ความคิดเห็นที่ 1 ข้อความต่อจากนี้ เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองเท่านั้น!!! มีได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่อย่างใด เป็นเพียงการแชร์มุมมอง ,ความคิด และประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น!!! รวมทั้งรายชื่อหุ้นที่ปรากฏบนกระทู้นี้ ก็มิได้มีวัตถุประสงค์ในการเชียร์หุ้นแต่อย่างใด ในบางบริษัท ณ เวลานี้...ผมเองก็ไม่ได้ถือหุ้นแล้วด้วยซ้ำไป ผู้อ่านและผู้ลงทุนควรใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลดังกล่าวด้วยครับผม ======================================== "ผู้ถือหุ้นใหญ่ (Major Shareholder)" คือผู้ที่ต้องถือหุ้นมากกว่า 0.5%ขึ้นไป เมื่อผมมี "ความฝัน" ที่ต้องการจะเป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ของซักบริษัทนึง ผมเริ่มต้นด้วย "หนังสือดีๆซักเล่นนึง" นั่นคือ..."The Essential Buffett" ซึ่งแปลโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และด้วยความที่ผมเป็น "มนุษย์เงินเดือนธรรมดา" และเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย ผมคงไม่มีปัญญาจะไปเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ ในบริษัทฯยักษ์ใหญ่ ในช่วงแรกแบบนี้ อย่างแน่นอน ดังนั้น PTT , TOP , BANPU , SCC หรือ BBL แม้จะเป็นบริษัทฯที่ดี แต่แน่นอน...มันจึงไม่อยู่ในสายตาของผมเลย ดังนั้นผมจึงต้องหาบริษัทฯที่มี Market Cap. ขนาดเล็ก(ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท) และแน่นอนครับ ในหนังสือเล่มนี้ มีตอนหนึ่งที่ชื่อว่า "หุ้นที่มีมูลต่าตลาดขนาดกลางและเล็ก" "ความฝันของผม"...เริ่มต้นจากจุดๆนี้ครับผม (^_^) แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 13:53:35 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 12:43:53 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 09:58:08 จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 09:43:12

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเป็นคนที่สนใจหัวข้อ acquisition เหมือนกัน เลยขอ share หน่อยนะครับ การที่รายย่อยจะเป็น Major shareholder ได้ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ด้วยประเด็นต่อไปนี้ 1. คำว่า major shareholder นี่ จะเอาขนาดไหนครับ ถ้าขนาดเปลี่ยนแปลงทีมบริหารได้ ก็ต้องตอบว่ายากมาก เพราะต้องใช้เงินเยอะ และผู้ถือหุ้นเดิมเขาก็ไม่ยอม มันมีกระบวนการในการป้องกันการ hostile takeover หลาย ๆ อย่าง ที่ต้องยอมรับว่า คนมาใหม่ ยังใงก็สู้คนที่อยู่เก่าไม่ได้ (นอกจากคนที่อยู่เก่า จะไม่ฉลาดจริง ๆ ) แม้แต่กระทั่งว่า กิจการนั้นไม่ดี จริง ๆ  เขาก็ยังเลือกที่จะขายกิจการให้แก่กลุ่มผู้บริหารใหม่ มากกว่าไปโยนทิ้งในตลาด เพราะ การขายหุ้นในระดับที่โอนสิทธิการบริหารได้ มันมีมูลค่ามากกว่ามูลค่าทางบัญชี เอาง่าย ๆ แค่ value ในการอยู่ใน set มันก็มีมูลค่าของมันพอควร และมันก็ไม่อยู่ใน Book value ที่เราเห็นในงบ ยิ่งบริษัทยิ่งเล็ก ผู้บริหารต้องถือหุ้นในอัตราส่วนที่สูง   free float ก็จะน้อยลง  ต้องเป็นบริษัทที่ใหญ่จริง ๆ เช่นพวกแบงค์อ่ะครับ ที่ major shareholder มีหุ้นแค่ 10 กว่า% 2. ถ้าเราบอกว่า เราต้องการแค่ถือติด top 5  ก็ต้องยอมรับว่า ยังไงเราก็ไม่ใช่เป็นผู้บริหาร (นอกจากเขาจะ offer เก้าอี้ให้) ลองคิดดูนะครับ บริษัทที่เราไปหาหุ้นได้จนเป็น top5  ก็จะเป็นบริษัทเล็ก  ปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลก็มีสูง เกิดวันดีคืนดี เขาทำอะไรที่เราไม่ happy เราจะไม่ถือหุ้นแล้ว การออก ก็ทำได้ยาก เพราะ liquidity ก็ต่ำ ก็เป็นอะไรที่กระอักกระอ่วนพอควร 3. การที่เราเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจุดที่มีนัยสำคัญ เช่นข้ามเส้น 5, 10 %  เจ้าของกิจการเขาก็รู้ครับ และเขาก็เริ่มระวังตัว เพราะถ้าของดี ก็ไม่มีใครอยากถูกแย่งไป เขาก็ไม่รู้ว่าเรามาดี หรือมาร้าย สิ่งที่เขาเริ่มสร้างเกราะป้องกันต้ว บางที่มันทำให้ กิจการ ที่กำลังจะไปได้สวย ก็จะชะลอต้ว หรือความน่าสนใจน้อยลง 4. เดี๋ยวคิดออกมาเติมให้ครับ ไปทำงานก่อน share กันนะครับ จากคุณ : krit587 เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 09:48:38

