PANTIP.COM : I9997330 DOW...!!!{แตกประเด็นจาก I9994168} [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 37

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 19.90 จุด หลังเบอร์นันเก้ระบุศก.สหรัฐฟื้นตัวล่าช้า

ข่าว หุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 7 ธันวาคม 2553 06:41:35 น.

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความคิดเห็นในด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และจากข่าวที่ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยอมอ่อนข้อให้กับพรรครีพับลิกันด้วยการเตรียมขยายโครงการลดหย่อนภาษีซึ่ง อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เป็นผู้ริเริ่มไว้ อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบเพียงเล็กน้อยเพราะตลาดได้แรงหนุนจากรายงานของคอนเฟอ เรนซ์ บอร์ด ที่ระบุว่า ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี

ดาวโจนส์ปิดลบ 19.90 จุด หรือ 0.17% แตะที่ 11,362.19 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.59 จุดหรือ 0.13% ปิดที่ 1,223.12 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ขยับขึ้น 3.46 จุด หรือ 0.13% ปิดที่ 2,594.92 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 6.27 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 1,502 ต่อ 1,464 ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนวิตกกังวลเมื่อเบอร์นันเก้กล่าวกล่าวให้สัมภาษณ์กับรายการ "60 Minutes" ของสถานีโทรทัศน์ CBS ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นไปอย่างล่าช้า และสหรัฐอาจต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่าที่อัตราว่างงานจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากกว่านี้ที่ราว 5-6%

นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า การใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือ QE2 ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลนั้น อาจมีมูลค่าสูงกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ตามที่ได้มีการประกาศไปเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของโครงการ QE2 รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไม่น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีก เนื่องจากเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ อาทิ ภาคที่อยู่อาศัยไม่สามารถตกต่ำลงไปได้มากกว่านี้แล้ว ถึงกระนั้น การว่างงานที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานอาจทำลายความเชื่อมั่น และกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอีกครั้ง

นอกเหนือจากการแสดงความคิดเห็นของเบอร์นันเก้แล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ประธานาธิบดีโอบามา ยอมอ่อนข้อให้กับพรรครีพับลิกันด้วยการเตรียมขยายโครงการลดหย่อนภาษีซึ่ง อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เป็นผู้ริเริ่มไว้ รวมทั้งรายงานที่ว่าเยอรมนีได้ปฏิเสธเสียงเรียกร้องของบรรดารมว.คลังยูโรโซน ที่จะเพิ่มขนาดของเครือข่ายประกันความปลอดภัยวงเงิน 7.50 แสนล้านยูโรสำหรับประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี Nasdas สามารถปิดในแดนบวกได้ เพราะตลาดได้แรงหนุนจากรายงานของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดที่ระบุว่า คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 1.4% แตะระดับ 99 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี บ่งชี้ว่าตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นในปี 2554

การเปิดเผยดัชนีแนวโน้มการจ้างงานของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด มีขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 39,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานเดือนพ.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับ 9.8% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 9.6%

หุ้นสปรินท์ เน็กซ์เทล ปิดพุ่ง 6.4% หุ้นแมสซีย์ เอนเนอร์จี ปิดบวก 2.4% และหุ้นบาร์นส์ แอนด์ โนเบิล ปิดพุ่ง 10.6%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร ABC News จะเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 ธ.ค. วันพุธ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค.

ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย. ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และกระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช

จากคุณ : samsam

เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 07:52:40

ความคิดเห็นที่ 49

วันที่ 06 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:13:17 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ตรึงดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน1ปี "แบงก์-อสังหา"พลิกเกมเร่งลูกค้าซื้อ-โอน

ค่ายอสังหาฯสบช่องดอกเบี้ยขาขึ้น ผนึกพันธมิตรธนาคารพาณิชย์ ชูกลยุทธ์ล็อกดอกเบี้ยบ้านอัตราเก่าคงที่ 1 ปี -โหมแคมเปญจูงใจเร่งโอน ด้านนักวิเคราะห์ประเมินดอกเบี้ย ขาขึ้นส่งผลกระทบไม่รุนแรง ระบุข้อมูลดอกเบี้ยแท้จริงไทยต่ำสุดในภูมิภาคยังสนับสนุนการลงทุนและการบริโภค แบงก์กรุงไทย-ไทยพาณิชย์นำร่องขยับดอกกู้แล้วบางเฉียบสูงสุด 0.15% อ้างสภาพคล่องในระบบสูงดึงดอกเบี้ยฝาก-ดอกเบี้ยกู้ขึ้นได้น้อย

