ความคิดเห็นที่ 1 รถเล็กใหม่ -แรงจูงใจหนุนเพียบ             “การเติบโตของตลาดรถยนต์ในไทย มาจากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กรุ่นใหม่ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรยังคงมีราคาสูง และการท่องเที่ยวมีสถานการณ์ดีขึ้น ขณะที่การส่งออกมาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่ไทยส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กได้มากขึ้น”             นั่นเป็นบทสรุปของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ฯ ซึ่งจะเห็นว่านอกจากเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวตลาดรถยนต์นั่ง หรือเก๋ง โดยเฉพาะบรรดาเก๋งขนาดเล็ก ซึ่งจากรายงานยอดขายของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์(ประเทศไทย) จำกัด ล่าสุดช่วง 11 เดือนแรก(ม.ค. -พ.ย.)ของปี 2553 มียอดขายรถเก๋งรวมมากถึง 3.07 แสนคัน มากกว่าปริมาณยอดขายปิกอัพ 1 ตัน(ไม่รวม PPV) ที่ทำได้ 3.05 แสนคันเสียอีก             จึงนับเป็นปรากฎการณ์ใหม่ เพราะตลาดรถยนต์ไทยที่ผ่านมา ปิกอัพ 1 ตันถือเป็นตลาดใหญ่ มีสัดส่วนมากกว่า 60% ของตลาดรถยนต์ในไทย แต่ปัจจุบันกลับมีเทียบเท่ากันเลย             โดยการขยายตัวดังกล่าว มาจากความนิยมของเก๋งขนาดเล็กมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซับคอมแพ็กต์(บีคาร์) อย่าง โตโยต้า วีออส-ยาริส, ฮอนด้า ซิตี้-แจ๊ซ, มาสด้า2 หรือฟอร์ด เฟียสต้า และอีโคคาร์(เอคาร์) นิสสัน มาร์ช รวมถึงรถเล็กนำเข้าอื่นๆ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 60-70% ของตลาดเก๋งทั้งหมด หรือหากรวมกับคอมแพ็กคาร์(ซีคาร์) โตโยต้า อัลติส หรือฮอนด้า ซีวิคแล้ว จะทำให้สัดส่วนเก๋งกลุ่มนี้มากถึง 88%             สำหรับความนิยมที่เพิ่มขึ้นของรถเล็ก มาจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ไม่ว่าจะมาจากถนนหนทางทั่วประเทศดีขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวพุ่งสูงมาก ทำให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าส่วนสำคัญมาจากการมีรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ สู่ตลาดมากขึ้นนั่นเอง             ในช่วงปี 2553 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีรถยนต์ขนาดเล็กแนะนำสู่ตลาดหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น มาสด้า2, ฟอร์ด เฟียสต้า และรถยนต์ภายใต้โครงการอีโคคาร์ นิสสัน มาร์ช ซึ่งการเปิดตัวรถเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จมาก อย่างมาสด้าปกติจะมียอดขายทุกรุ่นรวมกันปีละกว่าหมื่นคัน แต่การเปิดตัวมาสด้า 2 ทำให้ยอดขายรวมสูงถึง 3.5 หมื่นคัน หรือนิสสันที่ยอดขายพุ่งกว่า 5.7 หมื่นคัน จากปีก่อนหน้าทำได้เพียง 2-3 หมื่นคันเท่านั้น             ส่วนรถขนาดเล็กที่เคยทำตลาดมา ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า วีออส-ยาริส หรือฮอนด้า ซิตี้-แจ๊ซ ยังคงมียอดขายสูงเช่นกัน ไม่ได้ลดลงจากการที่แย่งตลาดของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ แต่อย่างใด ซึ่งยอดขายที่สูงมากของรถเล็กเหล่านี้ ทำให้ลูกค้าต้องรอรถนาน 2-3 เดือน มากสุดต้องเป็นอีโคคาร์ นิสสัน มาร์ช ที่ซื้อรถวันนี้ต้องรอรถนาน 5-6 เดือน  เหตุนี้ภาพรวมตลาดเก๋งขนาดเล็กขยายตัวมากในปีเสือไฟ!!             ขณะที่ปิกอัพก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเก๋งขนาดเล็ก แม้สัดส่วนจะลดลงมาใกล้เคียงกับเก๋ง แต่ภาพรวมตลาดรถยนต์ขยายตัวมาก ทำให้ยอดขายปิกอัพ 1 ตันเติบโตกว่า 41% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา       นั่นแสดงให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ไทยมีการขยายตัวทุกๆ ตลาด ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจไทยดีขึ้น และการชะลอซื้อในช่วงปีก่อนหน้า ทำให้กำลังซื้อมาทะลักในปี 2553 ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดปี ทำให้เรื่องของวิกฤตทางการเมือง จึงไม่แทบจะส่งผลต่อตลาดรถยนต์ไทยเลย             นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนของภาครัฐ ทั้งการผลักดันสนับสนุนรถยนต์พลังงานทดแทน รถยนต์ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 และรถยนต์ไฮบริด ให้สิทธิประโยชน์การลงทุนโครงการใหม่ๆ กับบริษัทรถ             ทางด้านบริษัทรถยนต์ก็มีการประกาศลงทุนต่อเนื่อง ทั้งเจนเนอรัล มอเตอร์ส(จีเอ็ม), ฟอร์ด, เอเอที(ฟอร์ด-มาสด้า), มิตซูบิชิ และโตโยต้า เช่นเดียวกับผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ลงทุนรองรับโครงการใหม่ของบริษัทรถ รวมมูลค่าการลงทุนใหม่มากกว่าแสนล้านบาท!!             นั่นยังไม่รวมโครงการอีโคคาร์ที่จะทยอยเปิดตัวสู่ตลาดในช่วง 2-3 ปีจากนี้ ดังนั้นภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยจึงคึกคักอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนจากทั่วโลก จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 11:43:08

