|
ผมก็ไม่อาจจะเทียบได้เพราะมูลค่าเงินสมัยนั้นกับสมัยนี้เทียบกันแล้วห่างกันลิบลับ เงินเฟ้อแบบไม่ลืมหูลืมตาจริงๆ แต่ถ้าลองเทียบกับในประวัติศาสตร์ดูแล้ว เอาจากเรื่องราวบันทึกในวังก็อาจจะพอเทียบๆกันได้
"สมเด็จพระศรีพัชรินทรา (พระพันปี) ทรงพอพระทัยที่จะใช้เงินเหลือเหล่านี้ทำบุญแจกจ่ายให้แก่คนที่มีวาสนาน้อยกว่าพระองค์ เมื่อหมอสมิธจำเป็นจะต้องสร้างบ้าน พระนางก็ประทานเงินให้สามหมื่นบาท"
บ้านที่หมอสมิธสร้างด้วยเงินจำนวนนั้นก็คงจะหลังไม่ใหญ่โตแบบคฤหาส แต่ก็ไม่ได้เล็กจนไม่สมเกียรติของแพทย์ส่วนพระองค์ ในสมัยก่อนการสร้างบ้างจะสร้างเป็นไม้ โดยปกติแล้วก็สองชั้น มีบริเวณที่กว้างขวาง และมีการตกแต่งให้พอสวยงามตามฐานะ
แต่อย่างไรก็ตามมันก็เปรียบกับสมัยนี้ไม่ได้อยู่ดีที่การสร้างบ้านมีทั้งราคาที่ดิน ทั้งวัสดุอุปกรณ์อาคาร การก่อสร้างอะไรทั้งหลายเยอะแยะ ถ้าให้ผมเทียบกับจำนวนเงิน สามหมื่นบาท ที่พระพันปีทรงพระราชทานให้หมอสมิธไปสร้างบ้านก็น่าจะได้บ้านราคาราวๆ 5-7 ล้านบาทในปัจจุบัน (สำหรับบ้านที่สร้างในชานเมือง พื้นที่ไม่เกินร้อยตารางวา)
แต่ถ้าพูดถึงมูลค่าที่อาจเพิ่มได้ในช่วงนั้น เช่นพวกข้าหลวง หรือขุนนาง หรือคนสนิทส่วนพระองค์ของเจ้านายชั้นสูงในวังโดยมาก ก็มักจะ ปลูกบ้านอยู่ไม่ห่างจากพระบรมหาราชวัง หรือเขตพระราชฐานมาก เพื่อความสะดวกในการเดินทาง และโดยมากในสมัยนั้นการสร้างบ้าน จะปลูกติดกับน้ำเช่นแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าสมมติว่าบ้านหลังนั้นของหมอสมิธมีขนาดใหญ่ประมาณ 1-2 ไร่ และอยู่ในบริเวณใกล้ๆกับ โรงพยาบาลสามเสนในปัจจุบัน (สมมตินะ ย้ำว่าสมมติ) มูลค่าเพิ่มของที่ดินแถวนั้นไม่นับรวมสิ่งปลูกสร้างน่าจะราวสิบล้านกว่า
แต่ทั้งนี้มันก็ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ สมัยก่อนที่ดินยังไม่ได้มีการแบ่งขายกันตามใจชอบ เพราะที่ดินถือเป็นสมบัติของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมด แต่ในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไป และอะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก การที่จะเทียบกับมูลค่าในสมัยก่อนจึงเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป
30,000 บาท สร้างบ้านหมอสมิธได้มีขนาดใหญ่พอสมฐานะ 1,000 ก็น่าจะเพียงพอในการสร้างเรือนแบบปกติสำหรับสามัญชนได้
เรื่องราวฉบับเต็มเผื่อใครอยากอ่านครับ :
หมอมัลโคลม์ สมิธ เป็นแพทย์ฝรั่งในสมัย ร.5 ที่คนไทยนับถือความสามารถกันมาก ในกรุงสยามโบราณนั้นเวลาเจ้านายเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะหาหมอแผนไทยก่อน เพราะการตรวจรักษาของหมอไทยนั้นไม่ยุ่งยากพูดกันคำสองคำแล้วก็ปรุงยาสมุนไพรรับประทาน บางหาย บางครั้งก็ตายแล้วแต่บุญแต่กรรมที่คนไข้ได้ประกอบไว้ส่วนหมอฝรั่ง นั้นคนไทยชั้นสูงโดยเฉพาะกุลสตรีผู้ดีทั้งหลาย พยายามหลีกเลี่ยง เพราะหมอฝรั่งเป็นผู้ชาย ถามอาการเฉยๆไม่ได้ ต้องตรวจต้องคลำตรงนั้นจับต้องตรงนี้ ทำให้ท่านเขินอาย