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จาก 1.75% เป็น 2.00% เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา แม้ไม่ได้กระทบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมมากนัก แต่ผลที่เกิดขึ้นในแง่จิตวิทยาทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินกับสถาบันการเงินมองเห็นโอกาสในการทำตลาดบ้าน-คอนโดฯ และตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น รูปธรรมที่เห็นชัดเจนคือ การที่บริษัทพัฒนาที่ดินจับมือร่วมกับสถาบันการเงินเสนอแพ็กเกจสินเชื่อ โดยชูจุดขายคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราปัจจุบัน สวนทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า

ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่วิน-วินด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทำให้บริษัทพัฒนาที่ดินสามารถปั้นยอดขายบ้านและคอนโดฯที่กำลังซื้อเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่สถาบันการเงินก็ปล่อยสินเชื่อบ้านได้มากขึ้น เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสจากที่ปัจจุบันตลาดสินเชื่อบ้านมีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง

แหล่งข่าวจากวงการพัฒนาที่ดินกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่จากที่สภาพคล่องทางการเงินในตลาดมีสูงมาก และสถาบันการเงินแข่งขันรุนแรงเพื่อแย่งชิงลูกค้าสินเชื่อที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4 ที่จะต้องเร่งทำยอดสินเชื่อแต่ละกลุ่มให้ได้ตามเป้า ในส่วนของบ้านและ คอนโดฯ ขณะนี้สถาบันการเงินได้เสนอแพ็กเกจสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านแบบจูงใจสุด ๆ เช่นเดียวกัน

ล่าสุดหลังดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น สถาบันการเงินบางแห่งได้เสนอเงื่อนไขให้ลูกค้ารายย่อยที่ตัดสินใจซื้อบ้านและคอนโดฯ พร้อมกับยื่นขอสินเชื่อในช่วงนี้ได้สิทธิพิเศษ โดยหากลูกค้ารายใดคุณสมบัติผ่านการพิจารณาจะล็อกอัตราดอกเบี้ยอัตราปัจจุบันให้เป็นเวลา 1 ปี เช่น ถ้าตัดสินใจจองซื้อบ้านหรือคอนโดฯช่วงนี้แล้วยื่นขอกู้จากสถาบันการเงิน เมื่อได้รับอนุมัติวงเงินกู้ สถาบันการเงินจะคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราปัจจุบัน หรือถ้าต้องการจะใช้สิทธิดังกล่าวภายในระยะเวลา 1 ปีจากนี้ไปก็ได้ อีกนัยหนึ่งคือ สามารถโอนบ้านโดยได้รับสิทธิคิดอัตรา ดอกเบี้ยปัจจุบันไปจนถึงปลายปี 2554

"คิดว่าเป็นข้อเสนอที่ทางสถาบันการเงินก็เลือกลูกค้าเหมือนกัน เช่น อาจต้องเป็นโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ หรือกลุ่มบิ๊กแบรนด์ในตลาดซึ่งมีอยู่ไม่กี่ราย" แหล่งข่าวกล่าว

ขึ้น ดบ. 1 สลึงค่างวดเพิ่ม 100 กว่าบาท

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ประเมินสถานการณ์ว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา และธนาคารพาณิชย์คงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีก 1 เดือนข้างหน้านั้น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น 25 สตางค์จะทำให้ผู้บริโภคมีภาระการผ่อนชำระค่างวดเพิ่มอีก 2%

ยกตัวอย่าง บ้านราคา 1 ล้านบาท ภาระการผ่อนชำระค่างวดอยู่ที่ 7,000 บาท/เดือน เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น 25 สตางค์ ผู้กู้จะมีภาระจ่ายค่างวดเพิ่มขึ้นอีก 140 บาท/เดือน ถือว่าไม่กระทบมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งปกติจะมีแคมเปญเร่งโอน-เร่งกู้เพื่อกระตุ้นยอดขายเป็นปกติอยู่แล้ว จึงไม่มีผลทำให้กำลังซื้อชะลอตัวลงมากนัก

สอดคล้องกับที่นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีก 0.25% นั้น ในทางปฏิบัติจะเพิ่มภาระการผ่อนชำระค่างวดต่อเดือนเพิ่มขึ้นเดือนละกว่า 100 บาทเท่านั้น จึงกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภคไม่มาก

