|
ซื้อหุ้นที่มีข่าวลักษณะนี้ก็ดีนะครับ ถือว่าเป็นตัวกรองหุ้นได้ระดับหนึ่ง รับรองไม่ใช่หุ้นปั่นแปะชัวร์ๆ แถมช่วงที่จะประกาศเข้า SET50 จะมีการไล่ซื้อทำราคากันอย่างเมามันทีเดียว รับรองราคาหุ้นไม่มีถอยลงแน่นอน แต่ก็ควรดูอัพไซค์ราคาว่ามีเพียงพอหรือไม่ ไม่ใช่ว่าสูงจนเกินพื้นฐานมากๆ แล้ว ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
BTS KK SSI ITD STA SPALI
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้รวบรวมข้อมูลหุ้นที่มีโอกาสถูกเข้าคำนวณดัชนี SET 50 และ SET 100 และหลุดออกจากการคำนวณดัชนี SET 50 และ SET 100 เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน เนื่องจากคาดว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อราคาหุ้นเหล่านี้ โดยหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำข้าไปคำนวณดัชนี SET 50 ได้แก่ BTS KK SSI ITD STA และSPALI ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะหลุดออกจากการคำนวณดัชนี SET 50 ได้แก่ BCP BH BIGC KSI MAKRO และ SCCC
บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS หลังจากปรับโครงสร้างกิจการครั้งใหญ่ด้วยการควบรวมกับ BTSC พร้อมเปลี่ยนชื่อจาก TYONG เป็น BTS โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจรถไฟฟ้าควบคู่ไปกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า ส่งผลให้บริษัทกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง และคาดหมายว่าจะถูกคำนวณเข้าดัชนี SET 50 ตั้งแต่รอบที่แล้ว แต่เนื่องจากติดปัญหาเรื่องระยะเวลาหลังจากเปลี่ยนโครงสร้างกิจการ ทำให้หลุดโผในรอบที่แล้ว ส่งผลให้รอบนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักยกให้ BTS เป็นตัวเก็งที่จะเข้าดัชนี SET 50 โดย BTS มีมูลค่าตามราคาตลอดรวม (มาร์เก็ตแคป) ณ วันที่ 30 พ.ย.อยู่ที่ 4.47 หมื่นล้านบาท และราคาหุ้นมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายเฉลี่ย 25%
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือนพลิกกลับมามีกำไรแต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดย 9 เดือนมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,760.96 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีค่าใช่จ่ายจากการทำการตลาดในส่วนของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในส่วนของธุรกิจรถไฟฟ้า ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยธุรกิจรถไฟฟ้า BTSC รายได้จากค่าโดยสาร ต.ค. 53 ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ตั้งบริษัทมาเป็น 319 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่า พ.ย. 53 เดือนนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง ตามปัจจัยฤดูกาล โดยปัจจัยเสริมที่ทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้น คือ การเปิดให้ใช้บริการแอร์พอร์ตลิงค์ การขยายเส้นทางต่อจากตากสิน และเพิ่มขบวนรถอีก 12 ขบวน (ขบวนละ 4 ตู้) พ.ย. 53 นี้ พร้อมได้รับคัดเลือกเป็นผู้บริหาจัดการเดินรถส่วนต่อขยาย อ่อนนุช แบริ่ง โดยได้ร่วมลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา
นอกจากการได้รับสัญญาว่าจ้างให้บริหารจัดการเดินรถส่วนต่อขยาย จากอ่อนนุช-แบริ่ง ข้างต้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการและมูลค่าพื้นฐานของ BTS โดยในเบื้องต้นประเมินว่า ส่วนต่อขยายดังกล่าวจะทำให้ BTS มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นปีละ 168 ล้านบาท (อัตรากำไร 25%) และทำให้มูลค่าพื้นฐานปี 2553/54 (สิ้นสุด มี.ค. 2554) เพิ่มขึ้นอีก 0.05 บาท หรือจากหุ้นละ 1.26 บาทเป็น 1.31 บาทแล้ว ความคืบหน้าในการเปิดให้บริการส่วนต่อขยายเส้นดังกล่าว ยังส่งผลบวกให้ BTSC มีจำนวนผู้โดยสารใหม่ๆ ที่คาดจะเดินทางเข้ามาสู่ระบบรถไฟฟ้าเส้นปัจจุบันของ BTS เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ธนาคารเกียรตินาคิด จำกัด (มหาชน) หรือ KK เป็นหนึ่งในธนาคารที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาฟื้นตัวโดดเด่น บริษัทมีมาร์เก็ตแคป 2.15 หมื่นล้านบาท และอัพไซด์จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 28.95% โดยงวด 9 เดือนมีกำไรทั้งสิ้น 2,361 ล้านบาท โดยทางธนาคารเปิดเผยว่ากำไรสุทธิและรายได้ในครึ่งหลังปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก ตามสินเชื่อที่ยังเติบโต โดยครึ่งปีแรกสินเชื่อขยายตัวแล้วประมาณ 8% โดยปีนี้มีโอกาสสูงที่สินเชื่อของธนาคาร จะเติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่ 12% ตามความต้องการสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังมีอยู่มาก และบริษัทมีโอกาสจ่ายปันผลงวดปี 53 ได้มากกว่าปีก่อนที่จ่าย 2 บาท/หุ้น ขณะที่ยอดการเติบโตของสินเชื่อ ธนาคารได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ เป็น 10-15% จากเป้าเดิมที่คาดโต 8-12% เนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เติบโตได้ดี โดยในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ สินเชื่อเติบโต 15.8%โดยในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เติบโต 18.8%
