นานาทัศนะ 'เซียนหุ้น' http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=18122 Asset Allocation ของ 'เซียนหุ้น' โดย : ชาลินี กุลแพทย์
'เซียนหุ้น' ฟันธง! ตลาดหุ้นปี 2554 ยังเป็น 'ขาขึ้น' เล่นง่าย แต่ผลตอบแทนอาจ 'ไม่สูง' ปัจจัยภายในประเทศไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
แต่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง หุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ยังเป็นดาวเด่น
เซียนหุ้นพันล้าน "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล มีมุมมองต่อตลาดหุ้นปี 2554 ยังคงอยู่ในแนวโน้ม "ขาขึ้น" แม้การเมืองไทย และภาวะเงินเฟ้อจะยังไม่น่าไว้วางใจ แต่การที่เงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยค่าเงินดอลลาร์อ่อนจะช่วย ผลักดันให้ SET Index น่าจะเดินหน้าต่อไปได้
เสี่ยปู่ แนะนำจัดพอร์ตการลงทุนแบ่งเงินลงหุ้น 60-70% เน้นตัวที่ค่า P/E ต่ำๆ และแนวโน้มผลประกอบการดี ยกตัวอย่างเช่น JAS, SAT และ STA โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์จะได้รับผลดีจากการที่ไทย จะกลายเป็น "ฮับ" ของภูมิภาค
เซียนหุ้นพันล้านหลีกเลี่ยงที่จะทำนาย SET Index ปี 2554 กล่าวเพียงว่า รู้เพียงแต่แนวโน้มยังเป็น "บวก" การลงทุนของตนเองจะเน้นดูหุ้นเป็นรายตัวมากกว่าดูดัชนี
ด้านเซียนหุ้นเก็งกำไรรายใหญ่ระดับแถวหน้า "เสี่ยป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง มอง ว่า ตลาดหุ้นปีนี้คงได้เห็น 1,200 จุด บางคนที่มอง 1,500 จุด ส่วนตัวคิดว่า "แพงไปหน่อย" สิ่งที่อยากเตือนตลาดหุ้นปีนี้ต้องเล่นอย่างระมัดระวัง เพราะหุ้นขึ้นมาตลอดช่วง 1-2 ปี (2552-2553) มีโอกาสปรับฐาน "ลงแรง" ได้เช่นกัน ฉะนั้นให้เลือกเล่นหุ้น "บิ๊กแคป" เพียงอย่างเดียว กลุ่มที่น่าลงทุน พลังงาน และ ธนาคารพาณิชย์ ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ น้ำมันแพงและดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น
เสี่ยป๋อง บอกว่า หุ้น PTT น่าสนใจที่สุด เพราะ P/E ต่ำเพียง 10 เท่า ขณะที่ P/E ตลาดอยู่ที่ 14 เท่า ส่วนหุ้นกลุ่มแบงก์ "น่าซื้อเกือบทุกตัว" สำหรับตัวที่ค่า P/E ต่ำกว่าตลาดก็มี KTB และ BBL สำหรับกลยุทธ์การลงทุนควรเล่นหุ้น "ตามจังหวะ" ช่วงไหนที่ตลาดดีเล่นได้ 100% แต่ถ้าช่วงไหนดูแล้วเสี่ยงก็ให้ "ล้างพอร์ต" เป็นศูนย์
ถามว่าปี 2554 มีโอกาสได้กำไรมากเหมือนกับปี 2553 หรือไม่ เสี่ยป๋อง ตอบทันทีว่า "ยาก"
เซียนหุ้นรายใหญ่พอร์ตหลายร้อยล้านบาท "เสี่ยวิลลี่" วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา มองว่า SET Index ปี 2554 มีโอกาสไต่ไปถึง 1,300 จุด โดยมีเงื่อนไขว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาต้องมีแนวโน้มฟื้นตัว และจีนยังเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก สำหรับปัจจัยภายในประเทศไม่น่ากังวลเว้นเสียแต่ว่าการเมือง"เปลี่ยนขั้ว" ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องประเมินสถานการณ์กันใหม่ สำหรับ "แนวรับ" 1,000 จุด ได้เห็นแน่ !
