Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[กระทู้สงสัย] ทำไมพักนี้มีแต่กระทู้เดาหุ้นเดาตลาด?? ติดต่อทีมงาน

พักนี้ ผมเห็นคนตั้งกระทู้การ "คาดเดาราคาหุ้นและตลาด" อยู่เสียบ่อยๆ
ในฐานะที่ผมเป็นมาร์เก็ตติ้งกระจอกๆคนหนึ่ง (ในอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นเทรดเดอร์กระจอกๆคนหนึ่ง) เกิดความสงสัยว่า??

คนและเขาเหล่านั้นใช้อะไรในการคาดคะเนและคาดเดาราคาตลอดจนการคาดเดาตลาด???

โดยกระทู้นี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือชื่อ Fool by randomness by Nasim Taleb
ก่อนอื่นผมขออ้างอิงวิชาการก่อนแล้วกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจากWiki investment
ตลาดที่คาดเดายาก :
แม้จะมีเครื่องมือช่วยในการพยากรณ์หรือคาดเดาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกันออกมาอย่างมากมายในระยะนับตั้งแต่มีการคิดดัชนีดาวโจนส์หรืออื่นๆขึ้นมาจนกระทั่งถึงในปัจจุบัน แต่ดูเหมือนทฤษฎีหรือหลักการเหล่านี้ก็ยังคงมีความผิดพลาดมากกว่าความถูกต้องในการคาดเดาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหรือดัชนีหุ้น สิ่งที่เรามักจะได้เห็นก็คือการเสแสร้งจำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ การทำหูทวนลม หรือข้อแก้ตัวที่ตามมา เวลาที่ถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่มีความแม่นยำเอาเสียเลย

เรื่องอย่างนี้เป็นปัญหาปกติที่ต้องเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ที่เป็นักวิเคราะห์นั้นก็เป็นแค่ปุภุชนธรรมดาที่ใช้เครื่องมือสำหรับทำนายอนาคตด้วยข้อมูลในอดีตทั้งสิ้น หากมีใครที่สามารถทำนายอนาคตได้ล่วงหน้า แล้วไม่เป็นอัจฉริยะ ก็ต้องเป็นคนบ้าเท่านั้น นักวิเคราะห์หุ้นไม่ใช่ทั้งอัจฉริยะและก็ไม่ใช่คนบ้าในเวลาเดียวกัน กรอบวิธีการคิดของนักวิเคราะห์หุ้นทั้งหลายในโลกนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้ที่สำคัญสองฐาน ซึ่งมีความขัดแย้งในตัวเองตลอดมา และต่อสู้กันมาโดยตลอดได้แก่

1) ฐานข้อสรุปทางทฤษฎีแบบเดินสุ่ม หรือ Random Walk Hypothesis
2) ฐานข้อสรุปทางทฤษฎีแบบไม่เดินสุ่ม หรือ Non-Random Walk Hypothesis

ทั้งสองฐานความรู้ทางทฤษฎีนี้เป็นนวัตกรรมทางปัญญาอย่างหนึ่งที่เคียงคู่กับตลาดหุ้นหรือตลาดเก็งกำไรของมนุษย์มาไม่น้อยกว่า 40 ปี ฐานความรู้แบบเดินสุ่ม เกิดจากการประยุกต์เอาทฤษฎีในสนามบาสเกตบอลมาปรับใช้ โดยเริ่มจากข้อสังเกตที่ว่า การชู้ตลูกบาสลงห่วงครั้งก่อนกับครั้งล่าสุด ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย เพราะประวัติศาสตร์อาจจะไม่ซ้ำรอย ความแม่นยำของนักบาสเกตบอลแต่ละคนไม่สามารถสร้างหลักประกันได้ว่าลูกจะลงห่วงทุกครั้ง เมื่อนำมาอธิบายเข้ากับกรณีของหุ้น ก้เช่นเดียวกันว่า ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าถ้าวันที่ผ่านมาราคาหุ้นวิ่งขึ้น แล้วเช้านี้ ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นต่อเสมอไป เพราะมันอาจจะลงก็ได้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกับแรงขายและแรงซื้อต่อสู้กัน ภายใต้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีแบบเดินสุ่มนี้ ทำให้เกิดสมมติฐานที่ว่า ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวโดยเสรี และมีประสิทธิภาพ ไม่มีใครครอบงำ หรือบงการทิศทางของตลาดหุ้นได้

