ความคิดเห็นที่ 1 http://www.google.com/search?ie=tis-620&oe=tis-620&q=Daily+VI+discussion&sitesearch=pantip.com/sinthorn&x=0&y=0 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 08:19:23

ความคิดเห็นที่ 2 ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 08:19:45

ความคิดเห็นที่ 3 . จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 08:35:53

ความคิดเห็นที่ 4 สวัสดียามเช้าครับคุณ "คนจน(ไม่จริง)ที่อยากรวย(อยู่แล้ว)" ไม่กลัวว่า คุณตุ๊กฯ แกแอบเข้ามาอ่าน แล้วชวนไปอยู่ด้วยจริงๆ เหรอครับ ถ้าเป็นงั้นจริงๆ จะไม่มีเวลามาคุยกันนะเนี่ย แต่ อ่ะ อย่าคิดมาก ชวนดูดาวก่อน เมื่อคืน ดัชนีที่ฝั่งอเมริกาปิดใช้ได้ครับ มีเจ้าแด่กส์ตัวเดียวที่ลบนิดหน่อย ดาวโอเคครับ ---------------------------------------- http://www.muegao.blogspot.com พื้นฐานความรู้ บทความเกี่ยวกับ หุ้น การเงิน การลงทุน ธุรกิจ โดย มือเก่าหัดขับ ---------------------------------------- * Update บทความเพิ่มเรื่อยๆ ในช่วงที่ว่างครับ ลองแว่บๆ เข้ามาดูบ่อยๆ ครับ แต่ตอนนี้กำลังหิวข้าวเช้า ต้องเป็นนโยบายเร่งด่วนไปหาอะไรทานก่อนจ้ะ จากคุณ : มือเก่าหัดขับ เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:05:35