ปรับกลยุทธ์เร่งโอน-โหมแคมเปญสิ้นปี

อย่างไรก็ตาม พฤกษาเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรับกลยุทธ์ในการเร่งโอนใหม่ เนื่องจากการพัฒนาโครงการของแอล.พี.เอ็น.ฯช่วงหลัง ๆ จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ จำนวนยูนิตต่อโครงการเป็นหลัก 1,000 ยูนิตขึ้นไป จึงต้องปรับแผนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยให้ฝ่ายโอนห้องชุดติดต่อลูกค้าที่จอง ซื้อห้องชุดและมีกำหนดจะส่งมอบภายใน ปี 2554 (แบ็กล็อก) วงเงินรวมประมาณ 11,500 ล้านบาท ทยอยยื่นเอกสารขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอความคืบหน้าจนการก่อสร้างเหลือ 6 เดือนสุดท้าย เพื่อจะได้รู้ผลการพิจารณาสินเชื่อแต่เนิ่น ๆ

"กลุ่มลูกค้าแอล.พี.เอ็น.ฯเป็นเรียลดีมานด์ ดูจากสถิติสินเชื่อที่เป็นหนี้เสียมีประมาณ 1% เศษ ๆ เท่านั้น เทียบกับสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ของตลาดรวมที่ 3-4% ทำให้เรามีฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ และผมเชื่อว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 25 สตางค์ จะไม่กระทบลูกค้าเรียลดีมานด์ แต่จะเป็นปัจจัยบวกด้วยซ้ำ เพราะภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ลูกค้าที่จองซื้อไว้แล้วตัดสินใจเร่งยื่นกู้ เร่งโอน เพื่อจะรับอานิสงส์ของดอกเบี้ยต้นทุนเดิม" นายโอภาสกล่าว

ด้านนายธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะมีผลกระทบในแง่จิตวิทยาต่อผู้ซื้อระยะสั้น ๆ แต่ไม่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ เนื่องจาก 1) อัตราดอกเบี้ยใหม่ปรับเพิ่มไม่มาก 2) ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่อยู่ในระดับต่ำอย่างนี้ไปตลอด

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขายถึงสิ้นปีนี้ อาทิ โครงการทาวน์เฮาส์ "โนเบิล คิวบ์ พัฒนาการ" นำทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น สร้างเสร็จพร้อมโอน ลดราคายูนิตละ 4-6 แสนบาท

ส่วนนายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายโครงการ "ศุภาลัย พาร์ควิลล์ ประชาอุทิศ 86" โดยนำบ้านพร้อมโอน 3 แปลงพิเศษ ตั้งราคาขายเริ่มต้น 3.09 ล้านบาท พร้อมฟรีค่าโอน ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลาง 1 ปี แอร์ทุกห้องนอน ฯลฯ คอนโดฯ "ศุภาลัย พรีเมียร์ ราชเทวี" จัด โปรโมชั่นรับส่วนลดในวันโอน 400,000 บาท จากราคาห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก เริ่มต้น 4.9 ล้านบาท

กรุงไทย-ใบโพธิ์ขึ้นดอกเบี้ย 2 ขา

หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 2% ธนาคารพาณิชย์บางรายได้เริ่มขยับดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากแล้ว นำร่องด้วยธนาคารกรุงไทยซึ่งปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำขึ้นเป็น 0.15-0.45% และดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% โดยมีผลตั้งแต่ 4 ธันวาคมเป็นต้นไป

ตามด้วยธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยประกาศขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก นำร่องประกาศโดยธนาคารไทยพาณิชย์ที่ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากปรับเพิ่มแตกต่างกันตามอายุเงินฝาก โดยมีระดับสูงสุดที่ 0.40% และดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.12-0.15% ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ปรับเป็น 6.12% ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MOR 6.40% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ย MRR 6.65% ต่อปี ขณะที่มีกระแสข่าวว่า ธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ เตรียมตัวจะปรับขึ้นเช่นเดียวกัน

โดยสัญญาณดังกล่าวส่งผลให้หลายฝ่ายกังวลว่า สัญญาณดังกล่าวจะเป็นการชะลอการบริโภค ลงทุนในประเทศที่กำลังฟื้นตัวและเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจซึ่งมีความชัดเจนในไตรมาสที่ 3/53 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การประเมินของนักวิเคราะห์ข้อมูลในตลาด รวมถึงมุมมองของธนาคารพาณิชย์ยังเห็นว่า ดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ สำหรับทิศทางนโยบายดอกเบี้ย คาดว่า กนง.จะยังคงนโยบาย "ขาขึ้น" ซึ่งระดับที่มีการประเมินคือ 2.50-3.00% ในสิ้นปี 2554

