกลายเป็น ตะวันตกดิน) 3.4 หุ้นวัฏจักร เล่นตามรอบ 3.5 หุ้นฟื้นตัว เล่นตอนฟื้น 3.6 หุ้นกลุ่มทรัพย์สินมาก ซื้อเพราะปลอดภัย ปันผลมั่นคง (แนวปีเตอร์ ลินช์ นี้ก็คง ซื้อ ขาย ตามรอบของหุ้นแต่ละประเภทครับ) 4. แล้วก็คงมีแนวประยุกต์อื่นๆอีก ผมชอบแนว Super Stock ชอบธุจกิจแกร่ง เข้าใจง่าย พร้อมโตไปกับ บริษัท   ดังนั้น ลงแล้วซื้อเก็บครับ เพราะไม่รู้ขายแล้ว มันจะลงให้ซื้อได้ต่ำกว่าจริงหรือ สรุปว่า จังหวะซื้อ-ขาย-สะสม ของ VI แต่ละคน ก็ขึ้นอยู่กับ แนวทางและ ประเภทหุ้นของตัวเอง ที่มีอยู่ครับ เพิ่มเติม ทฤษฎี VI โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตอน 1 http://www.thaivi.com/2009/09/48/ ตอน 2 http://www.thaivi.com/2009/09/63/ ตอน 3 http://www.thaivi.com/2009/10/71/ จากคุณ : Heinz เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 21:59:03

ความคิดเห็นที่ 39 กว่าจะรู้ ก็เกิดขึ้นแล้ว... ผมคงทำได้แค่คาดเดา ...แล้วก็ไม่รู้ว่าที่คาดเดาจะเป็นจริงหรือไม่... ทำอะไรไม่ถูก ก็คงเฉยๆไว้ครับ ^^" จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 22:29:41

ความคิดเห็นที่ 40 ถามตอนนี้คงไม่ได้ประโยชน์อะไร  เพราะตอนนี้ หุ้นวิ่งจาก 400 มา 1000  ใครๆก็รวยกันทั่วหน้า  มองเห็นแต่ ดอกบัว จากคุณ : เกรซอยากรวย เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 22:34:25

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้ารู้ว่ามันจะลง 100%  ถ้าผมเป็น VI จริงคงจะขายหุ้นไป S Tfex 555+ เพราะ ถ้ารู้ว่ามันจะลง 100% ผมก็ถือว่ามันเป็นการลงทุนนะ แหะๆ ปล. ถ้ามันจะลง 100% นะ แต่ปัญหาคือมันไม่ใครรู้ได้แน่นอนน่ะสิ   ดังนั้นไปวิเคราะห์งบบริษัทดีกว่า อันนี้คาดการณ์ง่ายกว่าเย้อ... จากคุณ : ภูมิทัศน์ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 22:38:47

ความคิดเห็นที่ 43 ความคิดเห็นที่ 38     เข้ามาตอบ คห.25 ครับ ^_^ จากคุณ : Heinz   เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 21:59:03 ------------------------------------------------ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 01:46:57

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาขอบคุณ... คุณ คนจนที่อยากรวย คุณ satan@เต้ย คุณ notsugar คุณ อมหุ้นแล้วยิ้ม คุณ เตร็ดเตร่ คุณ ขงเบ้งพเนจร คุณ Grand Marshal1 คุณ gunpen2010 คุณ กาลครั้งหนึ่งบนดวงดาวสีน้ำเงิน คุณ alien Flu คุณ opar156 คุณ bigzaa คุณ หมึกสด คุณ Heinz คุณ Morning Star คุณ tomimoto   คุณ เปาจืด (ณัฐพุฒิ) คุณ WinStar คุณ modpon คุณ ทองแก คุณ แม่น้องอะตอม คุณ gongort2 คุณ KC_CRUSH คุณ มิ่งกลิ้ง คุณ เกรซอยากรวย คุณ ภูมิทัศน์ คุณ happy dog,คุณ  boozy bird, คุณ luangrit, คุณ Heinz, คุณ wancha ,คุณ อ้วนie, คุณ ก็แค่ช่างตัวเล็กๆคนนึง, คุณ bigzaa, คุณ endophine, คุณ โดม111, คุณ fee, คุณ wormonline, คุณ pockdik, คุณ gunpen2010, คุณ K'DUS จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 02:34:21