ความคิดเห็นที่ 3 หลายท่านคงทราบดีแล้วว่า... นอกจากผมจะสนใจในหุ้นที่มี Market Cap. ขนาดเล็กแล้ว ผมยังให้ความสนใจอย่างยิ่งกับ หุ้น Turnaround จากบทความเดิม เรื่อง "### หุ้นที่มันต้องขึ้น (บทความตอนสุดท้ายของหุ้น Turnaround) ###" ที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10140325/I10140325.html ผมมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับ "หุ้น Turnaround" ดังนี้ครับ "กระแสเงินสด"...ที่ว่าสำคัญ แต่ "กระแสธรรมาภิบาลที่ดี"...ก็ไม่ได้สำคัญน้อยหรือยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!!!" คุณเคยเห็น "ต้นไม้ยืนต้นตายไหม?" ใครดูก็คงคิดว่า...มันจะต้องตายแน่ๆ!!! เพราะมันเหี่ยว ไม่มีแม้แต่ดอกหรือใบบนลำต้นแห้งแล้งนั้นแล้ว แต่เราอาจลืมมองให้ลึกไปกว่านั้น... แท้จริงแล้ว มันยังคงมี "รากแก้ว" ที่แข็งแรงซ่อนตัวอยู่!!! การที่มันเสียดอกและใบไปนั้น มันอาจเกิดขึ้นเพราะไฟป่า หรือภัยธรรมชาติต่างๆ แต่ถ้ามันยังคงมีรากที่แข็งแรง และชอนลึกลงไปในใต้ดิน แน่นอนครับ...มันรอวันที่จะกลับมาบานสะพรั่งได้เช่นเดิม เพียงแค่รอวันเวลาเท่านั้น "รากแก้ว"...ก็เปรียบเสมือน "ธรรมมาภิบาล และแก่นแท้ของบริษัทฯ!!!" ถ้ามันจะเป็นหุ้น Turnaround ได้จริง วันนึง คุณจะเห็นดอกไม้เล็กๆ เริ่มบานอยู่บนลำต้นแห้งเหี่ยวนั้น แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 23:33:06 จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 09:56:38

ความคิดเห็นที่ 4 เพิ่งเห็นความเห็นที่ 1 คือถ้ามองว่าอยากมีสัดส่วน ประมาณ 0.5-1% ผมกลับมองว่า สัดส่วนมันต่ำเกินไปที่จะได้ added value และเราก็เสีย ทางเลือกในการ diversify port ของเราไป ผมเชื่อว่า บริษัทที่เจ้าของกระทู้ analyze ก็คงมีมากกว่า 1 บริษัท ถ้าเราไม่ได้หวัง right ในการบริหารจัดการหรือการออกเสียง ผมคิดว่า diversify น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยการลงทุนในหลาย ๆ บริษัทที่เรามองว่า งบดี มีอนาคต อย่าไป fixed ว่าต้องมีชื่อติดใน settrade แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 09:58:51 จากคุณ : krit587 เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 09:57:48

ความคิดเห็นที่ 5 ATT : K.krit587 ขอบคุณสำหรับการร่วมแชร์มุมมองครับ ผู้ที่ผ่านมาอ่าน จะได้มีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากครับ ผมเองคงไม่ได้หวัง right ในการบริหารจัดการหรือการออกเสียงหรอกนะครับ แต่ด้วยความเคารพครับ ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมทำอยู่...มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่มันเป็นเพียง "ความฝันเล็กๆ" สำหรับคนธรรมดาอย่างผม มันทำให้ผมเผลอไปนึกถึงหนังที่ผมรักมากๆอยู่เรื่องหนึ่ง กับประโยคของทิว(เพื่อนศร) ที่ยังคงอยู่ในใจของผม นั่นก็คือ... ทิว : " นี่ไง ศร ข้อแขนอย่างเอ็งนะ ถ้ามาจับปลาแข่งกับข้านะ มีหวังถูกยักมือแหกแน่.. ต่อให้เป็นขุนอินอะไรของเอ็งก็เหอะ คนเรามันเชี่ยวผิดกันโว้ยไอ้ศร..ทางใครก็ทางมันซิวะ" ผมรู้สึกแบบนั้นนะ จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 10:10:20

ความคิดเห็นที่ 6 คุณเคยเห็นไหม... "สวนหย่อมที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ต้นไม้ใหญ่ มีดอกใบบานสวยงามเต็มต้น แต่ไม่นานนัก... ต้นไม้ใหญ่นั้น ก็ก็ค่อยๆเหี่ยวลง และล้มตายในที่สุด นั่นเป็นเพราะ มันถูกขุดเอามา "วางตั้งไว้" เพื่อโชว์เฉยๆ!!! นั่นเป็นเพราะ รากมันไม่แข็งแรง" ก็เหมือนบางบริษัทฯ ที่ภายนอกดูดี แต่ไม่นานนัก ความจริงจะค่อยๆปรากฏออกมา เพราะมันไม่ได้มี "รากแก้ว หรือ ธรรมาภิบาลที่ดี" เป็นพื้นฐานของกิจการอย่างแท้จริง ดังนั้น จงอย่ามองแต่เปลือก หรือภายนอก เราต้องมองให้ลึกซึ่งกว่านั้นมากๆ ไม่มีใครจะมาดูแลเราได้ในสงครามตลาดหุ้น จะกี่หน่วยงานราชการ เราก็ไม่อาจจะพึ่งได้เต็ม 100% เวลาเราเจ๊งขึนมา ไม่มีใครร้องไห้ให้กับเรา ไม่มีใครจะใจดีเอาเงินมาคืนเราหรอกนะครับ เราต้องพึ่งตัวเองให้มากที่สุด เท่าที่เราจะมีแรงทำได้ จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 10:21:09

