ความคิดเห็นที่ 1 ก็กรอกไปตามใบที่เค้าแยกมาให้นั้นแหละครับ  ไม่งั้นเค้าจะแยกมาให้ทำไม  -*- จากคุณ : satan@เต้ย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 21:56:51

ความคิดเห็นที่ 2 กรอกหมดค่ะ จากคุณ : ปุยปุย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 22:00:26

ความคิดเห็นที่ 3 กรอก  แยกตามที่เค้าส่งมาให้เลยใช่ไหมจ๊ะ  เดี๋ยวไปลองดู  ขอบคุณมากจ้า จากคุณ : ExtraZone เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 22:24:33

ความคิดเห็นที่ 4 ขอ Copy ที่เคยตอบไว้ มาให้อ่านอีกครั้ง Concept คือ เราในฐานะผู้ถือหุ้นได้เงินปันผล แต่เงินปันผลนั้นก็คือส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัทนั้น ๆ ที่แบ่งมาปันผลให้เรา ซึ่งกำไรดังกล่าวได้หักภาษีไปแล้ว (ก่อนจะมาแบ่งปันผลให้เราซึ่งก็หมายความว่าเราเสียภาษีไปแล้ว) ดังนั้นหากเรานำรายได้จากเงินปันผลมารวมเป็นรายได้เพื่อยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดาด้วย เราไม่ควรจะเสียภาษีอันเกิดจากรายได้จากเงินปันผลนี้ซ้ำซ้อนอีก ----> จึงสามารถขอคืนภาษีเงินปันผลได้หรือที่เรียกว่าเครดิตภาษีเงินปันผล (Dividend tax credit) สมมติว่าเรามีเงินเดือนทั้งปี = 1,500,000 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว 121,200 บาท สมมติว่าค่าลดหย่อนต่าง ๆ มีดังนี้ (เต็ม Max ที่สรรพากรอนุญาต) ประกันชีวิต 100,000 บาท ดอกเบี้ยบ้าน 100,000 บาท ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ (อายุ > 60 ปีทั้ง 2 คน) 60,000 บาท ซื้อ LTF (15% ของรายได้) = 225,000 บาท เงินบริจาคมูลนิธิที่ได้รับการรับรอง 10,000 บาท เงินประกันสังคมที่เสียไว้ = 750 x 12 = 9,000 บาท ลดหย่อนพื้นฐานที่สรรพากรให้เบื้องต้นอยู่แล้ว 90,000 บาท รวมลดหย่อนทั้งหมด = 594,000 บาท ภาษีที่ต้องเสียคำนวณได้ = 116,200 บาท แต่หัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว 121,200 บาท ดังนั้นต้องได้คืน = 5,000 บาท กรณีที่ไม่ลงทุนในหุ้นก็เป็นไปตามนั้น  แต่ถ้าลงทุนในหุ้นแล้วได้เงินปันผล จะสามารถคำนวณได้ดังนี้ หุ้น A ได้เงินปันผล 10,000 หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% = 1,000 บาท  หุ้น A จ่ายเงินปันผลจากกำไรของกิจการส่วนที่เสียภาษีเงินได้ในอัตรา 30% ดังนั้นเครดิตภาษีเงินปันผล = 30/70*10,000 = 4,285.71 บาท หุ้น B ได้เงินปันผล 15,000 หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% = 1,500 บาท  หุ้น B จ่ายเงินปันผลจากกำไรของกิจการส่วนที่เสียภาษีเงินได้ในอัตรา 25% ดังนั้นเครดิตภาษีเงินปันผล = 25/75*15,000 = 5,000 บาท หุ้น C ได้เงินปันผล 15,000 หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% = 1,500 บาท  หุ้น B จ่ายเงินปันผลจากกำไรของกิจการส่วนที่เสียภาษีเงินได้ในอัตรา 15% ดังนั้นเครดิตภาษีเงินปันผล = 15/85*15,000 = 2,647.06 บาท รวมเงินปันผล = 40,000 บาท  รวมภาษีหัก ณ ที่จ่าย = 4,000 บาท รวมเครดิตภาษีเงินปันผล = 11,932.77 บาท ต้องเอาเงินปันผล + เครดิตภาษีเงินปันผล = 40,000 + 11,932.77 = 51,932.77 บาท ไปรวมเป็นรายได้ด้วย นั่นคือรายได้ใหม่ = 1,551,932.77 บาท ค่าลดหย่อนอื่น ๆ คงเดิม (แต่ที่จริงสามารถซื้อ LTF เพิ่มได้เป็น 15% ของรายได้ใหม่นี้ = 232,790 บาท นั่นคือจะลดหย่อนได้มากขึ้นอีก แต่ ตย นี้ขอสมมติว่า LTF เท่ากันที่ 225,000 บาท) คำนวณภาษีได้ = 126,586.55 บาท แต่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว = 121,200 + 4,000 = 125,200 บาท และต้องได้เครดิตภาษีเงินปันผลคืน = 11,932.77 บาท ดังนั้นต้องได้คืนทั้งหมด = 125,200 + 11,932.77 - 126,586.55 = 10,546.22 บาท (เทียบกับกรณีแรกที่ไม่นำเงินปันผลมาคิดซึ่งได้คืนแค่ 5,000 บาท) (ถ้าซื้อ LTF เพิ่มให้เต็มสิทธิ์ ก็จะได้คืนเพิ่มขึ้นอีก 1,558 บาท) อย่างไรก็ตามหากหุ้นเราส่วนใหญ่เป็นหุ้น C (อัตรา 15%) ไม่ควรนำเงินปันผลมาคิดครับ เพราะแทนที่จะได้ภาษีคืนอาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพราะอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตาม ตย นี้อยู่ที่ขั้น 20% แล้ว (ลองไปคำนวณดูนะ) จากคุณ : tytsn1197 เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 22:36:46