วิรัตน์ แนะนำว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ให้นักลงทุนเน้นลงทุน "หุ้นปันผล" โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน เพื่อความปลอดภัย ให้แบ่งเงินมาลงทุนหุ้นประมาณ 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% ให้ซื้อหุ้นกู้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ หรือลงทุนตราสารหนี้ เพื่อรับดอกเบี้ยขาขึ้น
"หากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัว และภายในประเทศไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์ ผมเชียร์ให้นักลงทุนซื้อหุ้นไปเลย 50% เพราะหากไม่มีอะไรผิดพลาดปี 2554 นักลงทุนคงได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20-30%"
ด้านเซียนหุ้นลายคราม นายแพทย์บุญ วนาสิน ฟันธงว่าดัชนีหุ้นปี 2554 ได้เห็นแน่ 1,150-1,200 จุด เพราะเม็ดเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ จากมาตรการ QE2 ของรัฐบาลอเมริกันต้องมีบางส่วนไหลเข้ามาในเอเชีย คิดคร่าวๆ หากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาสุทธิ 500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นได้ประมาณ 100 จุด
"ผมเชื่อว่าเงินส่วนนี้มาแน่นอนเพราะมันไม่มีที่ไปแล้ว ตลาดยุโรปก็ยังไม่ดี มีเพียงแถบเอเชียเท่านั้นที่ยังพอหากำไรได้จากการลงทุน ปีนี้แนะนำให้ลงทุนหุ้น 40% อาจจะต่ำกว่าปี 2553 ที่เคยเชียร์ให้ลงทุนหุ้น 60% ส่วนที่เหลืออีก 60% ให้นักลงทุนนำไปลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศโดยเฉพาะพันธบัตรออสเตรเลีย และจีน เพราะดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนทองคำไม่แนะนำเพราะเล่นยาก" หมอบุญ กล่าว
ด้านแวลูอินเวสเตอร์หมายเลขหนึ่งของเมืองไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กล่าวว่า ตลาดหุ้นปี 2552-2553 ดีมากติดต่อกัน 2 ปีซ้อน เพราะฉะนั้นในปี 2554 คงไม่เติบโตเท่ากับปี 2553 โดยส่วนตัวเชื่อว่าตลาดหุ้นปีกระต่ายมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เพียง 5-10% จากสิ้นปี 2553
ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนยังน่าสนใจ ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า หุ้นกลุ่ม "สาธารณูปโภค" น่าสนใจมากที่สุด เพราะหุ้นกลุ่มนี้ปลอดภัยจากภาวะการเงิน และเศรษฐกิจโลก โอกาสได้กำไรจากการลงทุน 8-9% มีสูงมาก ซึ่งผลตอบแทนระดับนี้ถือว่า "โอเค" ที่สุดแล้ว ปีนี้ใครหวังผลตอบแทน 20% คงไม่ง่ายนัก เว้นเสียแต่ว่านักลงทุนคนนั้นจะมีเทคนิคการเล่นหุ้นที่แตกต่างจากคนอื่น
สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน ดร.นิเวศน์ แนะนำว่า คนที่รับความเสี่ยงได้สูงให้ลงทุนหุ้นไปเลย 50% ที่เหลือให้ลงทุนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเน้นพวกพันธบัตร กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และเงินสด สำหรับทองคำห้ามลงเกิน 5% ส่วนเงินสดให้เก็บไว้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในช่วง 5-6 เดือนข้างหน้า
ส่วนนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงปานกลางแนะให้ลงหุ้นเพียง 30% ที่เหลือก็ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเหมือนที่บอกไปข้างต้น สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเพียง 10% และห้ามลงทุนในทองคำเป็นอันขาด เพราะปีนี้ทองคำจะค่อนข้างผันผวนสูงมาก
ทางฝั่งโบรกเกอร์ พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าว ว่า SET Index ปี 2554 มีเป้าหมายที่ 1,200 จุด เพราะภาวะเศรษฐกิจนอกประเทศไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ปัญหายุโรปและจีนคงไม่ยืดเยื้อ ส่วนในประเทศทุกอย่างคงดีขึ้นตามลำดับ
