เมื่อสงครามโลก ครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน ตำนานนักลงทุนเอกของโลก ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นหนุ่มและไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรได้เกิดความเชื่อมั่นว่า ตลาดหุ้น ซึ่งตกต่ำมายาวนานถึงสิบปีแล้ว น่าจะถึงจุดต่ำสุดและทุกอย่างกำลังจะฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น “ซินเดอเรลลา” ซึ่งก็คือหุ้นที่ไม่มีใครเหลียวแลหรือคิดว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุน เพราะว่ามันอาจจะเป็นหุ้นที่ “เน่าสนิท” ดังนั้น ในวันหนึ่งเขาจึงโทรหาโบรกเกอร์และสั่งซื้อหุ้นทุกตัวที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ โดยซื้อตัวละ 100 หุ้น เขาได้หุ้นมา 104 ตัวและใช้เงินไปประมาณ 10,000 เหรียญ สี่ปีต่อมา เขาขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง ได้เงินมาประมาณ 40,000 เหรียญ หรือถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณเท่ากับ 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 41 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
กลยุทธ์การลงทุนที่เทมเปิลตันทำนั้น เป็นการลงทุนที่มิได้วิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว แต่เลือกหุ้นโดยอาศัยกฎเกณฑ์ตายตัวชุดหนึ่ง ในกรณีของเขาก็คือ การเลือกหุ้นที่มีราคาตกต่ำมากจนเกือบไม่มีค่านั่นคือราคาหุ้นต่ำกว่า 1 เหรียญ ซึ่งในตลาดสหรัฐอเมริกาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำมากเปรียบเสมือนกับหุ้นราคาตัว ละไม่เกิน 1 บาทในตลาดหุ้นไทย ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังฟื้นตัวนั้น หุ้นที่มีราคาตกต่ำมากที่สุดจะมีการฟื้นตัวเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่ สุด - โดยเฉลี่ย นั่นไม่ได้หมายความว่าหุ้นราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวจะต้องฟื้นตัว หุ้นหลายๆ ตัวอาจจะไม่ฟื้นเลยหรือบางตัวอาจจะตกต่ำลงและมีค่าเป็นศูนย์ แต่หุ้นอีกหลายตัวอาจจะปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าตัวซึ่งทำให้พอร์ตโดยรวมแล้ว ให้ผลตอบแทนสูงมาก และนี่ก็คือสิ่งที่เทมเปิลตันทำและก็ประสบความสำเร็จ หลักการเลือกหุ้นแบบนี้ ในทางวิชาการเรียกว่า Mechanical Rule ผมเองอยากจะเรียกว่า “ลงทุนหุ้นตามสูตร”
การเล่นหุ้นตามสูตรนั้น กฎข้อแรกก็คือ การมองหา “ภาพใหญ่” หรือทฤษฎีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนจะให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลา หนึ่ง กฎข้อสองก็คือ หา “ตัวแทน” หรือข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นตามทฤษฎีนั้น พูดให้ง่ายก็คือการหา “สูตร” สำหรับเลือกหุ้นลงทุน กฎข้อสามก็คือ การเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือเป็นไปตามสูตรนั้น กฎข้อสี่ก็คือ ต้องเลือกซื้อหุ้นทุกตัวที่เข้าเกณฑ์ตามสูตรไม่มีข้อยกเว้น อย่าใช้วิจารณญาณ กฎข้อที่ห้าก็คือ การติดตามดูผลตอบแทนของการลงทุนทุกช่วงเวลาที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่มักจะกำหนด เป็นปี ๆ เป็นเวลาหลายปี และกฎข้อสุดท้ายก็คือ การกำหนดเวลาเลิกลงทุนซึ่งก็คือการดูว่าเราควรเลิกและล้างพอร์ตเมื่อไร
ในกรณีของเทมเปิลตันนั้น ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่เกิดสงครามขึ้น ค่าของเงินมักจะเสื่อมลง เงินอาจจะเสื่อมค่าลงมากเนื่องจากอาจจะมีการพิมพ์เงินขึ้นมาเพื่อใช้ในการ สงคราม เงินเฟ้อจะสูงขึ้นมาก ตรงกันข้าม สิ่งของต่างๆ จะมีค่ามากขึ้น และสิ่งของนั้นรวมถึงสิ่งของที่มีหุ้นเป็นตัวแทน เช่น สินค้า โรงงาน วัตถุดิบ และอื่นๆ อีกมาก เฉพาะที่ไม่ถูกกระทบโดยผลของสงครามอย่างในอเมริกา ดังนั้น ความเชื่อของเขาก็คือ หุ้นจะฟื้นตัว และในหุ้นที่ฟื้นตัวนั้น หุ้นที่ตกต่ำที่สุดจะฟื้นตัวได้มากที่สุด และตัวแทนของหุ้นที่ตกต่ำลงมากที่สุดสำหรับเขาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำที่สุด ซึ่งเขาใช้สูตรหรือเกณฑ์ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ การซื้อหุ้นของเขานั้นจะไม่มีการใช้วิจารณญาณ ไม่ต้องดูว่าหุ้นตัวไหนอาจจะไปไม่รอด เพราะเขาไม่รู้จริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวก็มีโอกาสล้มละลายทั้งนั้น การเลือกอาจจะทำให้เขาพลาดหุ้นที่อาจจะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งหรือกำไร 10 เท่าตัวก็ได้ หลังจากซื้อหุ้นแล้ว เขาคงติดตามดูผลตอบแทนไปเรื่อยๆ และเมื่อเวลาผ่านไปถึง 4 ปี และเขาได้กำไรมามากแล้ว เขาก็อาจพิจารณาว่า การฟื้นตัวนั้นสิ้นสุดลงแล้ว การถือลงทุนต่อไปก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีอีกต่อไป เขาจึงขายหุ้นทั้งหมดทิ้งและเป็นการ “ปิดเกม” การเล่นหุ้นตามสูตรนี้