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นคุณ Again-With-Love คุยเรื่องธรรมาภิบาล เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว เลยอยากจะเพิ่มเติมสักเล็กน้อยว่า หากคิดจะซื้อหุ้นจำนวนมากแล้วเข้าไปมีส่วนร่วมใน การบริหาร เราอาจจะมองเรื่องนี้ได้เป็นสองแง่มุม 1. คือกลายเป็นงานที่จะต้องปฏิบัติ สำหรับบางคนอาจจะชอบ แต่บางคนอาจจะลืมไป เรื่องวัตถุประสงค์ส่วนตัวในการลงทุน บางคนอาจจะต้องการมีรายได้ โดยไม่ต้องเสีย เวลาไปนั่งทำงาน ก็มี 2. เรื่องของการซื้อหุ้นจำนวนมากๆ ไม่ว่าจะบริหารหรือไม่ บริษัทเล็กหรือใหญ่ ถ้าต้อง การซื้อขนาด 0.5% ขึ้นไป คงจะต้องเข้าไปคุยกับผู้บริหารและผู้ถือหุ้นเดิมบ้าง ก่อนจะ ตัดสินใจ เรียกว่าต้องวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากเป็นพิเศษเสียก่อนครับ Update วันนี้ เป็นตอนแรกของเรื่อง "การวิเคราะห์เชิงตัวเลข" เข้าบล็อกคลิ๊กที่ "การลงทุนโดยพิจารณามูลค่าของบริษัท (Value Investment)" ทางด้านขวามือครับ ---------------------------------------- http://www.muegao.blogspot.com พื้นฐานความรู้ บทความเกี่ยวกับ หุ้น การเงิน การลงทุน ธุรกิจ โดย มือเก่าหัดขับ ---------------------------------------- จากคุณ : มือเก่าหัดขับ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 10:39:03

ความคิดเห็นที่ 8 "กระแสเงินสด"...ที่ว่าสำคัญ แต่ "กระแสธรรมาภิบาลที่ดี"...ก็ไม่ได้สำคัญน้อยหรือยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!!!" ^ ^ ^ มุมมองนี้ของผม... มันทำให้ผมทำการบ้านเชิงลึก ในเรื่อง "ประวัติความเป็นมาของบริษัทฯ" "CEO , ผู้บริหาร , กรรมการต่างๆ และ MD จึงถูกมองอย่างลึกซึ้งเท่าที่จะเป็นไปได้" ผมมองว่า... แม้ ผลการดำเนินงาน , ฐานะการเงิน , Product&Service , Competency และ Brand ของบริษัทฯ จะมีความสำคัญมากๆ แต่เรื่อง "ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร" ก็สำคัญไม่แพ้กัน "ต้นตระกูล , ความเป็นมา , การศึกษา , การถูกอบรมสั่งสอน , ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล , ผลงานที่ผ่านมา , ตำแหน่งทางสังคม , มุมมองและแง่คิด และเป้าหมายในชีวิตของท่านเหล่านั้น" ผมจะพยายามหาข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!!! ทุกๆข้อมูลจากทุกแหล่ง ทุกๆบทสัมภาษณ์ จะถูกดึงออกมาตีแผ่ และวิเคราะห์อย่างดีที่สุด เพราะนั่นหมายถึง เรากำลังจะเลือก "เชื่อใจ" ใครซักคน!!! จากนี้คือ ประสบการณ์เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของผมแล้วนะครับ v v v สำหรับหุ้น BATA ผมและเพื่อนๆ ในเว็บพันทิพ และในเว็บ THAIVI พวกเราพยายามลงลึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน "117 ปี" ของบริษัทนี้ ตำนาน โรงงานผลิตรองเท้าบาทาของ Thomas Bata ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศ เชคโกสโลวาเกีย แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 12:45:01 จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 10:49:35

ความคิดเห็นที่ 9 และแน่นอนครับ ท่าน CEO และ ทีมผู้บริหารก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน สำหรับ BATA ท่านประธานกรรมการ คือ "คุณประกิต ประทีปะเสน" อดีตกรรมการและรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และประธานกรรมการบริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร คนแบบนี้ ผมเลือกที่จะ "เชื่อใจ" เค้าอ่ะนะครับ ผมเข้าซื้อหุ้น BATA ครั้งแรกที่ราคาประมาณ 4 - 5 บาท ... แม้บาจาจะเป็นบริษัทฯเล็กๆ ที่มี MArket Cap. ประมาณ 300 ล้านบาทเท่านั้น แต่ความฝันที่ผมจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท BATA จบสิ้นลง เพราะบริษัทฯขอทำ Tender Offer ออกจากตลาดโดยสมัครใจ ที่ราคาประมาณ 17 - 17.50 บาท จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:01:26