นั่นคือ โอกาสที่หุ้นจะเปลี่ยนทิศทางขาขึ้นหรือขาลงนั้น อยู่ในอัตราส่วน 50:50 เท่าๆกัน ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตกับปัจจุบันไม่เกิดขึ้นจริง และแนวโน้มของทิศทางจะถูกจำกัดหรือควบคุมด้วยความมีเหตุผลของตลาดเป็นสำคัญ ฐานความรู้แบบเดินสุ่มถูกท้าทายมากขึ้นในเวลาต่อมา เพราะแรงเหวี่ยงทางจิตวิทยาของตลาดนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งทำให้เราสามารถเอาข้อมูลในอดีตมาทำนายอนาคตได้ในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าหากมาดูสถิติในระยะยาวของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ก็จะยิ่งพบว่า อดีตสามารถใช้ทำนายอนาคตได้บ้าง เช่น มีการค้นพบว่า หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นต่อเนื่องในช่วงห้าปีแรก จะมีแนวโน้มราคาวิ่งลงต่อเนื่องแบบขั้นบันไดในช่วงห้าปีหลัง ยิ่งไปกว่านั้น พื้นฐานผลประกอบการของบริษัทเจ้าของหุ้นก็ยังช่วยบ่งชี้ให้เห็นแนวโน้มของราคาหุ้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้ไม่ยากเย็นนัก เช่น ถ้าหากรู้ว่าแนวโน้มการทำกำไรในอนาคตจะคงที่เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน ราคาหุ้นนั้นก็จะมีแนวโน้มถอยลง แต่ถ้าเป็นตรงกันข้าม ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไป เนื่องจากการคาดมูลค่าทางบัญชีของหุ้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะแค่แรงซื้อหรือขายเฉพาะหน้าอย่างเดียว

ระยะหลังๆนี้ แนวคิดอย่างหลังดูเหมือนจะได้รับความเชื่อถือมากกว่าอย่างแรก แม้จะไม่เต็มที่นักก็ตาม ทำให้มีการพัฒนาเครื่องมือเพื่อให้การพยากรณ์ล่วงหน้ามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ทฤษฎีการคาดเดาล่วงหน้าล่าสุดที่ได้รับความนิยมในวงการเก็งกำไรได้แก่ทฤษฎีตลาดปรับตัว (Adaptive Market Hypothesis: AMH) ที่ถือว่า ราคาหุ้นจะสะท้อนข่าวสารของตลาดที่เกิดจากปัจจัยหลายส่วนที่ไหลเข้ามาพร้อมๆกัน ภายใต้เงื่อนไขที่เลื่อนไหลได้ ซึ่งทำให้เราสามารถคาดเดาแนวโน้มของทิศทางราคาได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคำพยากรณ์ที่ถูกต้องทั้งหมดแต่อย่างใด โอกาสที่จะทายผิดก็มีอยู่มาก เหตุผลหลักก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนก็ยังเป็นตัวแปรชี้ขาดที่สำคัญทางจิตวิทยาของการลงทุน และนวัตกรรมของความสัมพันธ์ดังกล่าวก็มีการแปรผันตามห้วงของเวลา ดังนั้น การคาดเดาผลลัพธ์ล่วงหน้าของราคาหุ้น จึงต้องมีการพิจารณาองค์ประกอบหลายประการ ด้วยเหตุผลอย่างหลังนี้เอง ทำให้ทฤษฎีการเดินสุ่มก็ยังคงใช้ได้ในการอธิบายความไม่สมเหตุสมผลของตลาดหุ้นที่สามารถผิดคาดได้เสมอๆ

การต่อสู้ของฐานความรู้เชิงทฤษฎีที่ต่อสู้กันไปมาดังกล่าว เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเข้าใจและปรับตัวกันให้ดี เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพานักวิเคราะห์มากเกินสมควร และจะได้ไม่กล่าวโทษตัวเองสำหรับการลงทุนที่ผิดพลาดด้วยเช่นกัน ใครๆก็มีสิทธิทำผิดพลาดได้ เพราะความผิดพลาดและการแก้ตัวใหม่ก็คือบททดสอบเสรีภาพของมนุษย์ ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกันกับชีวิตในอนาคตของมนุษย์


สรุปประเด็นเลย
จะเห็นว่าการวิเคราะห์หรือการคาดเดา นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตรงไหน?
ตรงที่เป็นระบบกับไม่เป็นระบบ

"ผมคิดว่า ฉันว่า น่าจะ อาจจะ" อันนี้ถ้าไม่มีมูลเหตุเราเรียกว่าเดา
แต่ถ้ามีมูลเหตุอันสมควร เราเรียกว่า วิเคราะห์ เช่น