หุ้นกลุ่มโรงกลั่นถือว่าน่าลงทุนมากที่สุด บนสมมติฐานราคาน้ำมัน 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับหุ้น TOP บล.บัวหลวง ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ระดับ 70 บาท IRPC ราคาเหมาะสม 5 บาท และ PTTAR เป้าหมาย 42 บาท หุ้นกลุ่มโรงกลั่นผลประกอบการปีนี้คงเติบโตได้ดี กลุ่มสถาบันการเงินก็น่าลงทุน เช่น KBANK ราคาเป้าหมาย 145 บาท SCB ราคาเหมาะสม 134 บาท และ BBL เนื่องจากปีนี้ผลการดำเนินงานยังเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
“เราไม่เชียร์ให้ซื้อหุ้นกลุ่มอาหาร เพราะติดปัญหาค่าเงินบาท ส่วนกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มบริการ ยังพอลงทุนได้ แต่ต้องดูเป็นรายตัว อย่าเหมาว่าทุกตัวจะดีเหมือนกันหมด”
ด้าน กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีปี 2554 จะยืนระดับ 1,220 จุด มีค่า P/E เฉลี่ย 12 เท่า ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ ROE ระดับ 16.5% ทั้งนี้คาดว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อ เนื่อง ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ประมาณ 20% กลุ่มที่จะผลักดัน SET Index ขึ้นในปี 2554 ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี และพลังงาน โดยเฉพาะ BANPU และ PTTCH ปีนี้จะเป็น “ดาวรุ่ง” เพราะกำไรสุทธิจะเติบโตขึ้นค่อนข้างมาก
"กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้น LH เพราะบริษัทเริ่มหันไปขยายโครงการแนวราบแทนแนวสูงที่นับวันยิ่งทำยากขึ้น รวมถึงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลการดำเนินงานอาจจะชะลอตัวลง"
สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดว่าดัชนีเฉลี่ยในปี 2554 จะปรับตัวไปยืน 1,133 จุด โดยดัชนีสูงสุดอาจอยู่ที่ 1,201 จุด และต่ำสุด 907 จุด นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลาง-ยาว ให้เน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราเงินปันผลสูง และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นควรใช้ความระมัดระวังให้ดูจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
๐ 'เอกยุทธ' ประเมิน SET Index 1,300-1,500 จุด
เอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยในปี 2554 โอกาสที่จะมาเล่นที่ระดับ 1,300-1,500 จุด "ยังมีสูงมาก" สาเหตุเป็นเพราะว่าดูสัญญาณจากบรรดากองทุนรายใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา พบแนวโน้มว่าจะมีการขยับขยายไปลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากเจอกฎเกณฑ์ใหม่ๆ และการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น ทำให้กองทุนขนาดใหญ่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเงินทุน
"เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า นอกจากตลาดหุ้นในแถบยุโรปที่น่าสนใจแล้ว ยังมีตลาดหุ้นเอเชียที่กองทุนรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกากำลังเฝ้ามองและศึกษา อยู่ แต่ยืนยันว่าไม่น่าจะใช่ตลาดญี่ปุ่นและจีน ขณะที่เกาหลีใต้นั้นก็ไม่น่าสนใจเพราะยังมีความกังวลปัญหาการสู้รบที่อาจมี ขึ้นกับเกาหลีเหนือ โดยบรรดากองทุนขนาดใหญ่กำลังเฝ้ามองมาที่ตลาดไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย"
เอกยุทธ บอกว่า ปีนี้คงไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าเป็นห่วง การเมืองหลายคนก็เริ่มชินชาแล้ว ส่วนปัญหาต่างประเทศคงไม่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์ จนทำให้ดัชนีทรุดตัวอย่างรุนแรง เว้นเสียแต่มีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้น สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตามองคือ "อัตราแลกเปลี่ยน" ในระยะกลาง-ยาว เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงซึ่งจะทำให้ราคาทองคำและราคาน้ำมันปรับตัวสูง ขึ้น อย่างราคาทองคำในปี 2554 มีโอกาสขึ้นไประดับ 1,600-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เขายังเตือนด้วยว่า ในปี 2554 จะมีเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นมากขึ้น รัฐบาลและผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องวางแผนรับมือให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องของ "ค่าเงิน" และ "ราคาน้ำมัน" ที่จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน นักลงทุนควรมองภาพระยะกลาง-ยาว ตลาดทุนไทยยังน่าจะดี