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI เป็นหนึ่งหุ้นที่ได้รับการคาดหมายว่าจะได้เข้าดัชนี SET 50 แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส3ปีนี้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นติดลบต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยงวด 9 เดือนมีกำไรทั้งสิ้น 2,456 ล้านบาท ในขณะที่หนี้สินสุทธิอยู่ที่ 20,745 ล้านบาท โดยแนวโน้มไตรมาส 4 บริษัทคาดว่ามีปริมาณขายยังอยู่ในระดับทรงตัว และราคาขายมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น 7-9% ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยลดลง 1-3% ทำให้คาดว่าส่วนต่างระหว่างราคาขายกับวัตถุดิบกระเตื้องขึ้นจากไตรมาสก่อน ประกอบความคืบหน้าในการเข้าซื้อโรงถลุงเหล็ก TCP ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งมูลค่าการลงทุนราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ทางบริษัทคาดว่าจะใช้เวลาในการข้อสรุปภายใน 3 เดือน ทั้งนี้เรื่องการระดมทุนทำให้ SSI มีความเสี่ยงที่อาจต้องเพิ่มทุน
ล่าสุดผู้บริหาร SSI เปิดเผยว่าช่วงก่อนเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาบริษัทได้ส่งมอบเหล็กล็อตใหญ่เป็นเหล็กรีดร้อนชนิดม้วนประมาณ 2 ล้านตันสูงสุดนับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยทำยอดส่งมอบสูงสุดที่ระดับ 1.9 ล้านตันในปี 2546 ซึ่งจะส่งผลให้กำไรในไตรมาส 4/53 เติบโตโดดเด่น โดยบริษัทยังมีมูลค่าตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 19,127 ล้านบาท และมีอัตราการอัพไซค์จากราคาเป้าหมายเฉลี่ย25.34%
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ระยะหลังสามารถประมูลงานใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งงานในประเทศ และงานต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง โดยรายได้ในไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือนเพิ่มขึ้น หลังจากขาดทุนในปีที่ผ่านมา กำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท โดย ITD ได้ขายหุ้นน้ำเทิน 2 ที่บริษัทถืออยู่ 15% ทำให้ได้กำไรก่อนหักภาษี 1,379 ล้านบาท อย่างไรก็ตามฐานะทางการเงินของบริษัทยังไม่แข็งแรงนัก ขณะที่โครงการใหม่ในอนาคตอาจจะทำให้บริษัทต้องมีการเพิ่มทุน ส่วนภาพรวมงานประมูลในประเทศที่ให้ margin ค่อนข้างต่ำจากการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการที่รุนแรงทำให้ ITD หันไปรับงานในต่างประเทศมากขึ้นซึ่งจะเห็นผลชัดเจนในปีหน้า ทั้งงานในพม่าและเวียดนาม นอกเหนือจากงานในประเทศที่คาดว่า ITD จะมีลุ้นงานประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีแดง
บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA นับเป็นหุ้นที่น่าจับตามองตัวหนึ่งในปีนี้จากราคายางพาราที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและการระดมทุนเพื่อเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นสิงคโปร์ แม้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมากำไรสุทธิจะลดลงจากไตรมาสที่ 2 เนื่องจากปริมาณการผลิตชะลอตัวตามฤดูกาล แต่ด้วยราคายางพาราที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่า STA จะเป็นผู้ประกอบการกลางน้ำ หรือผู้ขายคนกลาง ไม่มีสวนยางเป็นของตัวเอง แต่ด้วยกำลังการผลิตปัจจุบันของ STA มี 750,000 ตันต่อปี คิดเป็น 8% ของอุปทายโลกที่ 9 ล้านตันต่อปี โดยหุ้นมีมาร์เก็ตแคป 3.18 หมื่นล้านบาท เหลืออัพไซด์ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 3.01%
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เป็นหุ้นที่เติบโตอย่างโดดเด่นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยผลประกอบการไตรมาส 3/53 แม้จะอ่อนตัวลงจากยอดขายที่รอรับรู้รายได้เลื่อนมาบันทึกในไตรมาส 4 ส่งผลให้ไตรมาส 4 นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าบริษัทจะมีกำไรฟื้นตัวอย่างโดดเด่น โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะมี Backlog พร้อมโอนในไตรมาส 4 สูงกว่า 5.08 พันล้านบาท โดยไตรมาส 4 บริษัทจะเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการ มูลค่ากว่า 1.11 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายและยอดโอนในช่วงปลายปีนี้ โดยบริษัทมีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 29 พ.ย. อยู่ที่ 1.92 หมื่นล้านบาท
แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 53 23:02:34
จากคุณ |
:
จิ้งจกสายฟ้า
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ธ.ค. 53 22:57:55
|
|
|
|
|