ความคิดเห็นที่ 2 ปีกระต่ายบินเดินสู่ท็อปเทนโลก             แน่นอนสถานการณ์ดังกล่าว ยังคงจะต่อเนื่องมายังปีกระต่าย 2554 หรือทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมีความเคลื่อนไหวคึกคักอีก 2-3 ปี เพราะเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด ล้วนเป็นโครงการรองรับในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ เก๋งและปิกอัพโมเดลใหม่             เฉพาะในปี 2554 ส่วนหนึ่งของการลงทุนจะเริ่มผลิดอกออกผลแล้ว ซึ่งที่ได้มีการประกาศชัดเจนเห็นจะเป็นรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์ของฮอนด้า ที่ได้มีการนำรถต้นแบบอีโคคาร์ภายใต้ชื่อทำตลาด “ฮอนด้า บริโอ” มาเผยโฉม และยืนยันจะเปิดตัวขายในเดือนมีนาคม 2554 นี้แน่นอน ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 4 แสนบาท             ส่วนอีกผลิตผลจากนิสสัน ซึ่งต่อเนื่องจากอีโคคาร์คันแรก “นิสสัน มาร์ช” แต่คราวนี้จะเป็นเก๋งเล็กแบบซีดาน หรือเวอร์ชั่น 4 ประตู คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปีเช่นเดียวกัน ดังนั้นตลาดอีโคคาร์จะมีการแข่งขันดุเดือดขึ้นแน่นอน             แต่ที่จะต้องจับตาให้ดีเห็นจะเห็นการหวนกลับมาร้อนแรงของตลาดปิกอัพ เพราะมีปิกอัพรุ่นใหม่แนะนำสู่ตลาดไทยในปีกระต่ายบินนี้ถึง 4 ค่าย 4 โมเดล ได้แก่ ปิกอัพของอีซูซุ, เชฟโรเลต, มาสด้า และฟอร์ด             ฉะนั้นนอกจากการหวนกลับประกาศความยิ่งใหญ่ของตลาดปิกอัพแล้ว ปี 2554 นี้น่าจะเป็นจุดตัดสินทิศทางของตลาดปิกอัพไทยว่า จะยังคงเป็นตลาดใหญ่สุดของไทยต่อไปอีกหรือไม่?             เหตุนี้เมื่อบวกภาพรวมของเศรษฐกิจที่ยังสดใส ตลาดรถและอุตสาหกรรมรถยต์ของไทยในปี 2554 จึงฟันธง! ได้เลยว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง             “อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจะมีการผลิตไม่ต่ำกว่า 1.8 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ประมาณ 10% แบ่งเป็นส่งออกประมาณ 1 ล้านคัน และตลาดในประเทศอีกประมาณ 8 แสนคัน หรือเพิ่มขึ้น 10% เช่นกัน เนื่องจากมีการเปิดตัวรถใหม่ทั้งปิกอัพและอีโคคาร์ ขณะที่ตลาดส่งออกก็มีแนวโน้มดีที่ดี และมีคำสั่งซื้อล่วงหน้ายาวถึง 3 เดือนแล้ว” นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าว  นี่คงจะพอจะเห็นแนวโน้มของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในปีกระต่ายบินแล้ว แม้จะมีหลายคนกังวังเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมืองอยู่บ้าง ถึงที่ผ่านมาจะแสดงให้เห็นปัญหาการเมืองไม่ได้ส่งผลกระทบนัก แต่เนื่องจากปี 2554 ต้องเทียบกับภาพรวมที่สูงของปี 2553 และยังมีเรื่องของเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกเช่นกัน             สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เชื่อว่า การขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีกระต่ายไม่น่าจะสูงนัก?!       แต่เมื่อฟังเสียงจากภาครัฐ โดยเฉพาะผู้นำรัฐบาล “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่ได้พูดกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทรถยนต์เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้แสดงความมั่นใจอย่างยิ่ง             “อุตสาหกรรมรถยนต์มีความสำคัญ และภาครัฐให้การส่งเสริมาโดยตลอด ซึ่งในปีนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตและส่งออก มีปริมาณที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้คาดว่าในอีก 5-6 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยจะขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 10 หรือต่ำกว่า โดยมีปริมาณการผลิตประมาณกว่า 2 ล้านคันต่อปี ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลัก และจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับไทยเป็นอย่างมาก”             ส่วนเหตุผลมาจากการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งของเอกชน และการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่แล้ว รัฐบาลไทยมีนโยบายเปิดกว้างและสนับสนุนบริษัทรถยนต์จากทั่วโลก ดังจะเห็นว่าไทยไม่มีการผลักดันรถยนต์แห่งชาติ หรือให้การสนับสนุนบริษัทรถรายได้รายหนึ่งเป็นพิเศษ ที่สำคัญพร้อมสนับสนุนให้มีการผลิตรถยนต์ประเภทใหม่ๆ อย่างโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ (Eco Car) รวมถึงรถยนต์ไฮบริด และรถพลังงานทดแทนต่างๆ             “ตอนนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ และจะให้เวลากับการปรับตัวของผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันรัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมรถพลังงานทดแทนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฮบริด หรือรถไฟฟ้า และยังพร้อมที่จะให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่นล่าสุดสนับสนุนให้มีการย้ายสำนักงานประจำภูมิภาคมายังไทย หรือเข้ามาตั้งหน่ายงานจัดซื้อในไทย เป็นต้น” นั่นเป็นคำมั่นสัญญาและความมุ่งหวังของผู้นำประเทศที่ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แต่จะเป็นจริงหรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มกราคม 2554 10:45 น. แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 11:45:32 จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 11:43:55

ความคิดเห็นที่ 3 โอบามาชี้อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐส่อแววรุ่งอีกครั้งหลัง GM ขายหุ้นไอพีโอ ... ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2553 11:37:36 น. ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ กล่าวว่า การที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็ม กลับเข้ามาขายหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐได้อีกครั้งนั้น แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐนั้นอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว และในที่สุดผู้เสียภาษีก็จะได้เงินกลับคืนมา หลังจากที่มีการนำเงินภาษีดังกล่าวไปใช้ในการช่วยเหลือค่ายรถสหรัฐที่ประสบปัญหาในช่วงวิกฤตการเงิน โอบามากล่าวภายหลังจากที่จีเอ็มสามารถระดมทุนได้มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ว่า วันนี้ เรื่องราวของความยากลำบากเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้น ได้กลับกลายเป็นเรื่องราวของความสำเร็จแล้ว เมื่อปีที่แล้ว จีเอ็มได้รับเงินช่วยเหลือมูลค่า 4.95 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กระทรวงคลังสหรัฐจะได้รับเงินจากการขายหุ้นไอพีโอมูลค่าถึง 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์ โอบามากล่าวต่อไปว่า หนทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศยังอีกยาวไกล แต่เราก็เริ่มที่จะเห็นผลพวงจากการตัดสินใจที่ยากลำบากครั้งสำคัญเมื่อครั้งเกิดวิกฤตการเงินแล้ว ก่อนหน้านี้ บริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ส หรือ จีเอ็ม รายงานว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 และเป็นการรายผลประกอบการที่มีกำไรเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทั้งนี้ จีเอ็มมีกำไรสุทธิ 1.33 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ส่วนรายได้ของไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นแตะ 3.41 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 3.32 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้ยอดเงินสดหมุนเวียนในการดำเนินงานสุทธิของบริษัทเพิ่มสู่ระดับ 2.8 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 และมีเงินสดในมือ 1.4 พันล้านดอลลาร์ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 11:49:56

ความคิดเห็นที่ 4 จีนเล็งกระตุ้นการนำเข้ายานยนต์ 5 ปีหน้า หนุนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ... ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2553 17:03:59 น. เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์จีนเผย รัฐบาลเตรียมใช้มาตรการนำเข้าสินค้าประเภทยานยนต์ในเชิงรุกในอีก 5 ปีข้างหน้าตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 (ปี 2554-2558) เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างและยกระดับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศ โดยจีนจะสนับสนุนการนำเข้าชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน รวมถึงเทคโนโลยีสำคัญๆ สำหรับการผลิตยานยนต์ ด้านสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) เปิดเผยว่า ยอดขายรถในจีนช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้พุ่งแตะที่ 16.4 ล้านคัน และคาดว่าจะพุ่งแตะ 18 ล้านคันในปีนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในปีที่ผ่านมาจีนก้าวขึ้นแซงหน้าสหรัฐเป็นตลาดรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยยอดขายรถที่ 13.65 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดการผลิตรถพุ่งสูงขึ้น 48% แตะ 13.79 ล้านคัน และหากในปีนี้จีนสามารถทำยอดขายรถได้ 18 ล้านคันจะส่งผลให้ยอดขายและยอดการผลิตรถในปีนี้พุ่งสูงกว่าปีที่แล้ว 30% --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล โทร.02-2535000 อีเมล์: orasa@infoquest.co.th-- จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 11:52:01

ความคิดเห็นที่ 5 ญี่ปุ่นแห่ผลิตเครื่องจักรยานยนต์ในไทยค่ายรถเชื่อช่วยเสริมทัพสู้จีน-เกาหลีแย่งตลาด ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- จันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2553 03:53:58 น. นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ในฐานะประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า ปี 2554 ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องจักรยานยนต์จากญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง จะย้ายฐานการผลิตมายังไทย ซึ่งเป็นโอกาสดีของการลงทุนไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมาก โดยเฉพาะจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าเครื่องจักรจากปัจจุบันที่ต้องสั่งซื้อจากเยอรมัน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และจีน มาใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอนาคต เพราะ 3-5 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีแนวโน้มจะถูกผู้ผลิตในจีน และเกาหลีใต้ แย่งตลาดมากขึ้น ในอนาคตทั้ง 2 ประเทศจะเป็นคู่แข่งแย่งตลาดส่งออกรถยนต์กับไทย เพราะมียี่ห้อรถยนต์เป็นของตัวเอง และได้เปรียบด้านต้นทุนเพราะมีโรงถลุงเหล็กในประเทศ ซึ่ง ส.อ.ท.ต้องการให้รัฐบาลรักษาการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือฮับในภูมิภาค ด้วยการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับการลงทุนโครงการเหล็กต้นน้ำในไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ถ้าจะไม่ให้เกิดขึ้นก็ต้องมีมาตการอื่นๆช่วยเหลือ เช่น ลดภาษีนำเข้าเหล็กแผ่นที่จะนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ขณะนี้ ทางผู้ประกอบการอยู่ระหว่างเร่งผลิตรถยนต์ให้ทันต่อความต้องการลูกค้า เพราะหลายค่ายกังวลว่าลูกค้าจะได้รับรถยนต์บางรุ่นล่าช้าถึง 4 เดือน จากปกติที่ส่งมอบภายใน 2-3 เดือน หลังจากเดือนธันวาคมนี้คาดว่าจะมียอดจองรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 83,000-85,000 คัน ซึ่งอาจเป็นปริมาณสูงสุดในประวัติศาสตร์ 50 ปี นับตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์ในไทย โดยได้รับอานิสงค์จากงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 27 และปลายปีนี้หลายบริษัทมีการแจกเงินโบนัส "ช่วงเดือนธันวาคมที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน แต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนและค่ายรถยนต์ยอมจ่ายเงินค่าล่วงเวลา หรือโอที ให้พนักงานทำงานโดยไม่หยุด เพื่อผลิตรถยนต์ให้ทันตามออเดอร์ ซึ่งคาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์เกินเป้าไม่ต่ำกว่า 20,000 คัน จากเดิมที่ทุกค่ายมีแผนจะผลิตรวมกันเพียง 127,000 คัน ส่วนนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ระดับหนึ่ง เพราะถ้าราคาน้ำมันแพงเกินไปจะส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ได้" นายสุรพงษ์ กล่าว จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 11:55:45