ความคิดเห็นที่ 5  วันนี้จั่วหัวกระทู้อาจดูนอกเรื่องไปสักหน่อย แต่หากอ่านดีๆแล้ว มันก็มีนัยยะของความหมายแฝงเอาไว้อยู่ วันเสาร์สบายๆ ผมขอนำบทความเกี่ยวกับคำสำคัญคำหนึ่งสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นมาให้ได้อ่านกัน คำนี้อาจดูเป็นคำเพ้อฝัน ถูกตั้งขึ้นมาแต่จับต้องไม่ได้ หรือ คำนี้หากศึกษาและทำความเข้าใจให้ดี ก็จะส่งผลดีต่อนักลงทุนผู้นั้นครับ -------------------------------------------------------- เชื่อว่าผู้ลงทุนหลายท่านคงเคยได้ยินชื่อของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffet) ซึ่งเป็น Value Investors ที่มีชื่อเสียงก้องโลก แต่มีอีกผู้หนึ่งที่ชื่อเสียงอาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูเท่ากับบัฟเฟตต์ แต่ถ้าเป็นผู้ลงทุนที่ลงทุนมาระยะเวลาหนึ่งย่อมต้องรู้จัก เบนจามิน เกรแฮม (Benjamin Graham) เพราะเขาผู้นี้เคยเป็นอาจารย์ของ บัฟเฟตต์ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเป็นหนึ่งในผู้ที่เป็นแม่แบบของการลงทุนแบบเน้นคุณค่ายุคบุกเบิก   บัฟเฟตต์ยังประกาศว่าที่เขาโด่งดังมาได้ถึงทุกวันนี้ ก็มาจากพื้นฐานที่เกรแฮมได้ปูไว้และถูกนำมาประยุกต์อีกต่อหนึ่ง  หลายคนยกย่องให้เกรแฮมเป็น “The Father of Financial Analysis and Value Investing” และ “Dean of Wall Street” เกรแฮมเป็นผู้เขียนหนังสือขายดี 2 เล่มที่บัฟเฟตต์แนะนำว่าเป็นหนังสือที่ผู้ลงทุนทุกคนต้องอ่าน “The Intelligent Investor” และ “Security Analysis” หลักการลงทุนของเกรแฮมเน้นที่การวิเคราะห์ทางการเงินของบริษัทซึ่งลงทุนโดยพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทและเงินปันผลที่ได้รับเป็นหลัก โดยสิ่งที่ผู้ลงทุนจดจำเกรแฮมได้ก็คือ ปรัชญาด้านการลงทุนของเขาที่เขามักจะพูดเสมอว่าประกอบขึ้นมาจากคำ 3 คำง่าย ๆ ก็คือ “Margin of Safety” - the price at which a share investment can be bought with minimal downside risk. หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัว ก็ได้ใจความว่า “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย = ราคาหุ้นที่สามารถเข้าซื้อได้โดยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ” หลักการลงทุนของเกรแฮมเพื่อให้เกิด Margin of Safety พอสรุปได้ดังนี้ ลงทุนในบริษัทใหญ่ที่มียอดขายดี ลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผล ลงทุนในบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง มี Current Assets > (Current and Long term Debt) มี Cash Flow ดี และมีภาระหนี้ต่ำ ลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน คือมีความมั่นคงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เน้นการวิเคราะห์อัตราส่วนราคา (Price Multiples) โดยดูจากค่า P/E โดยต้องมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และค่า P/VB < 1.2 เท่า (Book Value = Total Assets – Total Liabilities) แต่ถ้าจะให้อธิบาย Margin of Safety ให้ละเอียดขึ้นก็คือ การลงทุนด้วยการพิจารณาที่มูลค่าที่แท้จริงของกิจการว่ามีค่าเป็นเท่าไรต่อหุ้น หากเราสามารถซื้อหุ้นนั้นได้ถูกกว่าค่านี้ ก็หมายถึงว่าสามารถซื้อได้ในราคาที่มีส่วนลด และเขาเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาของหุ้นจะต้องปรับไปสู่ราคาที่เหมาะสมของมันเสมอ และผู้ลงทุนก็สามารถขายหุ้นนั้นออกไปในราคาที่มีกำไรจากส่วนต่าง เกรแฮมได้แนะนำวิธีการค้นหาหุ้นที่มี Margin of Safety ไว้โดยได้ตั้งเกณฑ์ไว้ 10 ข้อ และบริษัทใดก็ตามที่ตรงตามเกณฑ์ 7 จาก 10 ข้อนี้ถือว่าผ่าน โดยกฎเกณฑ์ข้อที่ 1-5 จะประเมินเรื่องความเสี่ยง ข้อที่ 6-8 จะดูในเรื่องความแข็งแกร่งทางการเงิน ข้อ 9-10 จะแสดงประวัติผลกำไรที่สม่ำเสมอ และต่อไปนี้คือเกณฑ์ 10 ข้อที่กล่าวถึงครับ มีอัตราส่วนผลกำไรต่อราคา หรือ E/P (ตรงข้ามกับ P/E) เป็น 2 เท่าของผลตอบแทนของหุ้นกู้ ระดับ AAA เช่น ถ้าหุ้นกู้ ระดับ AAA ให้ผลตอบแทน 6% อัตราส่วน ผลกำไรต่อราคา ก็ควรจะเป็น 12% มีค่า P/E ไม่สูงกว่า 40% ของค่าเฉลี่ยสูงสุดของหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเงินปันผลเป็น 2 ใน 3 ของดอกเบี้ยหุ้นกู้ ระดับ AAA ซึ่งนี่ก็เป็นการตัดหุ้นที่ไม่จ่ายเงินปันผลหรือไม่มีกำไรออกโดยอัตโนมัติ มีราคาหุ้นเพียง 2 ใน 3 ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตนต่อหุ้น (Tangible Book Value per Share) สินทรัพย์ที่มีตัวตนจะหมายถึง เงินสด และสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักรอุปกรณ์ และ เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน สินทรัพย์ถาวร ที่บริษัทชำระเงินหมดแล้ว มีราคาหุ้นเพียง 2 ใน 3 ของมูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิ มีหนี้สินทั้งหมดในจำนวนที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตน มีอัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio)>= 2 เพราะเป็นตัววัดสภาพคล่อง หรือความสามารถในการชำระหนี้สินจากรายได้ของบริษัท มีหนี้สินรวมไม่สูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิ มีผลกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีผลกำไรลดลงไม่เกิน 5% และไม่เกิน 2 ครั้งในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา เกรแฮมบอกว่าถ้าสามารถค้นหาหุ้นที่มี Margin of Safety ได้ก็เหมือนกับว่าการลงทุนในครั้งนั้นๆ มีแต่จะสร้างกำไร และมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำอีกด้วย สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มก็อาจจะหาหนังสือของเกรแฮมมาอ่านเพิ่มเติม และถ้าสนใจหนังสือของบัฟเฟตต์ทั้งภาคภาษาไทย และภาษาอังกฤษก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้านเซ็ทเทรด ดอท คอม ด้านหน้าอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือถ้าอยากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลทั้ง 2 ก็ลองเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.buffettsecrets.com ซึ่งข้อมูลบางส่วนของบทความนี้ก็นำมาจากเว็บไซต์นี้เช่นกันครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:07:42

