บทความโพสต์ทูเดย์ : หุ้นปันผล ทางเลือกลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม
|
|
บทความโพสต์ทูเดย์ : หุ้นปันผล ทางเลือกลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม
22-2-54
การลงทุนระยะยาวในหุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมอง ข้าม ทั้งในด้านผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และโอกาสการทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น....
โดย....พัดชา จุนอนันตธรรม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผู้ลงทุนที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อต้องการผลตอบ แทนที่สูงกว่าการรับดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคาร และพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่มากขึ้น การลงทุนระยะยาวในหุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งในด้านผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และโอกาสการทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น
ปัจจุบันหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีหุ้นปันผลที่มีการจ่ายปันผลต่อเนื่องและ สม่ำเสมอให้เลือกลงทุนมากถึง 160 หลักทรัพย์ ซึ่งให้อัตราปันผลตอบแทน เฉลี่ยในปี 2553 เท่ากับ 8.18% มากกว่าดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปีถึงเกือบ 7 เท่า
1. หุ้นปันผลทางเลือกที่น่าสนใจในยามที่เงินฝากให้ผลตอบแทนที่แท้จริงติดลบ
ข่าวสำคัญในวงการธุรกิจการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2554 คงหนีไม่พ้นข่าวการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรืออัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืน พันธบัตรระยะ 1 วัน ตามการประกาศของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จาก 1.25% มาอยู่ที่ 2.25% ถึงแม้ว่ากนง.มีแนวโน้มจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตเพื่อ ควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงซึ่งเกิดจากการหักลบอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน ด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วยังคงมีค่าติดลบ ซึ่งหมายความว่าปริมาณสินค้าและบริการที่จะซื้อได้ในอนาคตด้วยเงินต้นรวม ดอกเบี้ยนั้นน้อยกว่าสินค้าและบริการที่ซื้อได้ในปัจจุบันด้วยเงินต้นที่มี อยู่ หรืออีกนัยหนึ่งคืออำนาจในการซึ้อสินค้าและบริการ ลดลง
ผู้มีเงินออมหลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องหาช่องทาง การลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการ ฝากเงินในธนาคาร หนึ่งในช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าคือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนในรูปอัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 3.46% และ 3.95% ตามลำดับ สูงกว่าการฝากเงินในธนาคารซึ่งมีค่าเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนอยู่ที่ 2.15%
นอกจากนี้แล้ว หากผู้ลงทุนเปรียบเทียบอัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ กับอัตราเงินปันผลตอบแทนของประเทศอื่นๆ ในเอเชีย จะพบว่ามีค่าสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย
แต่สิ่งที่มาคู่กับผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็คือความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับและความเสี่ยงจะมีมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ กลยุทธ์ในการลงทุนของผู้ลงทุนแต่ละราย ซึ่งควรสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและข้อจำกัดในการลงทุนของผู้ลงทุน สำหรับผู้ลงทุนที่ซื้อขายหุ้นโดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงราคาเป็นหลัก เพื่อหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาในระยะสั้น ถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจะสูงและเร็ว