การเล่นหุ้นตามสูตรที่มีการศึกษาโดยนักวิชาการนั้นมีมากมาย สูตรที่มีการทดลองหรือทดสอบโดยข้อมูลย้อนหลังที่โดดเด่นมากนั้น เป็นสูตรการเล่นหุ้นแบบ Value Investment นั่นก็คือ ทฤษฎีมีอยู่ว่าการลงทุนแบบ VI นั้น เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนตามดัชนีตลาด-โดยเฉลี่ย นี่คือทฤษฎีตามกฎข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองที่จะต้องทำก็คือ หา “ตัวแทน” หุ้นที่เรียกว่าหุ้น VI วิธีหาก็มีหลายวิธีแล้วแต่ว่าใครจะเป็นคนคิด แต่ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนอยู่ที่ว่าต้องเป็นหุ้นถูกซึ่งหุ้นถูกที่ว่านี้ก็มัก จะวัดกันที่ค่า PE และค่า PB ที่ว่าจะต้องมีค่าต่ำหรือต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาด และอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น หรือ Dividend Yield ว่าควรจะต้องสูงหรือต้องมีพอสมควร หลังจากนั้นก็ตั้งเป็นสูตรเพื่อคัดเลือกหุ้นมาลงทุน จากนั้นก็ติดตามผลตอบแทนของพอร์ตที่ลงทุนตามสูตรว่าเป็นอย่างไรในแต่ละปี ทำเช่นนี้ไปหลายๆ ปีก็จะทำให้สามารถเห็นได้ว่าการลงทุนตามสูตรของ VI นั้น โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับการลงทุนตามดัชนีตลาด
ผมเคยทำการศึกษาเรื่องของการลงทุนตามสูตรแบบ VI ครอบคลุมช่วงเวลา 9 ปีจากปี 2543 ถึง 2551 พบว่าผลออกมานั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง นั่นก็คือ การลงทุนโดยใช้สูตรแบบ VI ให้ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นสูงถึง 34% ต่อปีในขณะที่ดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 4.8% และเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า นำโดย ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา เองก็ได้ทำการศึกษาในแนวการลงทุนแบบใช้สูตร VI ในช่วงเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 1996 ถึง 2010 โดยใช้ข้อมูลค่า PE PB ปันผล และ ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ก็ได้ผลในแนวเดียวกัน แต่ผลตอบแทนที่ได้ยิ่งสูงกว่ามาก พอร์ตการลงทุนบางแบบให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นสูงถึงปีละ 63% เงินลงทุน 1 ล้านในช่วงต้นกลายเป็นเงินถึง 1,600 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดการลงทุน ในขณะที่ตลาดโดยรวมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 1.2% เท่านั้น
ในชีวิตจริง ผมเองไม่เคยลงทุนหุ้นตามสูตรและก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเรายังใช้สูตรเดิมที่เคยให้ ผลตอบแทนดีมากจะยังสามารถทำให้เราได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับของเดิมในอดีตหรือ ไม่ เหนือสิ่งอื่นใด อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหุ้นราคาถูกในแนว VI นั้นโดยเฉลี่ยก็น่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดอยู่ ข้อมูลจากต่างประเทศที่ได้มีการศึกษามานานและศึกษาซ้ำก็ยังให้ผลตอบแทนที่ ดี ดังนั้น ในการเลือกหุ้นลงทุน ผมจึงยึดแนวทางแบบ VI อยู่อย่างมั่นคงแม้ว่าจะไม่ได้ซื้อตามสูตรตายตัว สำหรับคนที่อยากลอง ผมคิดว่าการลงทุนตามสูตรก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอาจให้ผลตอบแทนที่ มหัศจรรย์ได้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/nives/20110125/373494/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3.html
จากคุณ |
:
ขอบฟ้าบูรพา
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ม.ค. 54 01:25:31
|
|
|
|