กราฟเป็นแบบนี้ๆๆๆ  หุ้นตัวนี้ๆๆๆ ราคาต่ำกว่าสิ่งที่มันควรจะเป็นๆๆ เพราะรายได้ขนาดนี้ บลาๆ

จะเห็นได้ว่าทุกท่านในห้องสินธรที่มีประสบการณ์ในการลงทุนและมีระบบtradingของตัวเองนั้น มีหลักการในการซื้อขาย วิเคราะห์ คาดคะเนนั้นต่างกันออกไป

(แล้วแต่ละสาย เด็กเทคนิค เด็กพื้นฐาน(ผมไม่ขอแยกเป็นVIนะฮะ)

ยกตัวอย่างการวิเคราะห์บางอย่างที่ค่อนข้างมั่วตั้ว

ex : จากกราฟตัวนี้ บลาๆๆๆๆๆ <<เหตุผลทางเทคนิค
      นอกจากนี้PEตัวนี้ยังต่ำมาก ผมมองว่าราคาตรงนี้ถือว่าถูกมาก <<พื้นฐาน

**ซึ่งหลักการตรงนี้ผมมองว่ามันขนมผสมน้ำยาชัดๆ ทำไมเราไม่เลือกสักทางว่าจะเทคนิคก็เทคนิค พื้นฐานก็พื้นฐาน (หรือถ้าจะนั่งเทียนก็บอกเลยนั่งเทียน) ไม่งั้นการวิเคราะห์จะกลายเป็นการชักแม่น้ำทั้ง5!!**



การหาเหตุผลมาใส่นั้นไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับการลงทุน!!
ประเด็นก็คือ อ้าว!! แล้วเราต้องทำอย่างไรล่ะ

ไม่ต้องทำฮะ ถ้าทำไม่เป็นไม่ต้องทำ
แลกเปลี่ยนไอเดียจากผู้รู้ได้ แต่ไม่ใช่ลอกการบ้าน ถึงเวลามาโวยกันปาวๆ
(แบบที่เฮียฮุยและอีกหลายๆท่านโดน)

หุ้นที่ลงวันนี้ พรุ่งนี้มันก็ขึ้น หุ้นที่ขึ้นพรุ่งนี้ มะรืนมันก็ลง

ถามว่า?? ใครที่สุดท้ายเป็นคนถูก ไม่มีหรอกครับ สลับกันไป
หุ้นยังขึ้นวันลงวันเลยนะนี่

สุดท้ายผู้ที่ชนะเหนือใครก็คือ "คนที่ซื้อก่อนขึ้นและขายก่อนมันลง"
และสิ่งที่จะทำให้คุณเป็นผู้ชนะได้คือการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง(และถูกทาง)

แต่อย่าเหมาเหตุผลเอาทั้งหมดมารวมกัน มันไม่ถูกครับ

**สำหรับผมจะซื้อก็ต่อเมื่อมองว่าจะมีจุดให้ขายได้ และจะขายก็เพราะมันจะลงแรงกว่าทุนผม**


ป.ล.
สงสัยอย่างที่จั่วหัวกระทู้ไว้ครับ ว่าทำไมกระทู้เดาเยอะจัง เป็นเพราะกระแสมันมาหรือไง? กระทู้ที่เป็นกระทู้การให้ไม่ใช่เดามั่วๆมันหายไปไหนหมด

**ขอบคุณคุณThrillครับ นิสัยเสียผมแก้ไม่หายสักที เรื่องของการจำชื่อหนังสือกับคนแต่งไม่ได้เนี่ย**


--------------------------------------
ขอบคุณ คุณThe rounderและคุณคนจนที่อยากรวย ที่เข้ามาแบ่งปันและช่วยแคะขี้เลื่อยออกไปจากหัวผมฮ่าๆๆ อยากให้เพื่อนๆในสินธรได้อ่านกันเยอะๆครับ

ว่าสิ่งที่มันเป็น สิ่งที่ตนเองคิดว่า คาดว่า มันใช่อย่างที่ตนคิด หรือไม่
เราไม่ได้บอกว่าใครถูกต้องหรือใครผิด สุดท้ายแล้วในตลาดทุน ไม่ว่าวิธีไหนก็ถือเป็นระบบการเทรด ขอให้สร้างกำไรและความมั่งคั่งเป็นดีครับ

แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 54 14:50:36

แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 14:08:06

จากคุณ : นักสืบจิ๋ว
เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 12:36:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com