แต่ต้องยอมรับว่าความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังย่อมมีมาก ขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นผู้ลงทุนที่มีเงินออมเหลือจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นพร้อมสำหรับการ ลงทุนในระยะที่ยาวขึ้น และมีความต้องการจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอและสูงกว่าการฝาก เงินในธนาคาร และพร้อมรับความเสี่ยงที่อัตราผล ตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้บ้าง การลงทุนระยะยาวในหุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม
2.หุ้นของบริษัทจดทะเบียนใดถือได้ว่าเป็นหุ้นปันผล (Dividend Stock)
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ มีหุ้นรวมกันแล้วมากถึง 541 บริษัท ซึ่งการพิจารณาว่าหุ้นตัวใดจะได้ชื่อว่าเป็นหุ้นปันผลนั้น บริษัทจดทะเบียนควรมีประวัติการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องและให้ผลตอบแทนอย่าง สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ตรงกับความต้องการของผู้ลงทุนที่คุ้นเคยกับการได้ รับดอกเบี้ยจากการฝากเงินในธนาคาร
ปัจจัยที่ 1 – หุ้นปันผลกับผลตอบแทนการลงทุนที่ต่อเนื่อง
หากพิจารณาการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วง 10 ปีล่าสุด ตั้งแต่ปี 2544 ถึง 2553 พบว่ามีบริษัท จดทะเบียนที่จ่ายปันผลอย่างน้อย 1 ครั้งให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทอยู่มากถึง 470 บริษัท ในจำนวนนี้มี 262 บริษัท ที่จ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีล่าสุดติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน คิดเป็น 48.43% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด โดยมีอยู่ถึง 149บริษัทที่จ่ายปันผลตลอดทุกปีที่จดทะเบียนในช่วง 10 ปีล่าสุด และอีก 113 บริษัทที่เหลือจ่ายปันผลต่อเนื่อง อย่างน้อย 5 ปีล่าสุดติดต่อกัน
ปัจจัยที่ 2 – หุ้นปันผลกับผลตอบแทนการลงทุนที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
นอกจากผู้ลงทุนควรจะได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องจากหุ้นปันผลแล้ว ผู้ลงทุนควรได้รับมูลค่าเงินปันผลหรืออัตราเงินปันผลตอบแทนที่สม่ำเสมอด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่อัตราผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่ผู้ลงทุนคาดหวัง โดยความสม่ำเสมอในการจ่ายปันผลหมายถึงการที่บริษัทจดทะเบียนไม่เพิ่มหรือลด การจ่ายปันผลอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสามารถวัดได้จากค่าสัมประสิทธิ์ของความแปรปรวน (Coefficient of Variation) ของมูลค่าเงินปันผลต่อหุ้นหรืออัตราเงินปันผลตอบแทน ทั้งนี้ ถ้าค่าสัมประสิทธิ์ของความแปรปรวนของหุ้น A มากกว่าหุ้น B แล้ว นั่นหมายว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้น A มีความผันผวนขึ้นลงมากกว่าหุ้น B
หากพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์ของความแปรปรวนของมูลค่าเงินปันผลต่อหุ้นหรือ ของอัตราเงินปันผลตอบแทนรายปีในช่วงปี 2549 ถึง 2553 ของหุ้นที่มีจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อยทั้ง 262 หลักทรัพย์ แล้วพบว่า มีอยู่ 160 หลักทรัพย์ที่มีค่าสัมประสิทธิ์ของความแปรปรวนของมูลค่าเงินปันผลต่อหุ้นราย ปีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหรือมีค่าสัมประสิทธิ์ของความแปรปรวนของอัตราเงินปันผล ตอบแทนรายปีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่าสัมประสิทธิ์ของความแปรปรวนของหุ้นทั้งหมด ที่มีการจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อยทุกปีที่จดทะเบียนในช่วงปี 2549 ถึง 2553 หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่าหุ้น 160 หลักทรัพย์มีมูลค่าปันผลต่อหุ้นหรืออัตราเงินปันผลตอบแทนที่ผันผวนน้อยกว่า อีก 76 หลักทรัพย์ที่เหลือ