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์ความเสี่ยงมหภาค ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณชัดว่า ต้องการให้ดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) เพื่อทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่ติดลบ แม้ในไตรมาสที่ 1-2 ปีหน้าจะเห็นการเติบโตของจีดีพีที่ชะลอลงเหลือ 3-4% ซึ่งจะทำให้ประเมินการตัดสินใจของ กนง.ได้ลำบาก แต่ตลอดปีคาดว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับขึ้นรวม 1% หรือเพิ่มเป็น 3% ในปลายปีหน้า

นายนริศกล่าวว่า ดอกเบี้ยที่ค่อย ๆ ปรับขึ้นจะไม่กระทบกับการลงทุนและบริโภคในประเทศ เพราะหากประเมินข้อมูลดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (หักเงินเฟ้อ) ของไทยเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน พบว่าของไทยยังต่ำมาก และยังสนับสนุนการบริโภคและลงทุน แต่หากยังปล่อยให้ติดลบมากยาวนานก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ โดยภายหลังการขยับขึ้นมาเป็น 2% แล้ว ดอกเบี้ยแท้จริงของไทยยังติดลบอยู่ 1.1% เทียบกับฟิลิปปินส์บวก 3.2% มาเลเซีย 1% ไต้หวัน 0.9% และอินโดนีเซีย 0.8% ทั้งนี้ช่วงก่อนวิกฤตการเงินสหรัฐดอกเบี้ยไทยเป็นบวกอยู่ 1% กว่า

เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นได้อีก 1% แต่ดอกเบี้ยเงินกู้จะไม่ขึ้นสูงเท่ากัน เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาดอกเบี้ยธนาคารก็ไม่ได้ปรับเท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย จึงคาดว่าสิ้นปี 2554 ดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดี (MLR) จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ระดับไม่เกิน 6.75% จากปัจจุบันที่ 6% ซึ่งคาดว่าจะเป็นระดับที่สินเชื่อยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง

ขณะที่นายตรรค บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า จากสภาพคล่องในระบบที่มีอยู่จำนวนมากจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับดอกเบี้ยขึ้นช้า อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 2554 ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้น 0.75-1% สู่ระดับ 2.75-3.00% แต่ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นน้อยกว่า

ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานสภาพคล่องในงบดุลของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ณ สิ้นเดือน ต.ค.อยู่ที่ 2.26 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.05 แสนล้านบาท จาก 2.16 ล้านล้านบาท ในเดือนก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องในธนาคารขนาดใหญ่และขนาดกลาง

หากพิจารณาเฉพาะเงินฝาก ณ สิ้น ต.ค. เงินฝากทั้งระบบอยู่ที่ 6.59 ล้านล้าน เพิ่มขึ้น 6.43 หมื่นล้านบาท จาก 6.53 แสนล้านบาท ในเดือน ก.ย.

ขณะที่แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่รายหนึ่งกล่าวว่า ระยะนี้เป็นฤดูกาลขยายสินเชื่อของธนาคาร ซึ่งมีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นดอกเบี้ยเงินกู้จึงปรับขึ้นเพียง 0.10-0.15%

ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา (บล.) ได้รวบรวมการขยายตัวของสินเชื่อ 10 เดือนแรกของปีนี้ พบว่าธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบขยายสินเชื่อสุทธิ 3.36 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากสิ้นปี และ 9.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ดอกเบี้ยที่อยู่ในขาขึ้นจะไม่กระทบต่อการขยายสินเชื่อ ซึ่งปีหน้าธนาคารตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้น 9% หรือราว 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินเชื่อ SMEs ทั้งระบบจะเติบโต 4.2-6.7% ทั้งนี้เพราะจากการวิเคราะห์พบว่า ต้นทุนดอกเบี้ยมีสัดส่วนเพียง 4% ของต้นทุนทั้งหมดของผู้ประกอบการ SMEs แต่อาจจะกระทบผู้กู้บางกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ตาม ในมุมของความสามารถในการผ่อนชำระเงินกู้นั้น ธนาคารพาณิชย์ยังมองว่า ผลกระทบยังจำกัดเช่นกัน โดยนายไตรรงค์ บุตรากาศ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หากดอกเบี้ยไม่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับตัว

"ประเด็นที่จะกระทบธุรกิจจะมาจากเศรษฐกิจทั่วไปมากกว่าดอกเบี้ย หากการเมืองสงบ นโยบายต่าง ๆ เดินหน้า การบริโภคลงทุนในประเทศไปได้ต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจตอนนี้อยู่ในช่วงฟื้นตัว" นายไตรรงค์กล่าว

จากคุณ : sandee.kung

เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 09:38:14