โดยให้เน้นไปที่หุ้น กลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ อาหาร และอุปกรณ์ยานยนต์
"นักลงทุนควรเลือกหุ้นตัวหลักๆ และถือยาวๆ อย่าเล่นช่วงสั้นหรือเทรดรายวัน เพราะข่าวร้ายรายวันจะมีให้เห็นเสมอ ในปีนี้โอกาสได้รับผลตอบแทนระดับ 15-20% ยังทำได้ ส่วนการจัดพอร์ตลงทุนแนะนำให้ลงทุนหุ้น 80% ที่เหลือให้ซื้อพันธบัตรและฝากแบงก์"
เอกยุทธ แนะนำว่า หากดัชนีย่อตัวลงมาอยู่ระดับ 960-1,000 จุดให้เข้าซื้อหุ้น "บิ๊กแคป" สัดส่วน 60% โดยเฉพาะหุ้น "ครอบครัว ปตท." (PTT, PTTEP, PTTCH, PTTAR, TOP, IRPC) รวมถึงธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น KBANK ราคาเหมาะสม 120 บาท BBL ราคาเป้าหมาย 180 บาท และ SCB ราคาเหมาะสม 140 บาท
สำหรับเงินที่เหลือ 40% ให้ซื้อหุ้นกลุ่มอาหาร เช่น TUF, TVO และ CPF กลุ่มก่อสร้าง เช่น STEC, ITD และ CK เพราะปีนี้หุ้นกลุ่มก่อสร้างจะดี ส่วนหุ้น "ม้ามืด" STA ก็ยังน่าสนใจเพราะราคายางพารายังดีมาก ราคาเป้าหมาย 50 บาทมีโอกาสได้เห็น
๐ ลงหุ้น 'เอเชีย-ไทย' 50:50 กระจายความเสี่ยง
สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อ เนื่อง โดยเฉพาะประเทศจีน และอินเดีย ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 8% โดยมีปัจจัยจากภาคการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และเศรษฐกิจโลก ที่มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นแรงขับเคลื่อน เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม G3 อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ที่คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ "ช้ากว่า" ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้การลงทุนหุ้นในกลุ่มภูมิภาคเอเชียจะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดใน บรรดาทุกภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศจีน และอินเดีย เป็น 2 ประเทศหลักที่มีความน่าสนใจ โดย บลจ.ทิสโก้ ได้คาดการณ์ไว้ว่า P/E ปี 2554 ของดัชนี MSCI Asia Pacific ex Japan จะอยู่ที่ประมาณ 15-16 เท่า และมีอัพไซด์ประมาณ 15-20% โดยเฉพาะหุ้นจีนมีโอกาสทำกำไรได้มากถึง 30% จึงมองว่าโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และจีน ยังมีโอกาสการลงทุนที่ดีอยู่
โดยแนะนำลงทุนหุ้นเอเชีย และหุ้นในประเทศ ที่สัดส่วน 50:50 เพื่อเป็นการสร้างโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย
ด้าน พนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.แมนูไลฟ์ มองว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องและให้ผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดใน ภูมิภาค ในส่วนของเศรษฐกิจไทยคาดการณ์ตัวเลข GDP น่าจะมีอัตราการเติบโตได้ประมาณ 4% ในปี 2554
สำหรับในระยะสั้น ตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาเงินเฟ้อของจีน ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ตลอดจนปัญหาทางการเมืองในประเทศ สำหรับระยะยาว ทางแมนูไลฟ์ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาด
พนุกร คาดการณ์เป้าดัชนีปี 2554 ไว้ที่ 1,200 จุด โดยมีสาเหตุหลักจากการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะเติบโตต่อ เนื่องในอีก 3 ปีข้างหน้า (2554-2556) ประมาณ 15% ต่อปี
สำหรับหุ้นตัวเล็กหรือหุ้นเก็งกำไร เอกยุทธ "ไม่แนะนำ" ถ้าจะเล่นต้องดูพื้นฐานรายบริษัท โดยเฉพาะแนวโน้มผลประกอบการว่าเป็นอย่างไร ถ้าค่า P/E ไม่สูงมากก็ยังพอเล่นได้ แต่ถ้าเกิน 20 เท่าหลีกเลี่ยงไปเลยอย่าไปเสี่ยง
http://www.bangkokbiznews.com/home/d...ุ้น.html
จากคุณ |
:
โตขึ้นจะเป็นเซียน
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ม.ค. 54 19:31:56
|
|
|
|