จากการคัดเลือกหุ้นปันผลด้วยเกณฑ์ความต่อเนื่องและความสม่ำเสมอในการจ่าย ปันผล จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยมีหุ้นปันผล ทั้งขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET50 (29 หลักทรัพย์) และขนาดเล็กในกลุ่มนอก SET 100 (123 หลักทรัพย์) ซึ่งมีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอให้เลือกลงทุนอีกมาก หากแยกหุ้นปันผลทั้ง 160 หุ้นตามหมวดธุรกิจ พบว่าเกือบทุกหมวดธุรกิจจะมีบริษัทจดทะเบียนที่สามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อ เนื่องและสม่ำเสมอ
ดังจะเห็นได้จากการกระจายตัวของหุ้นปันผลในเกือบทุกหมวดธุรกิจ ยกเว้น หมวดเหมืองแร่ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดบริการเฉพาะกิจ โดยหมวดธุรกิจที่มีสัดส่วนหุ้นปันผลอยู่มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดธนาคาร และหมวดการแพทย์
ทั้งนี้ จะพบว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งเป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและเล็ก โดยธุรกิจมีการเติบโตสูงและมีแนวโน้มการเติบโตดีในอนาคต จะมีสัดส่วนจำนวนหุ้นปันผลต่อหุ้นทั้งหมดน้อยกว่าหมวดธุรกิจอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทจดทะเบียนใน mai หลายบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดได้ไม่นานทำให้ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอต่อการ พิจารณาในด้านความสม่ำเสมอในการจ่ายปันผล
3. หุ้นปันผลกับราคาที่ผันผวนน้อย
เมื่อพิจารณาความผันผวนของราคาหุ้นจากค่าเบต้า (Beta) ซึ่งเป็นค่าสถิติที่สามารถใช้วัดความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเปรียบเทียบกับ ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับหุ้นปันผลทั้ง 160 หุ้นนั้น มีความผันผวนของราคาหุ้นน้อยกว่าราคาของหุ้นอื่นๆในตลาด ดังเห็นได้จากค่าเบต้า ณ สิ้นปี เฉลี่ยของหุ้นปันผลที่น้อยกว่าค่าเบต้าเฉลี่ยของหุ้นอื่นๆ ในช่วงปี 2549 ถึง 2553 และเมื่อพิจารณาค่าเบต้า ณ สิ้นปี 2553 พบว่าหุ้นปันผลส่วนใหญ่ จำนวน 121 หุ้น คิดเป็น 75.63% ของหุ้นปันผลทั้งหมดมีค่าเบต้าอยู่ในช่วง 0 ถึง 1 แสดงว่า ราคาของหุ้นปันผลส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาด หลักทรัพย์ฯ แต่มีระดับความเคลื่อนไหวน้อย กว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ
4. หุ้นปันผลกับผลตอบแทนรวม อัตราเงินปันผลตอบแทนและกำไรจากส่วนต่างราคา
ผู้ลงทุนบางส่วนมีความเข้าใจว่าโอกาสการทำกำไรส่วนต่างราคาจากการลงทุนใน หุ้นปันผลนั้นมีน้อย เนื่องจากราคาของหุ้นปันผลมีความเคลื่อนไหวน้อยกว่าหุ้นอื่นๆ หรือมีความเสี่ยงจากการลดลงของราคาหุ้น ซึ่งอาจลดลงต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มต้น แต่จากอัตราผลตอบแทนในรูปส่วนต่างราคาของหุ้นปันผลทั้ง 160 หุ้น ในช่วงปีการลงทุนต่างๆ ผู้ลงทุนยังมีโอกาสทำกำไรในระยะยาวจากส่วนต่างราคาของหุ้นปันผล และเมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในหุ้นปันผลในแต่ละช่วงปีการลง ทุน ไม่ว่าผู้ลงทุนจะเริ่มลงทุนอย่างต่อเนื่องในหุ้นปันผลทั้ง 160 หุ้นในปีใดผลตอบแทนรวมก็ยังคงมีค่ามากกว่าการฝากเงินในธนาคาร โดยถ้าหากผู้ลงทุนเริ่มลงทุนในหุ้นปันผล 100 บาท ในปี 2543 และถือหุ้นปันผลเหล่านั้นต่อเนื่องมาจนปี 2553 ผู้ลงทุนมีสิทธิได้ผลตอบแทน ณ ปีที่ 10 มากถึง 1.38 เท่าของมูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนจากเงินฝากประจำ 12 เดือน ซึ่งให้ผลตอบแทน ณ ปีที่ 10 เท่ากับ 0.27 เท่าของมูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น มากถึงประมาณ 4 เท่า
5. หุ้นปันผลกับโอกาสการจ่ายปันผลในอนาคต
