เวียดนามตื่นทองหนีเศรษฐกิจเสื่อม
|
|
เวียดนามกำลังเผชิญกับช่วงเวลาอัสดงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากที่เคยคาดหวังจากชาวโลกว่าจะเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่แห่งเอเชีย....
เวียดนามกำลังเผชิญกับช่วงเวลาอัสดงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากที่เคยคาดหวังจากชาวโลกว่าจะเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่แห่งเอเชีย ด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คึกคัก ไม่แพ้จีน ทรัพยากรมนุษย์ที่ล้นหลาม และภาคการเมืองที่แข็งแกร่ง
อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ เวียดนามยังผุดเมกะโปรเจกต์มากมาย เพื่อรองรับอนาคตอันเรืองรอง ทำให้เพื่อนบ้านได้แต่อิจฉา หนึ่งในนั้นคือโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง มูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อมต่อกรุงฮานอยกับเมืองไซ่ง่อน หรือ โฮจิมินห์ ซิตี และท่าเรือน้ำลึก ในเมืองดานังทางตอนกลางของประเทศ เพื่อรองรับการเป็นเส้นทางสาย R3 ที่จะเชื่อมต่อทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนของแผ่นดินใหญ่
มาวันนี้ ไม่เพียงฝันสดสวยของเวียดนามจะดับวูบลงเท่านั้น แต่ยังเผชิญกับสถานการณ์อันเลวร้ายเสียจนกระทั่งประชาชนเริ่มสิ้นหวังกับเศรษฐกิจของประเทศ
สิ่งที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน คือปรากฏการณ์ตื่นทองในเวียดนาม
กระแสตื่นทองในเวียดนามเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือน ส.ค. ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่รัฐบาลเวียดนามประกาศลดค่าเงินด่อง เพื่อกระตุ้นการส่งออก ด้วยความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งปัญหาส่งออกของเวียดนามรุนแรงขึ้นทุกขณะ จนยังผลให้เวียดนามต้องขาดดุลการค้าต่อเนื่อง และเป็นเหตุผลให้รัฐบาลต้องรีบลดค่าเงินอีกครั้ง หลังจากทำเช่นนี้มาแล้วถึง 3 ครั้งในเวลาไม่ถึง 2 ปี
ทว่า การลดค่าเงินยังผลให้เงินด่องอ่อนค่าลงอย่างน่าใจหาย จนในที่สุด ชาวเวียดนามมองไม่เห็นค่าของเงินด่องมากไปกว่าเศษกระดาษที่เรียกว่าธนบัตร ด้วยเลข 0 พ่วงท้ายเลขหลักที่เพิ่มมากขึ้นในป้ายราคาสินค้า ซึ่งหมายความว่า เวียดนามกำลังจมปลักอยู่กับภาวะเงินเฟ้อรุนแรงถึงระดับตัวเลข 2 หลัก
หนึ่งในคนที่มองเห็นโอกาสในทองคำมากกว่าเงินกระดาษ คือ โดไฮนิน คุณครูสาวในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่พยายามเก็บหอมรอมริบเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่ให้สัมภาษณ์กับเอพีว่า ไม่คิดจะนำเงินจำนวนนี้ไปฝากไว้กับธนาคารในประเทศ เพราะค่าเงินลดลงฮวบฮาบ หนทางที่ดีที่สุด คือฝากเงินจำนวนนี้ไว้ในรูปของทองคำ
ไม่เฉพาะแค่คุณครูรายนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่เคยฝากความหวังไว้กับตลาดหุ้น แต่กลับต้องพบว่าตลาดหุ้นของเวียดนามล้มครืนลง แทนที่จะเติบโตทัดเทียมกับศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค
ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อเงินด่อง ซึ่งเป็นสกุลเงินท้องถิ่นเสื่อมถอยลงอย่างน่าตกใจ เหงียนกวงอา อดีตประธานศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาของเวียดนาม กล่าว
ปรากฏการณ์ตื่นทอง ยังผลให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่อุปโภคบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก เมื่อคำนวณตามสัดส่วนต่อหัวประชากร มากกว่าจีนและอินเดีย ซึ่งบริโภคทองคำมากที่สุดในโลกเช่นกัน แต่วัดที่ปริมาณเป็นสำคัญ
อีกทั้งยังผลให้ตลาดมืดทองคำและเงินด่องเติบโตรวดเร็วจนรัฐบาลไม่อาจกวาดล้างได้ทันกาล เนื่องจากประชาชนแห่แหนกันซื้อทองคำในตลาดมืด เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็สามารถแลกเงินด่องเป็นสกุลเงินต่างชาติในอัตราสูงกว่าอัตราแลกเปลี่ยนของทางการเช่นกัน