ความคิดเห็นที่ 6 ข่าวเด่นรอบปี : "โฟล์ค"ขอแซงยอดขายโตโยต้า       ยุคที่จีเอ็มล่มสลายไปในปี 2009 ทำให้โตโยต้าสามารถขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกได้สำเร็จ แต่ทว่าบัลลังก์ของโตโยต้าก็ต้องเริ่มสั่นคลอน เมื่อปี 2010 โฟล์คสวาเกนประกาศชัดเจนว่าจะทำทุกวิถีทางในการโค่นโตโยต้าให้ได้ และวางเป้าหมายระยะยาวเอาไว้ว่าปี 2018 จะต้องเป็นผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 1 ของโลกให้จงได้  การประกาศนโยบายนี้ทำให้โฟล์คสวาเกนเดินหน้าเต็มอัตราในการแซงหน้าเพื่อขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดของโลกแทนที่โตโยต้า โดยประกาศทุ่มเงินจำนวน 71,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 2.13 ล้านล้านบาทสำหรับการลงทุนในทุกเพิ่มยอดผลิตและยอดขายของตัวเองให้สามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ภายในปี 2018             ดร.มาร์ติน วินเตอร์คอร์น ซีอีโอของโฟล์คฯ กล่าวว่า ‘การลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ของโฟล์คสวาเกน และเรามีความต้องการที่จะเดินตามรอยเพื่อให้แผนกลยุทธ์ปี 2018 บรรลุตามที่วางเอาไว้’             สำหรับเงินลงทุนจำนวนนี้จะถูกนำมาใช้ในการทำงานในส่วนต่างๆ ของโฟล์คสวาเกนตลอดช่วงปี 2011-2015 โดยจำนวน 27,700 พันล้านยูโร หรือ 1.33 ล้านล้านบาทจะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของโฟล์คสวาเกนที่มีอยู่ในตลาดให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการเพิ่มทางเลือกใหม่ๆ ออกสู่ตลาด โดยการพัฒนาเหล่านี้จะมุ่งเน้นไปทุกแบรนด์ที่อยู่ในเครือ เช่น เบนท์ลีย์, สโกดา, เซียท, ปอร์เช่, ออดี้ และลัมบอร์กินี             นอกจากนั้น อีกจุดที่ทางโฟล์คฯ ให้ความสำคัญคือ การยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้นของลูกค้า โดยจะเน้นทั้งในส่วนการเปลี่ยนแปลงของโรงงานปั๊มขึ้นรูปตัวถัง, การพ่นสี และไลน์ประกอบรถยนต์             ส่วนของไลน์การผลิตที่จะมีการก่อสร้างใหม่นั้น ทางโฟล์คฯ ยืนยันแล้วว่าจะก่อสร้างโรงงานที่เมือง Chattanooga มลรัฐเทนเนสซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นโรงงานหลักในการผลิตรถยนต์ของโฟล์คฯ เพื่อส่งขายในสหรัฐอเมริกา รวมถึงยังมีการขยายกำลังการผลิตของโรงงานในรัสเซีย และการก่อสร้างโรงงานในประเทศจีนอีกอย่างน้อย 2 แห่ง             การเพิ่มรุ่นรถยนต์ในตลาดถือเป็นอีกกลยุทธ์ในการพาโฟล์คฯ ให้ขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกยานยนต์ ซึ่งในตอนนี้ทางแบรนด์ดังของเยอรมนีต้องการเพิ่มตัวเลือกใหม่ๆ ในตลาดผ่านแบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือ และในปี 2012 มีการตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 8 ล้านคัน ส่วนในปี 2015 จะมีการเพิ่มตัวเลขเป็น 10 ล้านคันให้ได้ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 11:56:46

ความคิดเห็นที่ 7 ญี่ปุ่นเผยยอดผลิตรถในประเทศปีนี้ ส่อแววไม่ถึง 10 ล้านคันเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2553 19:05:34 น. สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ญี่ปุ่น (JAMA) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศปี 2553 มีแนวโน้มว่าจะต่ำกว่าระดับ 10 ล้านคัน หลังจากที่การผลิตรวมในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่เพียง 8,877,993 คัน ทั้งนี้ ในปี 2552 ยอดการผลิตรถยนต์รวมในประเทศญี่ปุ่นร่วงลงต่ำกว่าระดับ 8 ล้านคันเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี สำหรับยอดการผลิตรวมในช่วงเดือนม.ค.-พ.ย.ปีนี้ เพิ่มขึ้น 24.2% จากปีก่อน ขณะที่ยอดการผลิตรถในเดือนพ.ย.เดือนเดียว อยู่ที่ 802,009 คัน ลดลง 6.7% ยอดผลิตยานยนต์ในประเทศญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง 11 เดือนจนถึงเดือนก.ย. โดยได้รับอานิสงส์จากโครงการให้เงินอุดหนุนรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และจากการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอดการผลิตกลับมาปรับตัวลดลง 2 เดือนติดต่อกันในเดือนต.ค.และพ.ย. เนื่องจากสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการดังกล่าว อย่างไรก็ดี โทชิยูกิ ชิกะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของนิสสัน มอเตอร์ ในฐานะประธาน JAMA กล่าวที่งานแถลงข่าวในวันนี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ยอดการผลิตยานยนต์ในประเทศจะดีดตัวขึ้นมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 10 ล้านคันเล็กน้อยในปีหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวในตลาดต่างประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th- http://www.ryt9.com/s/iq03/1057144 จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 12:00:18