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีครับพี่มือเก่าหัดขับ วันนี้ผมลอง post ข้อความแบบ copy text จากเวปอื่นมาลงโดยใช้ Rich mode ปรากฎว่า font ดูใหญ่เลอะเทอะ ไม่น่าอ่านเลย (ทีหลังไม่ใช้วิธีนี้แล้ว อิอิ) นอกเรื่องไปหน่อย เข้าเรื่องดีกว่า ถ้าตุ๊กกี้มาชวนผมเข้าแก๊งค์สามช่า ผมจะรีบตอบรับทันที ได้ร่วมงานกับเสี่ยปัญญาและทีมงาน workpoint หนทางข้างหน้าน่าจะดูดี เหมือนกับตัวหุ้น (รึเปล่า 55) แต่ก่อนสมัยผมเริ่มเล่นหุ้น (ต้องใช้คำว่า "เล่น") สามสี่ทุ่ม ผมต้องเริ่มนั่งเฝ้าตลาดดาวโจนส์เปิด และลุ้นว่ามันจะเปิดบวกหรือลบ ยิ่งสมัยก่อนโน้นน ตอน set index panic ช่วง 6-700 บางที เที่ยงคืนก็ยังไม่นอนเลยครับ นอนดูดาว (ด้วยความระทึก) พอตอนเช้าก็ต้องมาดูว่าปิดลบหรือบวก รวมถึงดัชนีฮั่งเส็งด้วยเช่นกัน ตอนนี้เลิกคบน้องดาวไปแล้วครับ อิอิ แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 54 09:25:44 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:18:52

ความคิดเห็นที่ 7 มาแอบอ่าน จำได้เมื่อก่อนเคยเห็นคุณคนจนที่อยากรวย อยู่ในกระทู้ นักรบ..... อยู่บ่อยๆ ตอนนี้กลายเป็น คนจนที่รวยแล้ว  ไปซะแล้ว ^^ ขอบคุณที่นำเครื่องดีๆ มาให้อ่านครับ จากคุณ : +:+ ITIM +:+ เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:28:54

ความคิดเห็นที่ 8 สวัสดีครับ มาตอกบัตรไว้ก่อน คนจนก็ต้องขยันทำงานแบบนี้ละครับ ต้องขยันมาตอกบัตรเอาไว้ เพราะไม่สามารถไปเล่นตลกกับตุ๊กกี้ได้ จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:29:47

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดีครับคุณ "คนจนฯ(ไม่จริง)" เรื่อง copy มาแปะแล้วตัวใหญ่นี้ ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นนะครับ โดยทั่วไปไม่น่าจะเป็น ถ้าคุณคนจนฯ เอาไปแปะใน notepad ก่อน แล้วไป copy จากใน notepad มาอีกรอบหนึ่ง เพื่อตัดเอาตัวอักษรพิเศษซ่อนเร้น (แบบมีวาระซ่อน เร้น) ที่มองไม่เห็นออกไปก่อน แล้วมาแปะในกระทู้อีกรอบหนึ่งครับ  ลองดูนะครับ ส่วนที่ว่า ถ้าจะไปอยู่กับเสียปัญญาจริงๆ ล่ะก็ ขอเบอร์โทรด้วยนะครับ เผื่อว่าจะได้ข่าววงในดิวิชั่นหนึ่งโดยไม่ต้องไปเป็นญาติของอนุภรรยาของใคร (เอ่อ.. เรื่องนี้ลึกลับซับซ้อน ต้องถามคุณพี่เอนโดรฯ ที่เป็นเจ้าตำรับแห่งการแบ่งสรร ดิวิชั่นของข่าวจ้ะ) ส่วนน้องดาว ดูเอาสนุกๆ ครับ มีผลกับจิตวิทยาบ้านเราบ้าง แต่ปู่ก็เป็นปู่ เป็นตัวของตัวเองครับ อิอิ จากคุณ : มือเก่าหัดขับ เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:35:23

ความคิดเห็นที่ 10 สวัสดีครับคุณ +:+ ITIM +:+ เส้นทางการลงทุนของผมเริ่มต้นจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้(ความเสี่ยงต่ำ) ก่อนหน้านั้น(ช่วง ปีครึ่งกว่าๆก่อนหน้านี้) ผมยังไม่รู้จักตลาดหุ้นเลยครับ ช่วงที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ผมก็อาศัยซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน ทำให้รู้ว่าการลงทุนในกองทุนสามารถเลือกรูปแบบได้ตาม "ความเสี่ยง" ที่เรายอมรับได้ จากตราสารหนี้ จึงค่อยๆขยับมาเป็นตราสารทุนที่ลงทุนใน SET50 ฯลฯ แต่พอเวลาผ่านไป มันทำให้ความคิดผมเปลี่ยน เหตุผลเพราะว่า การลงทุนในกองทุน SET50 ผมไม่สามารถ "ทำความเข้าใจ" อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ผมลงทุนอยู่ได้เลย ยาม nav ขึ้น หรือยาม nav ลง ผมก็ให้เหตุผลกับตัวเองไม่ได้ เหมือนกับลงทุนด้วยการคาดหวังแบบ "วันต่อวัน" ทำให้ไม่มีความสุข จึงหันหลังและเดินเข้าร้านหนังสืออีกครั้ง และผมก็ได้เจอหนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งครับ นั่นก็คือหนังสือ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์ ซึ่งหนังเล่มนี้ทำให้ทัศนคติ/มุมมองในการลงทุน เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:38:05

