... เห็นโครงการ China City Complex แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดถึง จีน ...
|
|
... เห็นโครงการ China City Complex แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดถึง จีน (ตอนที่ 1) ...
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียในช่วงสองสัปดาห์นี้ทำให้ผมต้องคิดหนักว่าจะเขียนถึงเรื่องอะไรดีเพราะมีหลายแง่มุมเหลือเกินที่อยากชวนเพื่อนผู้อ่านมาร่วมเสวนา
สุดท้ายก็มาหยุดที่เรื่องของ จีน เพราะถ้าผมไม่ได้พูดถึงจีนในช่วงเวลาแบบนี้ กว่าจะมีเวลาเขียนบทความอีกทีอาจจะตกกระแสไปแล้วก็ได้
จีนเริ่มเปิดประเทศมาตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1979 ก่อนจะหยุดชะงักไปด้วยปัญหาภายในทางด้านการเมืองและสังคมจากเหตุการณ์จตุรัสเทียนอันเหมินในปีคริสตจักราช 1989 แต่ก็กลับมานำประเทศเข้าสู่สังคมเปิดเกือบเต็มรูปแบบได้ในปีคริสตจักราช 2001 ด้วยการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
ไม่ต้องบอกก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของ จีน อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่โลกได้เห็นเหตุการณ์ ทศวรรษที่หายไป (The Lost Decade) ของญี่ปุ่น วิกฤตต้มยำกุ้ง ของไทย วิกฤตซับไพรม์ (Subprime Crisis) ของอเมริกา และ วิกฤตหนี้ยุโรป (European Debt Crisis) แล้ว
คงเป็นธรรมดาที่จะต้องกังวลถึง ภาวะฟองสบู่ ของจีนมากเป็นพิเศษ
หากติดตามบทความที่ผ่านมาของผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจำกันได้ว่าผมเคยให้ข้อคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า จีน น่าจะคุมภาวะฟองสบู่ได้ดีกว่าชาติอื่นด้วยเหตุผลใหญ่ๆ คือ ระบอบการปกครองที่เอื้อต่อการควบคุมอย่างเด็ดขาด และปริมาณเงินทุนสำรองของจีน
ทุกวันนี้ผมก็ยังยืนยันความคิดเดิมและเชื่อว่าต้องมีคนเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว แต่ก็ไม่แปลกใจเลยที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาทิศทางกระแสเงินไหลออกจากเอเชียซึ่งรวมถึงจีนอย่างชัดเจน (จริงๆ คิดว่าควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วด้วยซ้ำ)
เหตุผลก็คือธีมการลงทุนในปีที่ผ่านมามันสะท้อนภาพของ Asia Miracle ในระดับหนึ่งแล้ว (ซึ่งระยะยาวก็ยังคงเป็นเช่นนั้น) ด้วยคำอธิบายง่ายๆ คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เริ่มเข้าสู่ยุคถดถอยด้วยโครงสร้างประชากรที่มีอายุเฉลี่ยสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนามาก (การบริโภคก็จะน้อยลง และต้นทุนภาระที่ประชากรวัยแรงงานและรัฐบาลต้องแบกมีสูงขึ้น)
ในขณะที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ณ ปัจจุบันจะถูกทำให้ด้อยค่าผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มากเพียงใด เงินดอลลาร์สหรัฐก็ยังมีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจของโลกอยู่ดี (เพราะบารมีหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง)
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่นักลงทุนทั่วโลกเริ่มเห็นแล้วว่าตลาดทุนและตลาดเงินฝั่งเอเชียก็เริ่มแพงแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์ก็เริ่มแพงแล้ว (แต่แพงด้วยกลไก Cost Push ผสมกับความเสื่อมศรัทธาในตลาดเงินคล้ายช่วงปีคริสตจักราช 2007-2008 ไม่ได้แพงขึ้นด้วย Demand&Supply เหมือนกลไกปกติ) จึงต้องแสวงหา Safe Haven ที่ยังมีราคาต่ำ คงเดาออกกันทุกคนว่า Safe Haven ที่ว่านั้นคือ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) นั่นเอง
กระแสเงินเริ่มกลับไปที่ USD มากขึ้นเมื่อวิกฤตหนี้ยุโรปเริ่มปะทุ (นึกภาพมหาอำนาจเศรษฐกิจสมัยก่อนคือ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น แรงดึงของเงินทุนมาจากแรงชักกะเย่อของสามขั้วนี้ ถ้ามีแรงด้านใดด้านหนึ่งอ่อนจะเกิดอะไรขึ้น?)
หากสองปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียปรับตัวขึ้นมาเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ปีนี้จะปรับฐานลงมาบ้างก็น่าจะอยู่ในการคาดหมายของใครหลายคน
จริงไหมครับ?
(มีต่อ)
แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 00:28:47
จากคุณ |
:
มังมหานรธา
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ม.ค. 54 00:18:44
|
|
|
|