ความคิดเห็นที่ 8 คุยกับ ประธาน จีเอ็มฯไทย ข่าวยานยนต์ หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- เสาร์ที่ 1 มกราคม 2554 00:00:19 น. บ้านเมืองยานยนต์ได้มีโอกาสคุยกับ นายมาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ ประจำประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เกี่ยวกับภาพรวมของตลาดรถยนต์ในบ้านเราปีนี้ และตลาดรถยนต์จีเอ็มฯทั่วโลก พร้อมทั้งเชฟโรเลต จะเอาอะไรมาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์ของ ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา บ้านเมือง-คิดอย่างไรกับภาพรวมของตลาดรถยนต์ประเทศไทย ในปีพ.ศ.2554 นายมาร์ติน แอพเฟล - ประเทศไทยถือเป็นจุดศูนย์กลางการดำเนินงาน ของจีเอ็ม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องเรามั่นใจว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาไปเป็น "ดีทรอยท์แห่งเอเชีย" เราสามารถพูดได้ว่าตลาดจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีหน้า ผู้เชี่ยวชาญหลายคนประเมินไว้ว่า ตลาดรถยนต์เมืองไทยจะมียอดจำหน่าย 650,000 คันแต่อย่างที่ทราบกันว่ายอดจำหน่ายจริงนั้นสูงถึง 800,000 คันแล้ว สิ่งที่เราพูดได้ ณ เวลานี้ ก็คือเรามีความเชื่อมั่นในตลาดรถยนต์เมืองไทย มีแนวโน้มการขยายตัวต่อไป ด้วยการสนับสนุนที่ดีจากส่วนภาครัฐ พร้อมทั้งการเพิ่มการลงทุนเพิ่มเติมในปรเทศของค่ายยานยนต์ต่างๆ มีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นหลายเท่า รวมถึงมีการเพิ่มมูลค่าการซื้อขายอะไหล่ ชิ้นส่วน และการบริการต่างๆภายในประเทศมากขึ้นอีกด้วย จีเอ็ม และเชฟโรเลต ประเทศไทย จะเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพของเรา รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจทุกฝ่าย นอกเหนือจากนั้นคือแผนงานเชิงรุกในการยกระดับประสบการณ์อันน่าประทับใจในการเป็นเจ้าของรถเชฟโรเลตต่อไปในอนาคต จีเอ็มประเทศไทย มีแผนการขยายธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งในประเทศและภูมิภาค โดยต้องการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 10 % ภายในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ โดยสิ่งที่เราเน้นย้ำอย่างมาก คือการพัฒนาการบริการ ทั้งก่อนและหลังการขาย อาทิ ราคาค่าบำรุงรักษา การบริการที่ฉับไว ตลอดจนเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายที่ครอบคลุม ผู้ใช้รถในเมืองไทยยังมีความคิดที่ว่ารถยนต์เชฟโรเลตมีค่าซ่อมแพง ราคาอะไหล่สูง ซึ่งจริงๆ แล้วราคาไม่ได้แพงอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง แต่ในทางตรงกันข้ามค่าบำรุงรักษาของเรา ไม่แตกต่างจากค่ายรถอื่น หรือ อาจจะประหยัดกว่าด้วยซ้ำ เรายังต้องการสื่อสารให้ผู้ใช้รถได้รับทราบด้วยว่า ราคาค่าชิ้นส่วนอะไหล่ของ เชฟโรเลตนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่ง ซึ่งบางชิ้นส่วนยังมีราคาถูกกว่าด้วยซ้ำไป พร้อมกันนี้ยังมีความรวดเร็วในการส่งถึงผู้แทนจำหน่าย เพื่อการให้บริการอย่างฉับไวต่อลูกค้าอีกด้วย ปัจจุบันเรามีเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งจำนวน 93 แห่งทั่วประเทศและมีความพร้อมเต็มที่ในการให้บริการลูกค้า ที่ผ่านมาเรามีแคมเปญพิเศษออกมาอย่างต่อเนื่อง ที่ช่วยสนับสนุนการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ประทับใจที่สุด โดยในปี 2554 นี้ จำนวนเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายของรถยนต์เชฟโรเลตจะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 20% สำหรับการรุกตลาดยานยนต์ในปีหน้า คาดว่าจะมุ่งเน้นสื่อสารตรงกับกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น โดยเราเล็งเห็นว่า สื่อสังคมออนไลน์เช่น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ทำให้เราสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ภายในเวลาอันรวดเร็วและทำให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับ แบรนด์ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งความรวดเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยุคที่ทุกคนต่างเร่งรีบ ยิ่งเราหาทางเข้าถึงพวก เขาได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเป็นการดีเท่านั้น นอกจากการพัฒนาแผนธุรกิจองค์กรแล้ว เรายังมุ่งมั่นที่จะทำอย่างสุดความสามารถในการพัฒนาสังคมไทยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา จีเอ็ม และเชฟโรเลต ประเทศไทย ได้ร่วมรณรงค์และดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการพัฒนาการศึกษา ทั้งการสร้างห้องสมุดให้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล และการมอบเทคโนโลยียานยนต์ให้แก่โรงเรียนอาชีวศึกษาหลายแห่งทั่วประเทศ หรือ โครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำโครงการความปลอดภัยบนท้องถนนให้แก่เด็กๆ ทั่วประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ในส่วนของศูนย์การผลิตรถยนต์จีเอ็มประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง ถือเป็นโรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะได้ถูกรับรองให้เป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่ปลอดจากการฝังกลบขยะจากกระบวนการผลิตอีกด้วย การปลอดการฝังกลบขยะและวัสดุเหลือใช้จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการนำเอาอุตสาหกรรมรถยนต์ออกจากสมการผลกระทบสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน จีเอ็มได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการผลิตรถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำ เราใช้ความพยายามอย่างมากไม่เพียงแต่ในการผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย  บ้านเมือง - จะมีไฮไลท์ใดในงานมอเตอร์โชว์ นายมาร์ติน แอพเฟล - แน่นอนว่ายังต้องเป็นเชฟโรเลต ครูซ รถคอมแพ็กต์ซีดานที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ การออกแบบที่ยอดเยี่ยม ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ระบบกันสะเทือนแบบยูโรไรด์ที่เกาะถนนแน่นหนึบในทุกการขับขี่ ตลอดจนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน และความปลอดภัยที่เพียบพร้อม ขณะเดียวกัน เรายังมีเชฟโรเลต อาวีโอ CNG ที่ได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้ามากมายเช่นกัน โดดเด่นที่ความประหยัดแต่ก็ไม่สูญเสียความสะดวกสบายทั้งในด้านความกว้างขวางของห้องโดยสาร และสมรรถนะที่ดีเยี่ยม เชฟโรเลต อาวีโอ CNG ยังได้รับการพัฒนาให้มีความทนทานสูงรองรับทุกการใช้งานได้เป็นอย่างดี จึงเป็นรถซับคอมแพ็กต์ซีดานที่เหมาะสมกับผู้ที่มองหาความประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีเชฟโรเลต แคปติวา เครื่องยนต์เบนซินใหม่ขนาด 2.4 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุดถึง 165 แรงม้า เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่แรงที่สุดในตลาดรถอเนกประสงค์เวลานี้ แต่โดดเด่นยิ่งกว่าด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ไม่เพียงแต่ขุมพลังใหม่เท่านั้น เชฟโรเลต แคปติวา รุ่นพิเศษนี้ยังได้รับการติดตั้งระบบอาร์คามี่ (Arkamys) ระบบเครื่องเสียงเทคโนโลยีสามมิติจากยุโรปใหม่ล่าสุด ผู้โดยสารทุกที่นั่งจะได้สัมผัสกับคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมเหมือนกับมีลำโพงรอบทิศ 9 ตัว นอกจากนี้ยังติดตั้งพอร์ทยูเอสบีเพิ่มเติม สำหรับไฮไลท์ของบูธเชฟโรเลต ในงานมอเตอร์โชว์ยังมีอีกแน่นอน โดยเฉพาะ "รถกระบะสายพันธุ์ใหม่" ที่ได้ถูกพัฒนาและกำลังจะเปิดตัวสู่ตลาดรถเมืองไทยในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ ทางเชฟโรเลต ยังมีไฮไลท์ อื่นๆที่น่าจับตามองในปีพ.ศ. 2554 นี้ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 12:01:35

ความคิดเห็นที่ 9 ญี่ปุ่นเผยยอดขายรถใหม่เดือนธ.ค.ร่วง 26.4% หลังมาตรการจ่ายเงินอุดหนุนสิ้นสุดลง ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2553 14:12:05 น. ยอดขายรถใหม่ในญี่ปุ่นยังคงซบเซาในเดือนธันวาคม จากผลกระทบของมาตรการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ซื้อรถประหยัดพลังงานของรัฐบาลที่หมดอายุลงเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักข่าวข่าวเกียวโดรายงานว่า ยอดขายรถใหม่ของญี่ปุ่นในเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลง 26.4% หลังจากที่มาตรการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ซื้อรถประหยัดพลังงานสิ้นสุดลงเมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. ส่งผลให้ยอดขายรถในญี่ปุ่นเดือนต.ค.ปรับตัวลดลง 26.7% และยอดขายรถในเดือนพ.ย.ร่วงลง 30.7% ทั้งนี้ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นมียอดขายร่วงลงราว 31% ในเดือนธ.ค. ขณะที่ฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์มียอดขายลดลงราว 28% http://www.ryt9.com/s/iq02/1056292 จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 12:05:37