รัฐบาลเองก็ไม่สามารถต้านทานกระแสความตื่นตูมของประชาชน ได้แต่อนุญาต|ให้นำเข้าทองคำเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา และให้เวลานำเข้าจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อรักษาระดับราคาทองคำให้สอดคล้องกับราคามาตรฐานในตลาดโลก หลังจากกระแสตื่นทองในเวียดนาม ทำให้ราคาทองคำสูงกว่าความเป็นจริงอย่างน่าตระหนก
แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของรัฐบาลเวียดนามจะล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการอนุมัติให้นำเข้าทองคำ รัฐบาลเวียดนามต้องประสบกับความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อค่าเงินด่อง นั่นคือปัญหาที่บริษัท วินาชิน รัฐวิสาหกิจการต่อเรือของเวียดนามจะล้มละลายลง ด้วยมูลค่าหนี้สินสูงถึง 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ถึง 4.5%
สถานการณ์ของ วินาชิน ร้ายแรงถึงขั้นที่ค่าเงินทรุดลงอีกรอบ พร้อมกับตลาดหุ้นที่ยิ่งส่อแววไม่อาจรุ่งเรืองได้เหมือนเมื่อปีทองที่ผ่านมา 2 ปีที่แล้วได้อีกครั้ง
และถึงขั้นที่นายกรัฐมนตรี เหงียนตันดุง ต้องแสดงความรับผิดชอบการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐวิสาหกิจขนาดยักษ์รายดังกล่าว โดยชี้ว่า ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการบริหารที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อีกทั้งยังขยายกิจการต่อยอดในธุรกิจหลายภาค โดยไม่สอดคล้องกับธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับการต่อเรือเดินสมุทร
ผลที่ตามมาคือ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก เริ่มหั่นเครดิตของเวียดนามและวินาชิน อาทิ มูดี้ส์ ที่หั่นระดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลเวียดนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จาก Ba3 ลงมาอยู่ที่ B1 ขณะที่บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ เตือนไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่า วิกฤตวินาชิน จะกระทบต่อภาวะหนี้สินของธนาคารในประเทศ
แต่ในความเป็นจริงการกระทำของรัฐบาลเวียดนาม เพื่อพยุงกิจการของ วินาชิน ยิ่งบั่นทอนค่าเงินด่อง และกระตุ้นกระแสตื่นทองให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น
เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามกลับร้องขอให้ธนาคารในประเทศชะลอการเก็บหนี้สินของ วินาชิน แต่การทำเช่นนี้จะยังผลให้ธนาคารตกอยู่ในความเสี่ยงแทน เพราะไม่สามารถเก็บดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่ชาวเวียดนามไม่กล้าฝากเงิน เพราะหันไปพึ่งพาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงอย่างทองคำแทน
ปัญหาที่เวียดนามกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เป็นผลมาจากความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป ว่าจะกลายเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของภูมิภาค จึงลงทุนลงแรงในอุตสาห กรรมและสาธารณูปโภคอย่างรวดเร็วจนเกินไป ทว่า ละเลยปัจจัยเสี่ยงที่จ้องเข้ามากลุ้มรุมประเทศ ยังผลให้เมื่อเกิดความผิดพลาดอย่างหนึ่ง ความผิดพลาดอื่นๆ จึงติดตามมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบความเชื่อถือต่อรัฐบาล
การวิ่งเข้าหาทองคำของคนเวียดนามจึงมิได้หมายถึงว่าชาวเวียดนามมั่งคั่งขึ้น
แต่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่กำลังหาที่ยึดเหนี่ยวได้ยากเต็มทีสำหรับประชาชนคนตาดำๆ ... !
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ http://www.posttoday.com/รอบโลก/ขอบฟ้ากว้าง/66738/เวียดนามตื่นทองหนีเศรษฐกิจเสื่อม
จากคุณ |
:
ขอบฟ้าบูรพา
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ธ.ค. 53 17:04:10
|
|
|
|