ความคิดเห็นที่ 11 หวัดดีครับพี่ฮะ ถึงจะเป็นคนจน แต่หากมีความขยัน(แม้จะต้องลุกตื่นเช้ามาตอกบัตร) ก็สามารถที่จะรวยได้ครับ ข้อแม้คือ ต้องรู้จักอดออม อิอิ ขอบคุณมากครับ พี่มือเก่า(ไม่)หัดขับ อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:43:19

ความคิดเห็นที่ 12 สวัสดีครับพี่ๆ :) มีเรื่องมาเล่า ... เมื่อคืนผมฝันว่าในชั้นหนังสือ(มุมหนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน) มีหนังสือเล่มใหม่มาเพิ่มเล่มนึงล่ะ... คือเล่มข้างล่างนี้ แฮะๆ ... สงสัยเป็นลงบอกเหตุ... เดือนนี้ตังค์กินขนมเหลือ ผมควรรีบไปซื้อมาอ่านรึป่าวเนี่ย อยากซื้อมานานละ แต่ไม่ได้ซื้อซักทีเพราะกลัวว่าซื้อมาแล้วจะไม่มีเวลาอ่านครับ ปล.พี่คนจนฯ หรือพี่ๆ(คนรวย)คนอื่นๆอ่านกันจบหรือยังครับ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:46:25

ความคิดเห็นที่ 13 The intelligent investor เล่มหนามากๆ มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ใครอ่านจบสามรอบ คบไม่ได้" คนที่บอกคือ...   ผมเอง ปล.เมื่อวานผมพึ่งไปซื้อเล่มนี้มา ใกล้จะได้ทำความรู้จักกับพี่ปีเตอร์แล้ว อิอิ แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 54 09:50:55 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 09:50:06

ความคิดเห็นที่ 14 อ่านจบอย่างละรอบแล้วครับ แนะนำให้อ่าน beating the street พี่เวบแปลด้วย จากคุณ : คุณหนูพีพี เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 10:10:40