ความคิดเห็นที่ 10 จนมาถึงการตัสินใจลงทุนใน NC บริษัทฯในเครือของสหพัฒน์แห่งหนึ่ง ผมบอกตัวเองว่า... "ทุกๆที่มาของเครือสหพัฒน์...ผมต้องรู้ให้หมด!!!" จากการทำการบ้านในครั้งนี้... นอกจากทำให้ผมได้รู้ความเป็นมา และแก่นแท้ ของ "เครือสหพัฒน์" แล้ว มันยังให้ทำให้ผมได้ซึมซับคำสั่งสอนของ "นายห้างเทียม โชควัฒนา" ไปในตัวอีกด้วย ปราชญ์ทางธุรกิจแห่งประเทศไทย แม้ว่าท่านจะไม่ได้จบการศึกษามาสูง แต่ท่านกลับมีแนวคิดทาง "การตลาดสมัยใหม่" ที่หาตัวจับได้ยากทีเดียว การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการใช้ Media ต่างๆนั้น... ท่านเป็นผู้เล็งเห็นความสำคัญมานานมากๆแล้วเช่นกัน จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:17:47

ความคิดเห็นที่ 11 "หนังสือเกี่ยวกับสหพัฒน์ทุกเล่ม" ที่ผมหาได้...ถูกซื้อมาเพื่ออ่าน และสะสมครับ!!! ใช่แล้วครับ... ผมสะสมทุกๆอย่าง ที่เกี่ยวข้องบริษัทฯที่ผมเลือกจะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ฯ และทุกๆชิ้นที่ผมสะสม...ผมมักจะถูกเก็บไว้ในตู้โชว์อย่างดีในคอนโดเล็กๆของผม (^_^) จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:21:59

ความคิดเห็นที่ 12 หนังสือ "สหพัฒน์ โตแล้วแตก และ แตกแล้วโต" ความเป็นมาของตำนานเครือสหพัฒน์ หรือที่ถูกเรียกกันว่า "หนังสือปกแดง"...หนังสือที่พนักงานของสหพัฒน์ฯทุกคนควรจะต้องได้อ่าน จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:24:11

ความคิดเห็นที่ 13 หนังสือ "ชีวิตนี้เป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็น หนึ่ง" ของคุณบุญสิทธิ์ โชควัฒนา ประวัติความเป็นมาของเครือสหพัฒน์ , การดำเนินธุรกิจ , วิสัยทัศน์ และบทสำคัญคือ "Generation ที่ 3 ของเครือสหพัฒน์" หนังสือเล่มนี้ ถูกนำมาอ่าน และเจาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะมีการพูดถึงทั้งท่านประธานคนเก่า และคนปัจจุบันของ NC ด้วย จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:27:12

ความคิดเห็นที่ 14 ทุกๆเล่มที่พอหาซื้อได้ ผมถือว่า... หนังสือ มันเป็น "ต้นทุนที่ถูกมากๆ" ในการตัดสินใจลงทุนของเรา นั่นเป็นเพราะเรากำลังจะตัดสินใจครั้งใหญ่!!! เรากำลังจะตัดสินใจจะร่วมทุนกับเค้า โดยเราต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯเค้า แม้จะเพียงอันดับปลายๆก็ตาม จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:29:46

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเลือกที่จะ "เชื่อใจ" อีกครั้งหนึ่ง กับท่านบุญปกรณ์ โชควัฒนา (ลูกชายคนที่ 2 ของนายห้างเทียม) และ CEO คนปัจจุบัน ลูกชายของท่าน Generation ที่ 3 ของเครือสหพัฒน์ กับ "คุณพิภพ โชควัฒนา" ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงของบริษัทฯ ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกเลย ที่ผมจะรู้จักเค้าเหล่านั้น ในหลายๆแง่มุม เช่น... "เป็นลูกใคร จบการศึกษาจากที่ไหน เริ่มทำงานครั้งแรกที่ใด มีความรู้และประสบการณ์ด้านใดมาบ้าง มีมุมมอง ,วิสัยทัศน์ และความเชื่อยังไง และเค้ามองอนาคตของเค้าไว้อย่างไร?" และที่สำคัญ...เราเชื่อใจเค้าคนนั้นได้หรือไม่? "ถ้าข้อมูลเรายิ่งมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงของเราก็จะยิ่งลดลงมากเท่านั้น" ผมคิดแบบนี้นะ จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:34:50

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่เว้นแม้แต่ วารสารแจกฟรี ของบริษัทฯ ที่จะนำเสนอ Product และ Service ใหม่ๆตลอดเวลา เราจะได้รู้กลยุทธ์ และความเป็นไปได้ของกิจการมากขึ้น เอาหนังสือแบบนี้ ไปให้คนรอบข้างอ่าน และรับฟังคำวิจารณ์อย่างตั้งใจ ว่าสินค้าและบริการนั้นมีความน่าสนใจ และมีอนาคตมากน้อยแค่ไหน? "แม้ไม่ใช่หน้าที่ แต่มันก็เป็นสิ่งเราเราควรทำ!!!" และไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเราจะพยายามเขียน "ข้อเสนอแนะดีๆ" ไปให้กับทางบริษัทฯ ปล. เชื่อไหม...บางครั้งผมก็เพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯแบบไม่รู้ตัวอ่ะนะครับ บางทีคนที่เราไปถาม เกิดเห็นสินค้าขึ้นมา แล้วเกิด..."ชอบ" เค้าเลยให้เงินสด ฝากเราซื้ออีกต่างหาก ว่าไปแล้ว ผมก็กลายเป็น Sales และ คนจัดส่งไปโดยปริยายเลยอ่ะนะครับ 555 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 15:37:59 จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:37:28

ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อเลือกบริษัทฯได้  "ขั้นตอนสำคัญในการสร้างฝัน" ก็เริ่มต้นขึ้น!!!!!!!!! นั่นคือ..."การวางแผนเพื่อให้ได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่" ของบริษัทฯนั้น 1) คำนวณว่าเราต้องมีหุ้นของบริษัทฯกี่หุ้น เพื่อจะให้ได้ขั้นต่ำ 0.5% 2) เงินก้อนแรกที่ทุ่มซื้อหุ้นบริษัทฯนั้นเข้าไป 3) ในส่วนที่ยังได้ไม่ครบ...การวางแผนความฝันใน Excel ที่สร้างขึ้นอย่างช้าๆ ว่า 3.1. เราเงินเดือนเท่าไหร่? 3.2. เราจะใช้อย่างประหยัดเดือนละเท่าใด? 3.3. เราจะเหลือมาซื้อหุ้นในทุกๆเดือนได้เดือนละกี่หุ้น? 3.4. ถ้าในทุกๆปี เราได้โบนัส แต่เราไม่ใช้ เราจะนำมาซื้อหุ้นเพิ่มได้เท่าไหร่? 3.5. ถ้าเราได้เงินปันผลมา เราจะนำกลับมาซื้อหุ้นได้ประมาณกี่หุ้น? 3.6. เพียงเท่านี้ เราก็จะคำนวณได้แล้วว่า "กี่ปี?...ฝันของเราจึงจะเป็นจริง" ^ ^ ^ "หุ้นขึ้น"...ก็ดี เพราะ มีกำไรวุ้ย แต่ถ้า "หุ้นตก"...นั่นก็ดี เพราะ ฝันของฉันจะได้เป็นจริงเร็วขึ้น Mr.Market ไม่มีผลต่อจิตใจของผมเลย (ถึงมีก้อเบาบาง และน้อยมากครับ) แท้จริงแล้ว... นี่มันอาจเป็นแค่ กุศโลบาย ในการออมเงินของผมเท่านั้น ก็เป็นไปได้นะครับ 555+ จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 11:48:45

ความคิดเห็นที่ 18 หนังสือเล่มไหน ที่เกี่ยวข้อง... ผมแทบจะเหมาซื้อ และขนมาอ่านอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้ง การ surf internet หรือเป็นนักรบไซเบอร์ ผมให้นโยบายกับตัวเองคร่าวๆว่า... "ต้องพยายามไม่ให้มี กรณีที่คนอื่นหรือคนทั่วไปรู้ แต่เราไม่รู้!!!" ถ้าเรารักจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ๋ เราต้องขยันให้มากกว่าคนอื่น ร้อยเท่า พันเท่า!!! เพราะนั่นคือเงินทั้งหมดของเรา... จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 12:00:59

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่เว้นแม้แต่ "หนังสือพิมพ์" หนังสือพิมพ์ หรือ magazine ต่างๆ ถ้ามีข่าวที่เกี่ยวข้อง หรือบทสัมภาษณ์ผู้บริหารของบริษัทฯของเรา แน่นอนครับ...ผมจะซื้อมาสะสมแน่นอน!!! (^_^) จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 12:03:07

ความคิดเห็นที่ 20 จบแล้วครับ เขียนจนเหนื่อยเชียว 555+ "แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนอยู่ด้วยเสมอ" นี่คือ "ข้อคิดส่วนตัวของผม" เสมอ นี่อาจ...ไม่ใช่ตัวอย่างการลงทุนที่ดี!!!!!!!!!!!! แต่มันคงทำให้คุณรู้จักคนคนนึงมากขึ้น กับคำตอบของคำถามที่ว่า  "หุ้นนี้...ท่านได้แต่ใดมา?" ที่แน่ๆ... ไม่ได้มาเพราะจับฉลากได้ และไม่ได้เพียงแห่ซื้อตามคนอื่นๆ แน่นอนครับ ขอบคุณที่นั่งอ่าน "ความฝันเล็กๆ" ของผม ขอบคุณจริงๆครับ (^_^) จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 12:08:41

ความคิดเห็นที่ 21 ผู้ถือหุ้นตัวจริง สุดยอดครับ จากคุณ : จริงใจ นิสัยดี เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 12:39:33

ความคิดเห็นที่ 22 โหวตเท่านั้น จากคุณ : แม่น้องอะตอม เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 12:47:02

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านจบ ต้องขอชมเลยครับ มีความศรัทธาในสิ่งที่ตกผลึกทางความคิด อย่างที่ลงตัวในแบบของ Again-With-Love ศรัทธาที่แรงกล้า มักจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมาย ที่ไม่น่าเชื่อว่าเกิดขึ้นได้ ไม่เร็วก็ช้า คงได้เห็นความสำเร็จในการลงทุน ในรูปแบบที่แปลกแตกต่างออกไปแนวทางมาตรฐาน ของคุณ Againฯ again ยอดเยี่ยมมากครับ จากคุณ : gongort2 เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 12:52:05