อยู่บ่อยครั้งแต่ถ้ารักษาแบบแผนไทยแล้วไม่หายก็ต้องยอมเอาหมอฝรั่งมาดู ความจริงในสมัยนั้นยารักษาตามแบบแผนเมืองนอกก็อาจจะไม่ดรวิเศษไปกว่ายาไทยเท่าไรเพราะยาปฏิชีวนะทั้งหลายยังไม่มีหมอฝรั่งนิยมใช้ยาฝิ่นรักษาความเจ็บปวดใช้ยาถ่ายล้างลำไส้ และรู้จักยากระตุ้นหัวใจอยู่บ้างก็นิยมให้ยาเหล่านี้ พอทำให้คนไข้สบายขึ้น หมอสมิธเขียนบันทึกไว้ในหนังสือ A Physician at the Court of Siam ว่า สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีนั้น ทรงได้เงินจากพระเจ้าแผ่นดินปี ละ 800,000 900,000 บาท ซึ่งในสมัย ร.5 ถือว่าเป็นเงินมหาศาลมาก แต่พระองค์ทรงใช้จ่ายน้อยเพราะเสวยพระกระยาหารเพียงวันละ 1 มื้อ และมิได้มีข้าราชบริพารมากมายพระองค์มีค่าใช้จ่ายเพียง 40,000 บาทต่อเดือน หมอสมิธมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นานก็อยากจะสร้างบ้านอยู่สบายๆสักหลังหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีเงินก็ยังสร้างกับเขาไม่ได้ เพราะบ้านที่สมเกียรติก็ราคาไม่น้อยกว่า 30,000 บาท
วันหนึ่งเมื่อเข้าเฝ้าตรวจพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีในที่ประทับ พระองค์ตรัสถามว่าหมอจะปลูกบ้านต้องใช้เงินเท่าไร หมอสมิธกราบทูลว่า ประมาณ สามพันปอนด์ แต่เวลานี้ยังไม่มี จึงต้องสำรวมจิตใจรอไปก่อน พระองค์ตรัสว่าฉันจะให้ยืม แล้วสามวันต่อมาก็ทรงให้ยืมจริงๆ หมอสมิธเล่าเขาได้รับเป็นใบแบงก์หลายมัดหลายห่อ ดีใจจับจัดใส่จนเต็มกระเป๋า พระองค์ทรงตรัสต่อเขาว่า สะดวกเมื่อไรจึงค่อยมาใช้คืน แต่เมื่อผ่านไปเดือนเดียว ก็ทรงตรัสแก่หมอสมิธว่า เงินที่ให้นั้นนายหมอไม่ต้องคืนหรอกเพราะเงินไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์ และเมื่อปลูกบ้านเสร็จก็ทรงพระราชทานจานชามแก้วน้ำมีดและช้อนส้อมเข้าชุดอย่างดีให้ด้วย
หมอสมิธก็คิดหนักว่าทำอย่างไรจึงจะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณได้ ถ้าเป็นธรรมเนียมฝรั่งก็ต้องทูลเชิญมาเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเขา แต่เมืองไทยทำไม่ได้ผิดประเพณีแน่นอน เขาจึงคิดลองทำอาหารฝรั่งเข้าไปถวายคงจะดี อาจโปรดอาหารตะวันตกรสแปลกๆบ้าง จึงปรึกษากับคุณปั้ม นางสนองพระโอษฐ์ ตกลงกันว่า กับข้าวที่นำมาจะเป็นแบบอังกฤษแท้คืนนั้นหมอสมิธเล่าว่า พระองค์อยู่ในอารมณ์แจ่มใส ทรงสนทนาด้วยหลายเรื่อง หมอสมิธจึงถือโอกาสกราบทูลถามว่าพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระโอาสและพระธิดา มเหสีและเจ้าจอมทั้งหมดเท่าไร พระองค์ทรงตอบว่า จะมีมเหสีและเจ้าจอมเท่าไรนั้นไม่ทรงทราบและคิดว่าแม้แต่พระเจ้าแผ่นดินเองก็ทรงทราบดีแต่ทรงทราบว่าขณะนี้นั้น มีพระโอรสธิดานับได้ 78 พระองค์ด้วยกัน ไม่นับที่แท้งก่อนกำหนด การเสวยพระกระยาหารฝรั่งอยู่นั้นใช้เวลา สามชั่วโมง ทรงพอพระทัยกับอาหารแบบอังกฤษนี้มาก ทรงตรัสชมและขอบใจ ที่หมอสมิธดูแลพระองค์เป็นอย่างดี
จากคุณ |
:
venezier
|
เขียนเมื่อ |
:
10 มี.ค. 54 13:57:58
|
|
|
|
|