ความคิดเห็นที่ 15 จาก เกรแฮม  มาสู่ บัฟเฟต์  จนถึง ดร.นิเวศน์... วันนี้ มรดกทางปัญญา แห่งการลงทุน ได้ตกทอด มาถึง บุคคล ผู้นี้แล้ว เราจะมาทำ ความรู้จักกับเขา ให้มากขึ้นอีกสักนิด   v v Quote: 1. แนะนำตัวสักนิดคับ สวัสดีครับ ผมชื่อ นายคนจนที่อยากรวย อยากรวยมาจะ 26 ปีแล้วครับ  ยังไม่รวยซักที ตอนนี้ทำงานเป็นลูกจ้าง(engineer) ให้กับนายจ้างบริษัทญี่ปุ่นเกี่ยวกับ Automotive Field อยู่ครับ กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะเชิญผมออก เพราะวันๆมัวแต่เข้าห้องสินธร งานการไม่ทำ Quote: 2. ลงทุนมานานหรือยัง ,ประสบการณ์ลงทุนเป็นอย่่างไรบ้าง ก่อนอื่น ขอแยกคำว่าการลงทุนออกเป็นสองประเภทก่อนนะครับ ก่อนหน้านี้ ผมเคยนำเงินเก็บที่ได้จากเงินเดือน ไปลงทุนในกองทุนความเสี่ยงต่ำจำพวกกองทุนตราสารหนี้ , ตราสารเงิน อยู่พักหนึ่ง ในใจตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าอยากนำเงินไปลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ ตอนนั้นความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น ผมเป็นศูนย์สนิทครับ  :? ระหว่างที่พักเงินไว้ในกองทุนตราสารหนี้ ผมก็เข้าห้องสินธรบ่อยพอสมควร หาความรู้ไปเรื่อยๆ แต่จะเน้นหนักไปทางด้านกองทุนเสียมากกว่า จำพวกเช่น กองทุนตราสารทุน , กองทุนทอง เหตุผลที่ผมยังไม่สนใจในตลาดหุ้นก็เพราะว่า ผมต้องทำงานประจำและการลงทุนในกองทุนรวมนั้น ไม่ต้องมาเฝ้าหน้าจอเพื่อส่งคำสั่ง realtime ผมกลัวเสียงาน ผมเลยเลือกที่จะลงทุนในกองทุนแทน (เพราะคิดว่าไม่ต้องติดตามตลาดมาก) แต่ ... ความรู้ในการลงทุน ณ ตอนนั้นของผมก็ยังเป็นศูนย์อยู่ดี (ดูกราฟไม่เป็น อาศัยอ่านความเห็นของคนที่ผมคิดว่าเขารู้ แล้วมั่วๆเอา)  :oops: เจียดเงินส่วนหนึ่งลองมาลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงดู หากเปรียบเทียบก็คงเหมือนรถไฟเหาะ ได้กำไรก็โดดดิ้นดีใจ ขาดทุนก็สติกระเจิง หน้ามุ่ยไปตามๆกัน นั่นเป็นเพราะ ... ผมไม่มีความรู้/หลักการในการลงทุน แม้สักนิดเลยครับ  :( วันเวลาผ่านไป ... เห็นมีโฆษณางาน set in the city 2008 (ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเลยครับ ว่าตลาดหุ้นอยู่ในช่วงตกต่ำมากขนาดไหน  set index อยู่ที่เท่าไหร่ผมยังไม่รู้เลยครับ) ผมกับเพื่อนก็เลยเข้ากรุง อยากเข้าไปดูว่าเขาเล่นหุ้นกันยังไง ตั้งใจจะไปเปิด account ที่งานนั้นด้วยครับ ณ ตอนนั้นผมรู้จักหุ้นอยู่ไม่กี่ตัว  หุ้นใน set50 หลายตัวผมยังไม่รู้เลยครับ ว่าชื่อย่อนั้นมาจากบริษัทอะไร ผมรู้จักแต่พวก PTT , SCC , SCB   จำพวกหุ้น high profile เท่านั้นครับ VI ณ ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ  :wall: ในงานนั้น ผมก็ไปเปิด account กับ kimeng แต่ผมลืมนำทะเบียนบ้านไป เขาบอกให้ผมส่งไปรษณีย์ไปทีหลัง ... ผมส่งไปเกือบสามรอบ เขาไม่ได้รับ จนผมถอดใจ  ในที่สุด พอร์ทผมก็เปิดได้ไม่สำเร็จ  :( วันเวลาล่วงเลยผ่านไป (มานึกดู แอบเสียใจนิดๆ ตอนนั้น set index ต่ำมากๆ  :'O ) . . . อะไรมาดลใจให้ผมสมัครอีกครั้ง ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ผมสมัครทางไปรษณีย์เอา และในที่สุด ผมก็มี port หุ้นของผมเป็นของตัวเองเมื่อราวๆปลายเดือนสิงหาคม 2552 ช่วงแรกที่ผมเล่นหุ้น(ต้องใช้คำว่าเล่นครับ) ผมถือว่าเป็นแมงเม่าโดยสมบูรณ์แบบครับ  :8) หุ้นตัวไหนกำลังวิ่ง หุ้นตัวไหนกำลังเขียว ... ผมจะไม่รอช้า ผมจะวิ่งเข้าใส่ทันที ซึ่งผมเก่งมากครับ ซื้อทีไร ได้ราคาเกือบดอยทุกที  :lovl: และก็ไม่เคยถือหุ้นเกินหนึ่งสัปดาห์ครับ เพราะตอนนั้นยังไม่สามารถแบกรับความผันผวนของราคาหุ้นที่ถือได้ บ่อยครั้งที่ต้องตัดขายขาดทุน เพราะกลัวขาดทุนมาก บ่อยครั้งที่ไม่ยอมขายทำกำไร เพราะอยากได้มากกว่า นี่มันวิถีแมงเม่าชัดๆ  :shock: สุดท้าย ... เลยล้างพอร์ท เบ็ดเสร็จแล้วเจ๊ากันพอดี กำไรกับขาดทุน เลยขอถอยห่างตลาดออกมาสักพัก เพราะรู้ตัวว่าเหมือนเราเข้าตลาดไปด้วยมือเปล่า เราเดินเข้าไปแต่ตัว หวังเพื่อจะไปแสวงหากำไรจากผู้อื่น ... (xx)บ้าหรือเปล่า ? ผมเคยโหลดหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนด้วย technical มาอ่านนะครับ indicator ต่างๆ ผมพอเข้าใจในแบบฉบับพื้นๆ แต่เนื่องด้วยผมไม่สามารถเปิดดูกราฟระหว่างทำงานได้ ผมเลยคิดว่าการเล่นด้วยเทคนิค คงไม่เหมาะสมกับผม (มั้ง) มีอยู่วันหนึ่ง ได้เดินเข้าร้าน se-ed และเหมือนโชคช่วย ผมได้เห็นหนังสือชื่อว่า ตีแตก วางโชว์หลาอยู่ (ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก ดร.นิเวศน์ เลยด้วยซ้ำ  :oops:  ) ผมเลยลองซื้อมาอ่านดู ... โอ้ว เหมือนฟ้าเปิด  เหมือนดวงตาเห็นทางแห่งแสงสว่าง ผมบอกตัวเองในใจ ... ผมมีบุคคลต้นแบบแล้ว  :D และนั่นคือจุดเริ่มต้นในการลงทุนแนวเน้นคุณค่าของผมครับ Quote: 2. ลงทุนมานานหรือยัง ดังนั้น จากคำถามที่ว่าผมลงทุนมานานแล้วเท่าไหร่ ? หากเริ่มตั้งแต่ตอนซื้อ ตีแตก จนถึง ปัจจุบัน ก็น่าจะร่วมๆ 8 เดือนได้แล้วครับ  :wink: Quote: ประสบการณ์ลงทุนเป็นอย่่างไรบ้าง หากไม่นับวันที่ปล่อยข่าวลือ (ช่วงนั้นผมแย่ครับ เพราะไม่เคยเจออะไรหนักๆมาก่อน) ผมเคยเขียนกระทู้ไว้ ลองอ่านดูได้ครับ อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่) http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=39402&highlight= บทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=39656&highlight= ผมถือว่าผมโชคดีครับ เพราะได้มาลงทุนในช่วงขาขึ้นพอดี ฝีมือเป็นรอง โชคช่วยเป็นใหญ่ จิ้มตัวไหนก็ได้กำไร ... น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่าน่ะครับ  :oops: Quote: 3. เห็นพี่คนจนในเวปพันทิบมานานแล้ว ช่วยบอกได้ไหมว่า สังคมที่นั่นต่างกับที่นี่อย่างไรบ้าง  แต่ละที่จุดเด่นจุดด้อยอย่างไร ผมขอเปรียบเทียบอย่างนี้ดีกว่าครับ pantip ผมเปรียบให้เป็น มหาวิทยาลัย และ สินธร นั้น ผมเปรียบเสมือนเป็น คณะ คณะหนึ่ง ในมหาลัย pantip ครับ ส่วน thaivi นั้น เปรียบเสมือนเป็น วิชาเลือก วิชาหนึ่ง ในคณะนั้นครับ สินธรนั้นมีหลายวิชาให้ลงเรียนครับ และแน่นอน ความหลากหลายของนักศึกษานั้นย่อมมีมาก และอยู่ในวงกว้างเสียด้วย ผิดกับ thaivi ซึ่งเป็นวิชาเลือก  นั่นคือ นักศึกษาที่เข้ามาเรียนวิชานี้ ร้อยละ 90 นั่นคือ เขาได้เลือกแล้ว สรุปคือ สินธรมีความหลากหลายกว่า thaivi มากครับ เพราะสินธรเป็นคณะ และมีวิชาเลือกให้ลงเรียนที่มากกว่า  :wink: จุดเด่นของสินธร (ตามความคิดของผม) คือ เป็นสังคมใหญ่ ผู้คนมากหน้าหลายตา คนเก่งๆเยอะ ความรู้ที่ได้จากสินธรเยอะ ในขณะเดียวกัน คนเกรียนๆก็เยอะ ความรู้(ปลอมๆ) ที่ได้จากสินธรก็มีมากพอสมควร เช่นเดียวกัน หากสินธรเปรียบเป็นหนัง ... ก็เป็นหนังที่มีครบทุกอรรถรสครับ  :8) จุดเด่นของ thaivi (ตามความคิดของผม) คือ เป็นสังคมเล็ก ถึงแม้จะมี user มาก แต่ login ที่ post จริงๆ ถือว่าไม่มากเท่าไหร่ เป็นสังคมที่อบอุ่น คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เปรียบเสมือนรุ่นพี่คอยแนะนำรุ่นน้อง เป็น webboard ที่เต็มไปด้วยหลักวิชาการ  ไม่เหมาะที่จะเป็นสถานที่สำหรับการเล่นตะโหลกโปกฮาสักเท่าใด  :roll: ออร่าของเซียนแรงสูง  post สุ่มสี่สุ่มห้า อาจโดนเขม่นได้  :(   (นี่ผมพูดตรงเกินไปไหมเนี่ย) Quote: 4. ลองเล่าเรื่องเวปพันทิบหน่อยครับ...   มีเซียนชื่ออะไรบ้าง  และแต่ละคนมีจุดเด่นในเรื่องอะไร pantip เป็น webboard ที่สนุกครับ ปกติผมก็เข้าแต่ห้องสินธร สินธรเป็น webboard ที่มีความหลายหลายทางความรู้สูง ไม่ว่าจะเป็น - กระทู้คุยขโมง - กระทู้ daily TFEX - กระทู้ sinthorn summary - กระทู้นักรบกองทุน - กระทู้ Ping Ping girl gang ณ สินธร - กระทู้ยอดซื้อ-ขาย ชาวต่างชาติ - กระทู้ dow ! - และกระทู้ daily VI discussion  :lovl:  :lovl: สำหรับเซียนที่ pantip นั้น   คำถามคือ อย่างไรถึงเรียกว่าเซียนล่ะครับ  :wink: เอาเป็นว่า ผมขอตอบว่า คนที่มีความรู้และสามารถถ่ายทอดความรู้/ประสบการณ์ ให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ๆได้นั้น มีเยอะมากพอสมควรครับ ทรรศคติของผมอาจไม่เหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่ ผมจะมองว่าใครเก่งหรือไม่เก่งนั้น ผมจะวัดจากว่า เขาสามารถอยู่ในตลาดหุ้นได้ครับทั้งวัฏจักร และสามารถอยู่รอดได้ตลอดอย่างมีความสุข ... หากจะนิยามคำว่าเซียน ก็คงต้องเป็นแบบอย่างที่ผมกล่าวข้างต้นนี่ล่ะครับ  :wink: ในกระทู้คุยขโมง คนเก่งๆเยอะครับ คงเอ่ยชื่อได้ไม่หมด แต่ส่วนใหญ่เขาจะอายุมากกันหมดแล้ว  :roll:  มั้ง อิอิ ที่ต้องยอมรับเลย มีสองท่านครับ  (จำชื่อไว้ให้ดีครับ) 1. endophine 2. ปลานิลจิ๋ว           อยากรู้ว่าแต่ละท่านเยี่ยมยอด(มีจุดเด่น)อย่างไร  ผมคงบอกให้ไม่ได้ ต้องเข้าห้องสินธร และติดตามดูกระบวนการคิด ของแต่ละท่านดูเอาเองครับ  :wink: Quote: 5. idol ในการลงทุน ดร.นิเวศน์ ครับผม Quote: 6. หนังสือการลงทุนที่ชอบอ่าน หนังสือที่ ดร.นิเวศน์ เขียนทุกเล่ม ปล. เชื่อไหมครับ ว่าผมอ่านหนังสือแปลของ buffett ไม่เข้าใจเลย  :? Quote: 7. มีอะไรจะฝากให้กับนักลงทุนมือใหม่ไหมครับ ผมเองก็ไม่ใช่หน้าเก่าอะไรที่ไหน ประสบการณ์ยังน้อย   ก็ยังเป็นนักลงทุนหน้าใหม่เหมือนใครหลายๆคนเช่นกันครับ อยากฝากไว้ถึงนักลงทุนหน้าใหม่ไว้สักนิดว่า การลงทุนในแนวเน้นคุณค่านั้น ถือว่าเราได้เลือกเดินทางมาได้อย่างถูกต้องแล้ว และ thaivi นี้ก็เป็นสังคมความรู้ที่ดีต่อการตักตวงความรู้ เพื่อต่อยอดการลงทุนได้เป็นอย่างดี แต่ ... สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้ศักยภาพของตัวเราเองว่า เรามีความรู้ในระดับไหน หลายๆครั้งที่พี่ๆ หรือใครที่เขาสามารถสร้างผลงานการลงทุนได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงข้อแม้ว่าเราจะเลือกหุ้นได้เหมือนกับที่เขาถือ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องได้ผลตอบแทน และประสบความสำเร็จเหมือนกับเขา นั่นเป็นเพราะ พื้นฐานทางความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนนั้นต่างกันนะครับ และที่สำคัญ ถึงเราจะซื้อในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเขาได้ แต่ ... ตอนขาย เขาไม่ได้โทรศัพท์มาบอกให้เรารู้นะครับ สรุปก็คือ เราควรศึกษากระบวนการคิด/มุมมองจากพี่ๆเขา แล้วนำมาปรับใช้การรูปแบบการลงทุนของเรา สั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ผมว่าอย่างนี้ล่ะ เยี่ยมยอดที่สุดเลยครับ   ก่อนจะจบ ผมขอฝากแนวคิดดีๆ ของคุณ endophine ให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้อ่านกันดูสักหน่อย หวังว่าคงได้ประโยชน์/แนวคิด บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ Posted: Wed Apr 28, 2010 12:34 am แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 54 10:14:06 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 10:10:47