ความคิดเห็นที่ 24 ชอบแนวคิดของคุณ Again-With-Love ครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 13:11:26 จากคุณ : Cycle..คิด เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 13:10:35

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณทุกๆท่าน ที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ ผมมองว่า... ยามตลาดหุ้นดูดี อะไรก็ดูสวยงามไปเสียหมด แต่ในเวลาเช่นนี้... ตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่อน ทั้ง "เจ้าของ ,กองทุน ,พี่หรั่ง ไม่เว้นแม้แต่ เจ้ามือและรายใหญ่" ทุกคน พร้อมที่จะปั่นหัวเราให้หมุน ด้วยหลักการ "จิตวิทยามวลชน" เค้ามักจะรู้เสมอ ว่า... "พวกเรารายย่อย คิดอะไรกันอยู่!!!" สำหรับ "เจ้ามือ" และ "รายใหญ่" นั้น เค้าได้เปรียบเราทุกประตู ไม่ว่าจะเป็น เงิน ,จำนวนหุ้น ,เครือข่าย และข่าวที่มักจะรู้ล่วงหน้าก่อนพวกเรา - ถ้าเรายังไม่กล้า "ตัดสินใจที่จะซื้อ"...เค้าก็มีวิธีการและเทคนิคในการหลอกล่อเรามากมาย เค้าจะทำให้เรามั่นใจ และตัดสินใจซื้อหุ้นจากเค้า เค้าเล่นกับความรู้สึกของพวกเรารายย่อยที่เรียกว่า "ความโลภ"!!! - และเช่นกัน ถ้าเรายังไม่กล้า "ตัดสินที่จะขาย"...เค้ามีวิธีการและเทคนิคมากมายที่จะทำให้พวกเรารายย่อย ต้องขายหนีตายกันจ้าละหวั่น เค้าจะทำให้เราหวั่นไหว และตัดสินใจขายหุ้นให้กับเค้าในราคาถูกๆ เค้าเล่นกับความรู้สึกของพวกเรารายย่อยที่เรียกว่า "ความกลัว"!!! ผมถามตัวเองเสมอๆว่า... "ท่ามกลางทะเลและพายุคลื่นลมอันรุนแรง ท่ามกลางความมึดมิดที่มองไม่เห็นฝั่งเช่นนี้!!! ...เราจะมีสิ่งใดเป็น "ที่ยึดเหนี่ยว" เล่า? หากไม่ใช่ความมั่นใจจากการทำการบ้านอย่างหนักของเรา และขอนไม้เล็กๆที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า "ธรรมาภิบาล" (^_^) จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 13:44:26

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ ค่ะ ขอให้ความฝันเล็กๆ เติบโตไปเรื่อยๆ นะคะ ---> จากคุณ : FeeL HaPPY เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 14:17:50

ความคิดเห็นที่ 27 การเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ เปรียบเสมือนการเข้าไปร่วมหัวจมท้ายกับเค้าแบบเต็มๆ "ทุ่มไปหมดตัว เทไปหมดหน้าตัก และมีพื้นที่น้อยเหลือเกินสำหรับการถอยหลัง!!!" หลายท่านคงมองว่า "เสี่ยงมาก" และ "มันไม่ใช่แนวทางที่ดีเอาเสียเลย" อันนี้...ผมเข้าใจดีครับ แต่สำหรับมุมมองของผมแล้ว... CEO...เปรียบเสมือน "แม่ทัพ" ที่ยิ่งใหญ่ในศึกสงคราม และตัวผมเอง...ก็คงเปรียบเสมือนเป็น "ทหารศึก" ตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่เดินตามหลังท่านแม่ทัพ เข้าสู่สมรภูมิรบนั้น แม่ทัพ...ที่ผมไว้ใจ แม่ทัพ...ที่ผมเชื่อมั่น แม่ทัพ...ที่ผมเชื่อว่าเก่ง มีฝีมือ และจะนำทัพเราให้ชนะศึกสงสรามในครั้งนี้ ในบางครั้ง... เราเองก็ต้องอาศัย "ความศรัทธา" และ "สัญชาติญาณ" ในการเลือกที่จะเชื่อเช่นกัน!!! ถามว่า... "รู้ไหมว่า เมื่อออกไปท่ามกลางกลางสนามรบ แล้วเราอาจจะต้องตาย!!!!!" ตอบว่า "รู้ครับ" แต่ถ้าได้ตาย ด้วยเหตุผลที่เราศรัทธาและเชื่อมั่น มันก็เป็น "เกียรติที่ยิ่งใหญ่" สำหรับผม ที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านแม่ทัพ(ที่เรารักและเชื่อมั่น) อ่ะนะขอรับ บางมุม...ผมก็คิดแบบนี้จริงๆนะครับ (เสี่ยงน่าดูเลยวุ้ย!!!) แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 54 14:51:36 จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 14:40:53

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆ จากคุณ : สิ่งหนึ่ง เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 15:10:12

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ จากคุณ : We are X . เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 15:47:38