ความคิดเห็นที่ 5 Concept คือ เราในฐานะผู้ถือหุ้นได้เงินปันผล แต่เงินปันผลนั้นก็คือส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัทนั้น ๆ ที่แบ่งมาปันผลให้เรา ซึ่งกำไรดังกล่าวได้หักภาษีไปแล้ว (ก่อนจะมาแบ่งปันผลให้เราซึ่งก็หมายความว่าเราเสียภาษีไปแล้ว) ดังนั้นหากเรานำรายได้จากเงินปันผลมารวมเป็นรายได้เพื่อยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดาด้วย เราไม่ควรจะเสียภาษีอันเกิดจากรายได้จากเงินปันผลนี้ซ้ำซ้อนอีก ----> จึงสามารถขอคืนภาษีเงินปันผลได้หรือที่เรียกว่าเครดิตภาษีเงินปันผล (Dividend tax credit) สมมติว่าเรามีเงินเดือนทั้งปี = 1,500,000 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว 121,200 บาท สมมติว่าค่าลดหย่อนต่าง ๆ มีดังนี้ (เต็ม Max ที่สรรพากรอนุญาต) ประกันชีวิต 100,000 บาท ดอกเบี้ยบ้าน 100,000 บาท ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ (อายุ > 60 ปีทั้ง 2 คน) 60,000 บาท ซื้อ LTF (15% ของรายได้) = 225,000 บาท เงินบริจาคมูลนิธิที่ได้รับการรับรอง 10,000 บาท เงินประกันสังคมที่เสียไว้ = 750 x 12 = 9,000 บาท ลดหย่อนพื้นฐานที่สรรพากรให้เบื้องต้นอยู่แล้ว 90,000 บาท รวมลดหย่อนทั้งหมด = 594,000 บาท ภาษีที่ต้องเสียคำนวณได้ = 116,200 บาท แต่หัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว 121,200 บาท ดังนั้นต้องได้คืน = 5,000 บาท กรณีที่ไม่ลงทุนในหุ้นก็เป็นไปตามนั้น  แต่ถ้าลงทุนในหุ้นแล้วได้เงินปันผล จะสามารถคำนวณได้ดังนี้ หุ้น A ได้เงินปันผล 10,000 หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% = 1,000 บาท  หุ้น A จ่ายเงินปันผลจากกำไรของกิจการส่วนที่เสียภาษีเงินได้ในอัตรา 30% ดังนั้นเครดิตภาษีเงินปันผล = 30/70*10,000 = 4,285.71 บาท หุ้น B ได้เงินปันผล 15,000 หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% = 1,500 บาท  หุ้น B จ่ายเงินปันผลจากกำไรของกิจการส่วนที่เสียภาษีเงินได้ในอัตรา 25% ดังนั้นเครดิตภาษีเงินปันผล = 25/75*15,000 = 5,000 บาท หุ้น C ได้เงินปันผล 15,000 หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% = 1,500 บาท  หุ้น B จ่ายเงินปันผลจากกำไรของกิจการส่วนที่เสียภาษีเงินได้ในอัตรา 15% ดังนั้นเครดิตภาษีเงินปันผล = 15/85*15,000 = 2,647.06 บาท รวมเงินปันผล = 40,000 บาท  รวมภาษีหัก ณ ที่จ่าย = 4,000 บาท รวมเครดิตภาษีเงินปันผล = 11,932.77 บาท ต้องเอาเงินปันผล + เครดิตภาษีเงินปันผล = 40,000 + 11,932.77 = 51,932.77 บาท ไปรวมเป็นรายได้ด้วย นั่นคือรายได้ใหม่ = 1,551,932.77 บาท ค่าลดหย่อนอื่น ๆ คงเดิม (แต่ที่จริงสามารถซื้อ LTF เพิ่มได้เป็น 15% ของรายได้ใหม่นี้ = 232,790 บาท นั่นคือจะลดหย่อนได้มากขึ้นอีก แต่ ตย นี้ขอสมมติว่า LTF เท่ากันที่ 225,000 บาท) คำนวณภาษีได้ = 126,586.55 บาท แต่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว = 121,200 + 4,000 = 125,200 บาท และต้องได้เครดิตภาษีเงินปันผลคืน = 11,932.77 บาท ดังนั้นต้องได้คืนทั้งหมด = 125,200 + 11,932.77 - 126,586.55 = 10,546.22 บาท (เทียบกับกรณีแรกที่ไม่นำเงินปันผลมาคิดซึ่งได้คืนแค่ 5,000 บาท) (ถ้าซื้อ LTF เพิ่มให้เต็มสิทธิ์ ก็จะได้คืนเพิ่มขึ้นอีก 1,558 บาท) อย่างไรก็ตามหากหุ้นเราส่วนใหญ่เป็นหุ้น C (อัตรา 15%) ไม่ควรนำเงินปันผลมาคิดครับ เพราะแทนที่จะได้ภาษีคืนอาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพราะอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตาม ตย นี้อยู่ที่ขั้น 20% แล้ว (ลองไปคำนวณดูนะ) จากคุณ : tytsn1197 เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 22:47:45

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณด้วยคนครับ ชัดเจนดีครับ จากคุณ : natbma เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 22:57:00