เนื่องจากการจ่ายปันผลคือหนึ่งในช่องทางที่บริษัทจดทะเบียนจ่ายผลตอบแทน ผู้ถือหุ้นซึ่งนำเงินเข้ามาลงทุนในธุรกิจของบริษัท เมื่อบริษัทจดทะเบียนดำเนินกิจการจนมีกำไรสะสมและกำไรสะสมดังกล่าวมีจำนวน มากกว่าความต้องการลงทุนในอนาคต คณะกรรมการบริษัทสามารถนำผลกำไรสะสมดังกล่าวมาแบ่งกระจายให้กับผู้ถือหุ้นใน รูปการจ่ายปันผล แม้ว่าบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ถูกบังคับด้วยข้อกฎหมายใดๆ ให้จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ลงทุนสามารถคาดการณ์ได้ว่าบริษัทจะมีการจ่ายปันผลในอนาคตได้ ในเบื้องต้นสิ่งบ่งชี้ว่าหุ้นปันผลจะมีการจ่ายปันผลในอนาคตก็คือแนวโน้มการ จ่ายปันผลในอดีต
นอกจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินปันผลต่อหุ้นแล้ว ผู้ลงทุนยังมีเครื่องมืออีกมากในรูปของอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ต่างๆ ที่ผู้ลงทุนสามารถดูข้อมูลในอดีต เพื่อประกอบการพิจารณาว่าหุ้นปันผลจะสามารถจ่ายปันผล ในอนาคตได้ต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาจาก
• อัตราส่วนทางการเงินที่บ่งชี้ความสามารถในการทำกำไรจากเงินลงทุนของผู้ถือ หุ้น เช่น กำไรต่อหุ้น (Earning per Share – EPS) และอัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return on Equity - ROE)
• อัตราส่วนทางการเงินที่บ่งชี้สภาพคล่องทางการเงินและความสามารถชำระหนี้ให้ เจ้าหนี้และจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น เช่น กระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ซึ่งคือเงินสดที่เหลือหลังจากลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานแล้ว และ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) หากบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ใน ระดับสูง นั่นเท่ากับการมีหนี้ที่ต้องชำระจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสภาพคล่องจนทำให้ไม่สามารถจ่ายปัน ผลในบางโอกาส
• อัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) หุ้นที่จะสามารถจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอควรมีอัตราการจ่ายปันผลที่ไม่สูง จนเกินไป เพราะถ้าบริษัทตัดสินใจนำกำไรสะสมทั้งหมดมาจ่ายปันผล นั่นย่อมหมายความว่าบริษัทไม่ได้ใช้กำไรสะสม เหล่านั้นไปในการขยายกิจการ และโอกาสที่จะธุรกิจจะเติบโตก็ย่อมมีน้อยลงเช่นกัน
นอกจากข้อมูลทางการเงินดังกล่าวข้างต้น ผู้ลงทุนยังควรติดตามข้อมูลของบริษทจดทะเบียนและทบทวนรูปแบบของ การดำเนินธุรกิจของบริษัทในสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นประจำ ว่าธุรกิจดังกล่าวยังคงมีความมั่นคงทางการเงินและ แหล่งรายได้ที่แน่นอนอยู่หรือไม่ โดยต้องคอยติดตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน ถึงแม้ว่าผู้ลงทุนที่ลงทุนในหุ้นปันผล อาจจะต้องใช้เวลาแต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
จากข้อมูลในอดีตสะท้อนให้เห็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่ผลตอบแทนจากการ ฝากเงินในธนาคารอยู่ใน ระดับต่ำ หุ้นปันผลถือเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูง กว่าอัตราผลตอบแทนจากการ ฝากเงินในธนาคาร และยังมีโอกาสการทำกำไรจากส่วนต่างราคาตามแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอีกด้วย อย่างไรก็ ตามผู้ลงทุนที่คุ้นเคยกับการฝากเงินในธนาคารควรจะต้องศึกษาข้อมูลการลงทุนใน หุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าการฝาก เงินในธนาคาร หากผู้ลงทุนพร้อมที่จะลงทุนในหุ้นปันผลแล้วควรเริ่มต้นจากการจัดสรรเงินออม ที่พร้อมจะลงทุนในระยะยาว แล้วศึกษาข้อมูลพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว โดยมีหุ้นปันผลทั้ง 160 หุ้น ที่ถูกคัดสรรแล้วว่ามีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
http://www.posttoday.com/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%94/75888/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1
แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 54 15:18:17
จากคุณ |
:
tonytui
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ก.พ. 54 15:18:00
|
|
|
|