ความคิดเห็นที่ 30 จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ทางที่คุณเดินจนมีวันนี้ผมเชื่อว่าคนอื่นก็ต้องบอกว่าคุณบ้า แต่วันนี้ผมคิดว่าคนบ้า บ้าที่จะทำ ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า คงจะได้มีโอกาสเขียนเรื่องไว้เล่าให้ลูกหลานยามแก่เฒ่าได้บ้างแล้วล่ะ เป็นกำลังใจให้คับ จากคุณ : เด็กน้อยตาดำๆ (wigraipat) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 16:01:41

ความคิดเห็นที่ 31 ขอคารวะในความกล้าของท่าน ... คุณได้ให้แง่คิดกับพวกเรา จากคุณ : Chokul เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 16:40:44

ความคิดเห็นที่ 32 ขอให้ประสบความสำเร็จครับ จากคุณ : เม่าน้อยคอยลุ้น เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 20:17:32

ความคิดเห็นที่ 33 ผมก็มีหุ้นในดวงใจแบบท่าน ตอนเด็ก ผมได้ความรู้และมีหนังสือ ซีเอ็ด แบบ มิติที่ 4  update  ทักษะ มันหล่อหลอมให้ผม เป็น ผมเติมเต็มปัญญาในชีวิตวัยเด็ก ผมตัดสินใจซื้อ se-ed ตอนที่ราคาต่ำและถัวเฉลี่ย ไม่สนใจเรื่องขาดทุน เพราะผมรัก...รักมาก จนมีทุนที่ราว 6.7 บาท ราว 2 หมื่นกว่าหุ้น เป็นหุ้นตัวเดียวที่ผมจะรักษาไว้และตลอดไป จากคุณ : REX-REX เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 21:43:28

ความคิดเห็นที่ 34 "หุ้นรุ่ง"...มีไว้ให้เล็ง "หุ้นร่วง"...มีไว้ให้ระวัง "หุ้นรวย"...มีไว้ให้กินปันผล "หุ้นร้อน"...มีไว้ให้เก็งกำไร แต่ "หุ้นรัก"...มีไว้ให้สะสมครับผม (^_^) หมายเหตุ : Credit ภาพเป็นของคุณ MANHATTAN จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 22:16:11

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณมากครับ อ่านแ้ล้วรู้สึกตัวเองเลยว่ายังขยันไม่พอ..~~ จากคุณ : Taplop เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 54 22:39:52

ความคิดเห็นที่ 36 ติดตามพี่pakตั้งแต่ในthaiviแล้วครับ หวังว่าสักวันจะเป็นเหมือนพี่ ขอบคุณครับ จากคุณ : Blur_PoDz เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 02:43:26

ความคิดเห็นที่ 37 ต้นไม้ที่ใบร่วงหมดแล้ว     แต่ยังมีผลคาต้น         และพร้อมที่จะแตกกิ่ง            และให้ผลในรอบต่อไป จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 07:11:06

ความคิดเห็นที่ 38   ขอชื่นชมในความอุตสาหของคุณ Bata (Again-With-Love) ครับ (แม้ว่าแนวทางจะแตกต่างกัน) จากคุณ : ช้างทมิฬ เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 09:58:22

ความคิดเห็นที่ 39 " ถ้าเราเข้าใจในกิจการใด เราก็จะมีความเชี่ยวชาญและมีมุมมองในธุรกิจนั้นๆ " อ่านเรื่องคุณแล้วคิดแบบนี้ครับ ^^ จากคุณ : หัวใจข้างซ้าย พวงมาลัยข้างขวา เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 12:24:19

ความคิดเห็นที่ 40 ผมเคยถือหุ้นเป็นอันดับ4แถวๆสี่แยกพญาไท(เครือที่คุณว่านี่ล่ะ) เวลาไปประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี   ผู้บริหารมองเราเหมือนข้าวนอกนา  (มองหน้ากันท่านคงจะคิดว่ามาได้ไงวะคนๆนี้55) แบบมองข้ามไป  ไม่อยากจะคุยด้วย กลับมาผมขายหุ้นบริษัทนั้นทิ้งหมดเลยเรื่องจริงครับ ขอให้  จข  กท  มีความสุขในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นะครับโชคดี จากคุณ : P_ปรัชญา เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 20:05:09

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณครับ จากคุณ : ฐ. ฐาน เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 20:44:14