ความคิดเห็นที่ 45 ผมลงทุนภายใต้สมมุติฐานที่ว่า ไม่มีใครรู้อนาคตครับ ยุทธวิธีที่ใช้ ก็จะต้องสอดรับกับสิ่งนี้ ถ้าผมรู้คาดการณ์ว่าตลาดจะ Down หรือกลายเป็นหมี ผมจะขายหุ้นโบรกครับ (ถ้ามี) ส่วนหุ้นตัวไหนยังดี ก็ถือต่อไปครับ แต่ถ้าราคาแพงไป ผมก็ขาย การตัดสินใจตรงนี้ คือดูพื้นฐาน ไม่ได้ดูตลาด เพราะถ้าตลาดลง หุ้นเราอาจจะขึ้น หรือลงก็ได้ ถ้ามีตัง ก็รอจังหวะสอย จบ... จากคุณ : shine-rise เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 19:10:43

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณ คุณshine-rise  new gen. young vi จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 19:28:19

ความคิดเห็นที่ 47 viสายไหนล่ะครับ สายแกรแฮม บอกถ้าหุ้นเต็มมูลค่าแล้วเค้าจะขายแล้วไปเล่นตัวใหม่ หรือตัวเดิมที่ราคาปรับลงมา นั่นคือถ้าคาดได้ว่า หุ้นจะลง เค้าจะขายล้างพอร์ต แล้วshot sellเพิ่มด้วย เมื่อถึงระดับที่เค้าพอใจ ก็กลับมาซื้อเพิ่ม สายปู่บัฟ บอกฉันไม่สน ตราบใดธุะุระกิจยังดี จ้างก็ไม่ขาย แถมยังจะซื้อเพิ่มด้วย สายปีเตอร์ ลินซ์ บอก ผมไม่สน ตัวไหนต่ำกว่าบุคมาก ซื้อหมด ไม่สนว่าหุ้นจะดีจะเน่า แทบไม่รู้จักบ.นั้นด้วยซ้ำ ในกองทุนที่เค้าบริหารถือหุ้นเป็นพันตัวเลยนะครับ แต่return น้องๆปู่บัฟเลย ใช้ประโยชน์จากหลักของMarkowitzอย่างเต็มที่ สายฟิชเชอร์ ผมไม่รู้ ยังไม่ได้อ่านประวัติเค้า ดร.นิเวศน์ สมัยเก่า เป็นแบบบัฟเฟต สมัยใหม่ จะaggressiveมากขึ้น บัฟเฟต+เกรแฮม บางครั้งยังกู้มาร์จิ้นมาซื้อด้วย จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 23:39:44

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณ คุณANUBIS[TJ] เราคิดว่า  ที่จริงการเป็นนักลงทุนที่เก่ง  ไม่ควรยึดติดเคร่งครัดจนเกินไป  ควรยืดหยุ่นได้ จากคห.ของท่านและคุณ Heinz จึงทราบว่า  มีหลายสาย มีแบบเคร่งครัดและยืดหยุ่น ขอบคุณค่ะ จากคุณ : WTKn เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 53 00:12:53

ความคิดเห็นที่ 49 เข้ามาอ่าน เพิ่งจะได้ประเด็น ชัดเจนจากสอง คห 38และ 47       อ่านทุกอย่างให้จบ  แล้วมาดูนิสัยตัวเอง จะทำได้แบบไหน เงินตัวเอง จะพอสำหรับแบบไหน               สุดท้าย ให้เกิด กำไร ละกัน โดยที่ตัวเองไม่เครียด               จากเงินเย็น  และระยะยาว มากพอควร                ถ้าเป็นเงินกู้มาเล่นคงผิด หลักการ จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 53 07:13:51

ความคิดเห็นที่ 50 กู้มาเล่นไม่ผิดหรอกครับ บางครั้งดร.นิเวศน์ยังกู้มาเล่นเลย ตอนมั่นใจว่าวิกฤตคลี่คลายแล้ว ประมาณกลางปีที่แล้ว แล้วสมัยนี้เล่นได้ทั้งขึ้นทั้งลง อยู่ที่ว่า คุณคาดการณ์ถูกรึเปล่า มั่นใจเพียงใด ต้องดูตัวเองครับ แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน คุณต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองแล้วปรับใช้ครับ เหมือนเทคนิคหล่ะครับ indiแต่ละตัวมีจุดอ่อนต่างกัน ต้องรู้แล้วมาปรับใช้ ตามสถานะการณ์ จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 53 08:13:26