ความคิดเห็นที่ 16 คุณหนูพีพี ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่า quote บนหัวกระทู้นั้นน่ะ ผมเอามาจาก facebook ของพี่เวบเขา ฮาาาา สวัสดีครับพี่ The Rounder นักลงทุนเดี๋ยวนี้เขาขี้โม้เนอะ ฝอยได้เป็นหน้ากระดาษ A4 เลย จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 10:22:37

ความคิดเห็นที่ 17 จาำฮาไปถึงหนายยย จากคุณ : zaffer เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 10:53:49

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาทักทายท่านคนจนที่อยากรวยในวันหยุดครับ หลักการการคัดเลือกหุ้นของ "เกรแฮม" ถือว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ของนักลงทุนในหุ้น "ทุกคน" ควรปฏิบัติอยู่เป็นพื้นฐาน.."ก่อน" การก้าวไปสู่ขั้นตอนถัดไปคือการซื้อหุ้นเข้าสู่พอร์ต ...พรานหุ้นเม่าแสยง..(นักรบกองทุน..เวอร์ชั่นอัพเกรด)ก็ยึดหลักการนี้เช่นเดียวกันครับ ...ยินดีด้วยครับที่ค้นพบแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 11:13:29

ความคิดเห็นที่ 19 หวัดดีครับท่านแม่ทัพ เปลี่ยนจาก "นักรบกองทุน" เป็น "พรานหุ้นเม่าแสยง" แล้วเหรอ ? ว่าแต่ พรานหุ้นเม่า "แสยง" อ่านดูแล้วแหม่งๆนะท่านแม่ทัพ ต้องการสื่อความหมายว่าอะไรน้อ ? ปล.ผมเองก็ได้เรียนรู้การดูกราฟเทคนิคขั้นพื้นฐาน จุดเริ่มต้นก็มาจากกระทู้นักรบกองทุนนี่ล่ะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 11:21:33