ความคิดเห็นที่ 10 วันนี้มีทั้งที่ขายดี ขายไม่ดี ขายพุ่ง ขายลงปนๆกันไป อิอิ ^^" ขอให้ชาวออโต้(และไม่ออโต้)มีความสุขตลอดปี ตลอดไป สุขภาพกาย สุขภาพใจสมบูรณ์แข็งแรงนะครับ ... สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ ... จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 12:09:36

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณคุณ BIG@ThaiVI  ^^ วันที่ 02 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7339 ข่าวสดรายวัน ไล่กวดเป้าอันดับ10โลก-แห่ซื้อรถจองนาน6ด. สถาบันยานยนต์คาดปี"54ผลิต2ล.คัน นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ในปี′54 นี้คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะยังเป็นปีทองอีกปี หลังจากปีที่ผ่านมาไทยสามารถผลิตรถยนต์กว่า 1.65 ล้านคัน เติบโต 65% ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้บรรลุในการทำลายสถิติทั้งด้านการผลิต การขายในประเทศและการส่งออก ทำให้เลื่อนอันดับประเทศผู้ผลิตรถยนต์จากอันดับที่ 14 ของโลก เป็นอันดับที่ 12 ของโลก โดยคาดว่าในปี′54 ยอดผลิตรถยนต์จะสูงถึง 2 ล้านคัน สูงกว่าที่ค่ายรถยนต์ได้ประเมินไว้ว่าจะผลิตที่ 1.8 ล้านคัน ทั้งนี้แนวโน้มยอดขายรถยนต์อยู่ในระดับที่ดีมาก ขณะนี้รถบางรุ่นต้องสั่งจองไว้ 3-4 เดือน ค่ายรถยนต์เองแม้ให้พนักงานทำงาน 24 ชั่วโมงแล้วยังผลิตไม่ทันคำสั่งซื้อที่ทะลักเข้ามา โดยในปีนี้รถยนต์ที่จะเปิดตัวใหม่ๆ อาทิ รถปิกอัพที่ถึงรอบเปลี่ยนรุ่นใหม่ๆ รถยนต์ประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ของฮอนด้า ที่จะผลิตไตรมาสแรกปี′54 มิตซูบิชิ และซูซูกิ จะผลิตประมาณปี′54 นายวัลลภ กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยใช้กำลังการผลิตค่อนข้างเต็มเพดานแล้วในหลายค่ายรถยนต์ จึงมั่นใจว่า ค่ายรถยนต์ที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่แล้ว จะเริ่มวางแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการผลิตรถยนต์ไทยในปี′54 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.6 ล้านคัน จากที่ปี′54 มีความสามารถที่จะผลิตรถยนต์ของประเทศไทยในภาพรวมทำได้ถึง 2 ล้านคัน แต่ผลิตจริงเพียง 1.65 ล้านคัน ซึ่งการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวเพื่อรองรับเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าไทยจะสามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 10 จะต้องมีการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน แต่หากค่ายรถยนต์ 5 ค่าย ที่มีแผนผลิตอีโคคาร์ เดินหน้าเต็มที่จะเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์อีก 7 แสนคันจะทำให้เป้าหมายการขึ้นเป็นท็อปเท็นของโลกน่าจะเร็วขึ้น ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรม ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการเติบโตของตลาดรถยนต์ ทำให้บางคนตัดสินใจซื้อรถแล้ว ต้องรอรถยนต์ใหม่เฉลี่ย 3 เดือน และสำหรับอีโคคาร์ต้องจองนานถึง 6 เดือน เพราะเป็นรถยนต์ที่สร้างตลาดใหม่ขึ้นมา นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในฐานะรองผู้จัดการใหญ่ รัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า นิสสันมาร์ชได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น ที่มียอดส่งออก สูงถึง 7 หมื่นคันแล้ว ในขณะที่ยอดขายภายในประเทศสูงกว่า 2 หมื่นคัน รวมแล้วนิสสันสามารถผลิตอีโคคาร์ได้แล้วกว่า 9 หมื่นคัน ในปี′54 มีแผนขยายตลาดอีโคคาร์ไปออสเตรเลีย ดังนั้นในเร็วๆ นี้นิสสันจะมียอดผลิตมากกว่า 1 แสนคัน/ปี เป็นไปตามเงื่อนไขการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่กำหนดว่า จะต้องมียอดผลิตไม่น้อยกว่า 1 แสนคันในปีที่ 5 เป็นการคาดการณ์ของผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 15:00:17

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบใจจร้า.. 2 ล้านคันนี่จะทำจริงอ่ะ.. ? วันนี้ไม่มีอะไรมาฝากเลย  นี้ไปดูเล่นๆ อิๆ จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 18:45:06

ความคิดเห็นที่ 13 ขายรถมาก=คนใช้รถมาก=รถติดมาก +"+ จากคุณ : opar156 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 18:56:09

ความคิดเห็นที่ 14 แล้วจะมีถนนให้รถวิ่งเหรอ จากคุณ : อ้วนตุ้ยนุ้ย เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 21:08:43

ความคิดเห็นที่ 15 ปีนี้ขอโบนัส 10 เดือน สาธุ... จากคุณ : คนดีผีคุ้ม เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 18:54:18