แก้ว 3 ประการของการลงทุน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
|
|
แวะมาแปะก่อนนอน... Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=46767 Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"
------------------------------------------------
โลกในมุมมองของ Value Investor 27 กุมภาพันธ์ 54 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การ ปฏิวัติของมวลชน ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นระลอกต่อเนื่องกันในตะวันออกกลางและอาฟริกาเหนือนั้น เป็นเรื่องใหม่ที่คนทั่วโลกต่างก็งวยงง นักวิเคราะห์จำนวนมากคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายประชาชนผู้ประท้วงทำการได้สำเร็จอยู่ที่การสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุคที่ทำให้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยที่ฝ่ายรัฐผู้ครองอำนาจไม่สามารถขัดขวางได้ ผมเองยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือปัจจัยสุดยอดจริง ๆ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาชนที่ประสบความสำเร็จในอดีต อย่างในรัสเซียหรือจีน ก็จะพบว่ามีปัจจัยหรือองค์ประกอบที่สำคัญสุดยอด 3 ประการอย่างที่เลนินหรือเหมาเจ๋อต๋งเรียกว่า แก้ว 3 ประการ ที่ถ้ามีแล้ว ความสำเร็จก็จะอยู่แค่เอื้อมนั่นคือ แก้วประการที่หนึ่ง มวลชน แก้วที่สอง พรรคการเมืองของมวลชน และแก้วที่สาม กองกำลังติดอาวุธ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง โอกาสประสบความสำเร็จก็ยาก
ในการลงทุนเองนั้น ผมคิดว่าความสำเร็จที่ใหญ่หลวง หรือการที่จะเป็น ผู้ชนะ ถ้าวัดจากการที่จะกลายเป็นนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่เป็นร้อย พัน หรือแม้แต่หมื่นล้านบาทนั้น อยู่ที่การมี แก้ว 3 ประการของการลงทุน มากน้อยแค่ไหน
แก้วที่หนึ่งก็คือ เม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นและที่จะเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ [/b] นอกเหนือจากการลงทุน แก้วประการที่สองก็คือ ความสามารถในการสร้างผลผลตอบแทนการลงทุนแบบทบต้นของนักลงทุน และแก้วประการที่สามก็คือ ระยะเวลาในการลงทุนที่ต่อเนื่องยาวนาน ถ้าใครมีแก้วทั้ง 3 ประการดังกล่าวและใช้มันอย่างเต็มที่แล้ว โอกาสที่จะ ชนะ หรือประสบความสำเร็จในการลงทุนเหนือกว่าคนอื่นก็มีสูง
ลองมาดู แก้ว ทีละลูก สมมุติว่าคน ๆ หนึ่ง มีเงินค่อนข้างมากจากการทำธุรกิจ เขาตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเนื่องจากมองว่าธุรกิจที่ทำอยู่กำลังตกต่ำลงและเขาอาจจะต้องเลิกธุรกิจในไม่ช้า แต่เขามีเงินสดที่เก็บสะสมไว้สามารถนำมาลงทุนได้ถึง 100 ล้านบาท นี่คือเขามีแก้วลูกแรก โชคไม่ดี เขาไม่มีความรู้ในการลงทุนเพียงพอ ดังนั้น สิ่งที่เขาหวังได้จากการลงทุนก็คือ การซื้อกองทุนรวมหุ้นซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวได้แค่ประมาณ 8% ต่อปีแบบทบต้น นั่นคือ เขาไม่มีแก้วลูกที่สอง เช่นเดียวกัน เขาอายุ 50 ปีแล้ว ถ้าคิดว่าเขาจะลงทุนจนกระทั่งอายุแค่ 60 ปีก็จะเลิกเพื่อเกษียณและถอนเงินไปใช้ ดังนั้น ระยะเวลาการลงทุนของเขาก็มีเพียง 10 ปี ดังนั้น แก้วลูกที่สามเขาก็ไม่มี ผลก็คือ ในวันแรกที่เขาเริ่มลงทุน เขาก็อาจจะเป็นนักลงทุน รายใหญ่ ทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีที่เขาเลิก พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็น 215 ล้าน แต่ในวันนั้นและที่อาจจะบันทึกในความทรงจำต่อไปในอนาคต เขาก็อาจจะเป็นแค่คนที่มีเงินพอสมควรเท่านั้นในแวดวงนักลงทุนที่มุ่งมั่นทั้งหลาย
สมมุติว่าแทนที่จะลงทุนในกองทุนรวม เขาได้ศึกษาและมีความรู้ในการลงทุนเป็นเยี่ยมและมีเทคนิคที่ดีมากในการลงทุน เรียกว่าเป็น เซียน ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หุ้นบูมมาก ดังนั้น เขาสามารถลงทุนจนได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึงปีละ 40% โดยเฉลี่ยในระยะเวลา 10 ปี ผลก็คือ เงิน 100 ล้านบาทกลายเป็น 2,892 ล้านบาท พอร์ตการลงทุนระดับนี้น่าจะทำให้เขาถือเป็นระดับนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นที่กล่าวขวัญและจดจำกันในแวดวงนักลงทุนกันพอสมควรทีเดียว อย่างไรก็ตาม เงินในระดับนี้ ถ้าพูดในวันนี้ก็คงต้องบอกว่ามากทีเดียว แต่ถ้าไปพูดกันในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือในอนาคตที่ยาวไกลออกไปก็ยังไม่น่าจะถือเป็น ตำนาน ที่คนรุ่นหลังจะต้องจดจำหรือบันทึกไว้ เพราะในอนาคตก็จะมีนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ และมากกว่า 3,000 ล้านบาท และนั่นก็น่าจะเป็นคนที่มี แก้วทั้ง 3 ประการของการลงทุน