ความคิดเห็นที่ 20 ตุ๊กกี้ จากคุณ : C_yada เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 12:07:28

ความคิดเห็นที่ 21 หุ้น TUK นี้ หากย้อนหลังไป3-4ปี ใครพูดถึงหุ้น TUK ส่วนใหญ่จะไม่มีใครรู้จัก เหตุผลเพราะด้วยปัจจัยภายนอกไม่ได้สดสวย งดงาม มากพอที่จะทำให้ผู้คนในตลาดหุ้นมาทำความสนใจ แต่หากใครศึกษาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่า TUK นั้นได้ซ่อนมูลค่ามหาศาลไว้ภายใน (ซ่อนได้มิดชิดมากๆ) เป็นหุ้น super undervalue ที่ใครๆมองข้าม จนเมื่อวันหนึ่ง TUK ได้ถูก take over ผ่านบริษัท workpoint และทำการเจียระไนปลุกปลั้น และ ณ ที่นั่นก็ทำให้ TUK ได้แสดงศักยภาพที่มีออกมา หุ้น undervalue ณ ตอนนั้น ได้กลายเป็นหุ้น growth ไปแล้ว ณ วันนี้ (คงไม่สามารถเรียกว่าหุ้น super stock ได้ เพราะต้องคำนึงถึงค่าเสื่อมสภาพด้วย) ใครที่ซื้อ TUK ไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และถือมาจนวันนี้ คงได้ผลตอบแทนอย่างต่ำ 5 เด้ง ครับพี่น้อง http://www.bangkok-today.com/node/5965 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 12:18:12

ความคิดเห็นที่ 22 555+ ซาหวัดดีอีกที ...นักรบกองทุน ยังคงเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมอยู่เสมอและตลอดไปครับ ^^ ..แต่ครึ่งหลังของปี 53 ..ผมเพิ่ม พรานหุ้นเม่าแสยง ต่อท้ายขึ้นอีกเพราะเห็นว่าเพื่อนนักรบหลายท่าน มีพัฒนาการไปสู่การลงทุนหุ้นรายตัวด้วยตนเองมากขึ้น และตัวผมเองก็สร้างระบบการเทรดดิ้งในหุ้นที่มีนโนบายปันผลดีขึ้นมา (...แต่ไม่บังอาจเรียกตัวเองว่า VI เพราะไม่ไวพอ ) ....ขณะนี้ผ่านการทดสอบระบบมาได้ระยะหนึ่ง ทำให้พอร์ตมีกำไรดี เติบโตขึ้นกว่าเดิม เพราะได้แก่ไขข้อบกพร่องจากการใช้ Pure Technical เหมือนที่ผ่านมา ....อย่างไรก็ตาม...ระบบได้ผ่านช่วงเวลาของ "ขาขึ้น" มาเท่านั้น ยังคงต้องทดสอบว่าหากภาวะตลาดเป็น "ขาลง" ...ระบบพอร์ตเทพสะดุ้งมารของผมจะทนได้จริงหรือไม่และต้องปรับปรุงเงื่อนไขระบบการเทรดอะไรอีกบ้าง ...ส่วนเรื่องชื่อ พรานหุ้นเม่าแสยง ไม่มีอะไรมากครับ พวกแมงเม่าชอบเล่นเก็งกำไรสั้น ฉาบฉวย เน้นหุ้นที่มีโวลุ่มต่อวันสูงๆ ....แต่พอร์ตของพรานหุ้นจะค่อนข้างมีลักษณะ "ตรงกันข้าม" กับที่เม่าชื่นชอบ ...จึงเป็นที่มาของชื่อว่า "เม่าแสยง" เท่านั้นเองครับ จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 12:18:16

ความคิดเห็นที่ 23 ท่านแม่ทัพคัดเลือกหุ้นพื้นฐานดี มีนโยบายปันผลที่เหมาะสม และใช้ระบบ รอ-ซื้อ-ถือ-ขาย ด้วยสัญญาณเทคนิค ในความคิดผม ถือว่าดีมากเลย เพราะอย่างน้อยเราก็สามารถทำความรู้จักกับหุ้นที่เรากำลังซื้อขายได้บ้าง ดีกว่าลงทุนในกองทุนมังกรฟ้า เหตุผลเพราะมังกรมันอยู่ไกลจากประเทศไทยมากๆเลย อิอิ ปล. พรานหุ้นเม่าแสยง ก็คือนักรบที่ลงทุนในหุ้นจืดชืดนั่นเอง จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 12:30:33

ความคิดเห็นที่ 24 . แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 54 15:51:42 แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 54 15:38:51 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 54 15:29:21

ความคิดเห็นที่ 25 Daily VI Discussion (DVD 123) กระทู้การลงทุนแนวเน้นคุณค่า ประจำวันที่ 24/01/11 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 08:28:06