ความคิดเห็นที่ 42 ATT : K.P_ปรัชญา (คห.ที่ 40) ผมเองก็เคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆกันครับ กับประสบการณ์เลวร้าย ในความตั้งใจจะไปเข้าประชุม AGM ครั้งแรกในชีวิต ที่บริษัทฯย่านลาดพร้าว ไม่มีใครมองเราด้วยสายตาที่เป็นมิตร และเข้ามาต้อนรับเราเลย ผมเองต้องเดินกลับเช่นกันครับ เพราะหนึ่งคือผมไม่เคยประชุมมาก่อน และสองคือรู้สึกว่าเราเป็นส่วนเกินของเค้าจริงๆ ยอมรับว่า ผิดหวัง, เสียความรู้สึก และเสีย self เช่นกันครับ ต่อมา... เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ผมจึงสมัครเป็น "อาสาพิทักษ์สิทธิผู้ถือหุ้น" ครับ เมื่อปีที่แล้ว รุ่นที่ 8 พออบรมจบ งวดนี้หล่ะ "แจ่ม" เลยครับ งานนี้!!! จากไอ้เบื๊อก กลายร่างเป็น ผู้ให้คะแนนที่ถือ Checklist อยู่ในมือ รู้ขั้นตอนทุกอย่าง สามารถให้คำแนะนำกับบริษัทฯเหล่านั้นได้อีกด้วย และเค้าก็เกรงใจเราพอสมควรเลยครับ เพราะเราไปในฐานะของสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยฯ และเป็นคนให้คะแนน เกี่ยวกับ CG ของบริษัทฯเค้าด้วย หลังจากนั้น... ความกลัวของผมหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงสายตาแห่งการจับผิด และอย่างน้อยถ้าผมไม่มีใครหรือไปคนเดียว ผมก็คอยสอดส่ายตามองหา "ตัวแทน" หรือ "อาสาฯ" ของสมาคมฯ และผมก็แค่ไปนั่งข้างๆเค้า และพูดคุยกับเค้าฉันเพื่อน ผมแก่พรรษามากขึ้น และผมไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว ทุกครั้งที่เราไปประชุม อย่าลืมมองหา อาสาสมัครฯนะครับ เราคุยกับเค้าได้ตลอด และเค้าเป็นพวกนักลงทุนรายย่อยเสมอครับ อ้อ...ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะขอรับ (^_^) ปล. ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เพิ่งไปอบรมทบทวนมาเป็นปีที่ 2 ความรู้แน่นขึ้น เพื่อนและคนรู้จักมากขึ้น ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 54 23:00:49 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 54 22:59:09 จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 22:56:35

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณที่เขียนกระทู้ดีๆน่าสนใจขึ้นมาครับ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 23:01:52

ความคิดเห็นที่ 44 คห.42  เล่าเรื่องจริงยอมรับครับ เมื่อ5ปีก่อนผมเคยไปประชุม  บริษัทหนังสือกีฬา ลงรถแท็ซี่ เดินเข้าโรงพิมพ์เจอยาม  แลกบัตร  ขึ้นลิฟไปชั้น6 พอมีคนเห็นผม เขาทำท่าตกใจ   ผมไปตอนถึงเวลาประชุม  มีพนักงานเชิญให้ไปนั่งรอ เพราะเขายังไม่จัดห้องประชุม  พอจัดเสร็จเข้าประชุม มีเพียงผู้จัดการมาเปิดประชุม มองแล้วมีแต่หน้าม้าพนักงานแขวนป้ายกันทุกคนยกเว้นผม อาสาพิทักษ์สิทธิ์ไม่เห็นมีครับครั้งนั้น  พอวาระอื่นๆ ผมถามว่ามี  นโยบายแจกw  รุ่น2หรือเปล่า ผู้จัดการ  เขาตอบ  มีเมื่อไหร่จะแจ้งทางตลาดฯ   ปิดประชุม ขนมก็ไม่มี  กาแฟก็ไม่มี  คือไม่มีอะไรต้อนรับผู้ถือหุ้นเลย บริษัทนี้คงไม่มีใครไปประชุมผู้ถือหุ้นในหลายปีที่ผ่านมา กลับมาก็ต้องขายหุ้นบริษัทฯเขาทิ้ง มีบริษัทหนึ่งที่ต้อนรับผู้ถือหุ้นดีจนประทับใจมาถึงทุกวันนี้ บริษัท  msc  ปีนี้ถ้าใครจะไปประชุมผู้ถือหุ้นลองบริษัทนี้ดูครับ จากคุณ : P_ปรัชญา เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 08:38:03

ความคิดเห็นที่ 45 ขอลงรูปที่ผมชอบหน่อยนะขอรับ #1 จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 09:42:58

ความคิดเห็นที่ 46 #2 Credit : มาจากเพื่อนท่านหนึ่งใน Pantip ผมจำชื่อไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 09:43:51

ความคิดเห็นที่ 47 ถามจริงๆ ธรรมาภิบาล มันมีอยู่จริงไหมครับ หรือว่าเป็นแค่คำพูด ที่สวยหรู แล้วทำตัวเนียนละออจนเห็นไปตามคำพูดจริงๆ จะมั่นใจได้อย่างไร หรือต้องใช้วิชา จิตสัมผัส แบบริว จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 17:36:40

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณมากครับ ทำให้ฝันแล้วอยากเป็นเจ้าของบริษัทบ้างจัง จากคุณ : fa_beer เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 19:08:54

ความคิดเห็นที่ 49 เยี่ยมไปเลยครับ จากคุณ : cooly skin เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 13:27:57

ความคิดเห็นที่ 50 ขอชื่นชมคุณ Bata (Again-With-Love) จากใจจริงค่ะ คุณเป็นนักลงทุนที่ดีค่ะ จากคุณ : หวานใจกัปตัน เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 54 09:31:52

ความคิดเห็นที่ 51 เยี่ยมครับพี่ ตามอ่านตลอด จากคุณ : ขี่รถถีบไปจีบเธอ เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 54 17:43:30

ความคิดเห็นที่ 52 ผมสรุป "ปลายทางของความฝันของผม" ในก้าวแรก ไว้แล้วนะครับ ในกระทู้ชื่อ "### ผมมานั่งรอของขวัญวันเกิดครับ ###" ที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10289842/I10289842.html ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 54 10:15:25