สมมุติต่อไปว่าแทนที่เขาจะมีอายุ 50 ปี เขากลับเป็นลูกของเจ้าของธุรกิจที่ได้เริ่มศึกษาการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เขาเคยลงทุนด้วยเงินเพียง 1-2 ล้านที่ขอมาจากพ่อและประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงมาก หลังจากนั้น ทางบ้านก็มั่นใจและในที่สุดให้เงินเขามาลงทุนถึง 100 ล้านบาทเมื่อเขาอายุเพียง 25 ปี ความสามารถของเขานั้น เพียงพอที่จะทำให้เขาสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวได้สุดยอดขนาด น้อง ๆ บัฟเฟตต์ ที่ 20% ต่อปี และเขามีเวลาลงทุนยาวมากถึง 35 ปี ติดต่อกัน ผลก็คือ ในวันที่เขาอายุ 60 ปี พอร์ตของเขาจะโตขึ้นเป็น 59,066 ล้านบาท เขากลายเป็น ตำนานนักลงทุนไทย คนหนึ่งที่มีพอร์ต มหึมา ที่ทุกคนรู้จักและสื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงเช่นเดียวกับนักลงทุนอีกหลายคนที่อาจจะมี แก้ว 3 ประการ เช่นเดียวกัน
แก้วแต่ละลูกนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไข่วคว้าได้ด้วยตนเอง เงินเริ่มต้นนั้น ถ้าไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวย โอกาสที่จะมีแก้วลูกนี้ก็ยาก จริงอยู่คนบางคนอาจจะหาเงินได้มากจากการทำงานหรือทำธุรกิจอื่น แต่เขาก็มักจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าจะได้เงินเดือนสูงมาก ๆ หรือธุรกิจจะมีเงินสดมาให้ลงทุนได้มาก ดังนั้น แก้วลูกนี้ส่วนใหญ่แล้วก็มาจาก โชค ที่ เกิดมารวย แก้วลูกที่สองคือฝีมือในการลงทุนนั้น เป็นแก้วที่สามารถสร้างขึ้นได้หรือคว้ามาได้ด้วยการศึกษาพยายามและการมีทัศนะคติในการลงทุนที่ถูกต้อง ผมเองรู้สึกว่าคนจำนวนมากมีศักยภาพที่จะเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถสูงได้ ปัญหาก็คือเรื่องของอารมณ์และจิตใจที่จะต้องมุ่งมั่นและมีศรัทธาต่อการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วซึ่งเป็นเรื่องยากเมื่อต้องอยู่กับภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นที่มักทำให้ความคิดไข้วเขวไป
สุดท้ายก็คือ ระยะเวลาในการลงทุนที่เป็น แก้วลูกที่สาม นี่คือแก้วที่เราอาจจะทำอะไรกับมันไม่ได้มากนัก ถ้าเราอายุ 50 ปีแล้ว โอกาสที่เราจะมีแก้วลูกนี้ก็น้อยมาก จริงอยู่ ในอนาคตคนอาจจะมีสุขภาพดีและอายุยาวขึ้นเป็น 100 ปี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คนอื่นที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี ก็จะมีระยะเวลาลงทุนยาวกว่าคุณ 25 ปีอยู่ดี อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพให้ดีก็อาจจะช่วยให้ระยะเวลาการลงทุนยาวขึ้นและเพิ่มคุณค่าแก้วลูกนี้ได้ แต่ประเด็นสำคัญจริง ๆ ในเรื่องของแก้วลูกนี้ก็คือ คนจำนวนมากที่มีแก้วลูกนี้อยู่ นั่นคือ เขามีอายุน้อยและถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่เริ่มมีรายได้หรือมีเงินเลย เขาก็มีแก้วลูกที่สามโดยอัตโนมัติ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เขามักคิดว่า การลงทุนเป็นเรื่องของคนที่มีครอบครัวและต้องสร้างฐานะ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้คิดลงทุนจนกระทั่งแก้วที่มีค่า หลุดลอย ไป ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ แก้ว 3 ประการของการลงทุนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะไข่วคว้ามาได้หมด มีบางลูกคว้าได้ บางลูกต้องอาศัยดวง ความ สว่าง ของลูกแก้วเองก็ไม่เท่ากัน คนที่เริ่มต้นด้วยเงิน 100 ล้านบาทต้องถือว่ามีลูกแก้วแล้ว แต่บางคนอาจจะเริ่มด้วยเงิน 500 ล้านบาทซึ่งเป็นแก้วที่ สว่างจ้า กว่า 100 ล้านบาท ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวที่ทำได้ถึง 15% ต่อปีผมก็ถือว่ามีแก้วแล้ว แต่คนที่ทำได้ 20% ต่อปีก็มีแก้วที่สว่างกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของเราในฐานะของนักลงทุน ถ้ามีลูกแก้ว เราต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์เต็มที่ ถ้าไม่มีเราก็ต้องพยายามเพิ่มคุณภาพของแก้วลูกนั้นถ้าทำได้ และเมื่อทำเต็มกำลังแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ ปล่อยวาง อย่าไปคิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายว่า เราจะรวยเท่าไรหรือจะทำได้จริงไหม การลงทุนเป็นเรื่องระยะยาวและเป็นเรื่องของชีวิต เป้าหมายจริง ๆ ของเราก็คือ มีความสุขในทุกเวลาที่เดินไป
จากคุณ |
:
มิ่งกลิ้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ก.พ. 54 01:08:24
|
|
|
|