|
9 หุ้นเด่นในใจ KEST AMATA BBL CK MAJOR PTTCH SCC STA TOP และ TUF
คุณเบน เลือกหุ้น 9 ตัว ได้แก่ AMATA BBL CK MAJOR PTTCH SCC STA TOP และ TUF พร้อมเผยกลยุทธ์ลงทุน 2 รูปแบบ คือ เล่นรอบ (Trading) หุ้นกลุ่ม commodity กับหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Mid & Small Caps) อย่าง CK PTTCH STA และ TOP เพราะราคาหุ้นจะแกว่งตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือทิศทางตลาดโดยรวมมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน
เราเชื่อว่า ผลดำเนินงาน TOP จะเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง จากกำไรสต๊อกน้ำมันดิบ ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนส่วนต่างปิโตรเคมีที่ปรับเป็นขาขึ้น และยิ่งภาครัฐเตรียมปรับโครงสร้างราคาขาย LPG หน้าโรงกลั่นให้สอดคล้องกับราคาในตลาดโลก ทำให้ TOP ซึ่งเป็นโรงกลั่น LPG รายใหญ่สุดจะได้ประโยชน์ทั้งจากกำลังการผลิต และกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ผลักดันกำไรให้เติบโตอย่างน้อย 4 ไตรมาส นับจากไตรมาสสุดท้ายปีก่อนจนถึงไตรมาสสามปีนี้ ส่งผลให้ราคาเหมาะสมปรับขึ้นมาเป็น 87 บาท
ส่วน PTTCH นอกจากมีประเด็นเรื่องการควบรวมกิจการกับ PTTAR ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งแรกปีนี้แล้ว ธุรกิจยังมีแนวโน้มทำกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากยอดขายและราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตโดยหันมาใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบแทนน้ำมันสูงถึง 85% และได้ประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ในโครงการ PTTPE ช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานปีนี้ให้เติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมี คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 190 บาท
สำหรับ CK ผลดำเนินงานปีนี้มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการรับรู้รายได้จากโครงการขนาดใหญ่อย่าง ไซยะบุรี และการขายไฟฟ้าของเขื่อนน้ำงึม 2 หนุนให้ธุรกิจพลิกจากขาดทุนสุทธิ 201 ล้านบาทในปีก่อน มาเป็นกำไรสุทธิ 945 ล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 12.80 บาท หรือมี Upside กว่า 20% เทียบกับ STEC ซึ่งราคาเต็มมูลค่า แล้ว นักกลยุทธ์ค่าย KEST เปิดประเด็น
ส่วนหุ้นที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็น AMATA BBL MAJOR SCC หรือ TUF สาวเบนแนะให้ซื้อลงทุนระยะกลางถึงยาว (Buy) เพราะราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ธุรกิจธนาคาร นอกจากจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นหนุนให้ส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องด้วย แต่ที่โดดเด่นสุดจะเป็น BBL ซึ่งมีราคาเหมาะสมที่ 179 บาท ส่วนธุรกิจสื่อและบันเทิง กับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีเช่นกัน เพราะได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา ช่วยผลักดันกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมี MAJOR และ AMATA เป็น Top pick ของกลุ่ม ด้วยราคาเหมาะสม 17.40 บาท และ 20.50 บาท ตามลำดับ เธอให้ข้อมูลเพิ่มเติม
TUF จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการซื้อกิจการ MW Brands ทั้งในแง่ยอดขายที่เพิ่มขึ้น สวนทางต้นทุนราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่ปรับลดลง อีกทั้งไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าไปตลาดยุโรป ซึ่งเป็นตลาดอาหารทะลที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการประเมินเบื้องต้น กำไรสุทธิของ TUF น่าจะเติบโตจากปีก่อน 37% เป็น 4,979 ล้านบาท ทำให้ราคาเหมาะสมปรับขึ้นมาเป็น 70 บาท
สำหรับ SCC ธุรกิจปิโตรเคมียังเป็น Key Growth Driver ปีนี้ เพราะมีการเพิ่มกำลังการผลิตในปีก่อนเกือบ 1 เท่าตัว รวมถึงได้ประโยชน์ทิศทางราคาปิโตรเคมีขาขึ้น ขณะที่ธุรกิจปูนซิเมนต์แม้จะถูกกดดันจากราคาถ่านหินที่สูงขึ้น แต่การเติบโตของความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศ และการเริ่มต้นโครงการ Waste Heat Generator ซึ่งสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 1.4 พันล้านบาท จะช่วยลดแรงกดดันจากต้นทุนถ่านหินได้เช่นกัน นอกจากนี้ SCC จะรับรู้กำไรในส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโครงการต่างๆ ช่วยชดเชยส่วนแบ่งกำไรที่หายไปของ PTTCH ทำให้คาดว่ากำไรปกติปีนี้ จะเติบโต 20% เป็น 32,097 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นๆ ละ 26.75 บาท และคาดการณ์เงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 15 บาท โดยมีราคาเหมาะสมอยู่ที่ 380 บาท สาวเบนทิ้งท้าย
จากคุณ |
:
drizzle
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.พ. 54 14:14:12
|
|
|
|
|