ความคิดเห็นที่ 1 สวัสดีครับ ผมเคยค้าขายเล็ก ๆ เหมือนกัน ก่อนที่จะมาหัดเปิดร้านซื้อขายหุ้น เคยใช้ส่วนหน้าบ้านขายของ บางวันขายได้ 30 บาท ยังไม่หักทุน มองว่าการทำการค้าต่าง ๆ ทั้งเล็กและใหญ่ เป็นการบริหารธุรกิจที่เค้าร่ำเรียนกัน ดี ๆ นี่เอง ผู้ที่ทำ ได้พัฒนาตัวเองหลาย ๆ ด้าน (เพราะมีคนเดียว) มนุษยสัมพันธ์ การเงิน การบัญชี งานฝีมือ ซ่อมแซม การจัดหน้าร้าน การหาสินค้าเข้าร้าน ฯลฯ ผมไม่มีความรู้พอจะให้คำแนะนำต่อคำถามของคุณได้ เพียงแต่อยากเข้ามาบอกว่า การที่คุณสามารถใช้อินเตอร์เน็ต เข้าเว็บได้ เท่ากับคุณมีแหล่งความรู้มหาศาลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ให้ค้นหา เช่น อาจค้นหาผ่าน google อย่างเดียว ก็อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว เมื่อก่อนผมเคยเข้าไปเว็บของหนังสือเส้นทางเศรษฐี ของมติชน บ่อย ๆ บางครั้งอาจเจอประเด็นที่เราสนใจ หรือถึงแม้เป็นธุรกิจที่ต่างกันออกไป ก็ยังได้ความรู้ต่าง ๆ ในการบริหารงานจากเค้า ตัวคอลัมน์ ก่อนปิดร้าน ในแต่ละฉบัน ก็เป็นประโยชน์มากครับ ลองใช้ google ให้ได้ความรู้เยอะ ๆ นะครับ ตัวอย่าง หน้าเว็บของหนังสือเส้นทางเศรษฐี http://info.matichon.co.th/rich/ ............................ ส่วนประเด็นคำถาม ถ้าเป็นผมเอง คงดูว่า การที่คุณขายได้วันละพันกว่าบาท แสดงว่ามีลูกค้าสม่ำเสมอจำนวนนึง สินค้าที่เอามาขาย ก็ตรงกับความต้องการของลูกค้า การที่จะทำให้มีรายได้ + กำไร มากขึ้น อย่างน้อยมี 2 ประเด็นคือ 1. ขยายสินค้าที่ขายให้มากขึ้น 2. ควบคุมต้นทุน คือจัดหาสินค้าที่เคยขายได้ มาในต้นทุนที่ต่ำลง (คุณภาพไม่ลด แต่อาจจะดีกว่าเดิม) หรือควบคุมค่าใช้จ่าย ต้นทุนอื่น ๆ ในร้าน นอกจากนี้คุณอาจมองว่า ธุรกิจที่คุณทำอยู่ มีโอกาสโตไหม คืออย่างน้อยโตขึ้นพอที่จะสร้างรายได้ประจำในส่วนของกำไร ในจำนวนที่คุณพอใจ (เหมือนเป็นเงินเดือน) ถ้าหากโอกาสโตมีน้อย หรือรายได้ไม่พอ คุณก็อาจต้องขยับขยาย หาธุรกิจใหม่ ที่มีรายได้มากขึ้น และมีความสุขในการทำงาน ส่วนการที่คุณอยู่ร้านคนเดียว ถ้ายังไม่มีคนช่วย หรือหาลูกจ้าง คนที่ไว้ใจได้ ได้ยาก ตัวผมเอง เมื่อก่อน เวลาจำเป็นต้องหยุด ก็หยุดไปครับ เพียงแต่เขียนป้ายบอกไว้หน้าร้าน ให้ลูกค้าทราบ ว่าเราหยุดกี่วัน วันไหนจะมาเปิดร้านต่อ ................................................. ขอให้มีกำลังใจในการทำงาน ศึกษาหาความรู้ และขอให้ประสบความสำเร็จตามที่หวังนะครับ จากคุณ : ดอกไม้ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 10:20:07 A:118.173.83.217 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าเป็นการเริ่มต้น ของการทำธุรกิจอิสระที่ดีมากครับ..... ที่ว่าดี ไม่ใช่ว่าการเปิดร้านเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดนะครับ...ดีหมายความในแง่การเริ่มต้น.. ทีนี้ลอง จับ MM + ระบบบัญชี มาใส่ในธุรกิจดูซิครับ  แล้วเราจะเห็นอะไรดีๆ เยอะเลยครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ.... บัญชี..อาจจะประกอบด้วย... ต้นทุนซื้อ-ขาย   กำไรสุทธิ  ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน...  และ รายการอื่นๆ ที่คุณอยากรู้ ลงใน Excel ... แล้วคำนวนออกมา เป็นร้อยละ ต่อ ปี แล้วนำมาเปรียบเที่ยบกับ ดอกเบี้ยเงินฝาก  หรือตราสารหนี้  เทียบ อัตราเงินเฟ้อ... ถ้าได้น้อยกว่า อาจจะต้องทบทวนแนวโน้ม ธุรกิจอีกทีครับ....ว่าทำต่อ หรือ หาธุรกิจใหม่ ส่วน  MM  เป็นการจัดสรรเงินทุนทั้งหมดครับ ว่าลงเพิ่มอะไรส่วนใหน ตามสัดส่วนที่เหมาะ สม  รวมไปถึงเงินเก็บ  เงินฉุกเฉิน เงินสำรองจ่าย ในกรณีฉุกเฉิน.... เมื่อนำ สองส่วนนี้มารวมกัน ก็อาจจะ นำไปสู่ทักษะอื่นๆ ในการทำงานธุรกินส่วนตัวอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่สามารถหาอ่านได้ จากหนังสือทั่วๆ ไปครับ.... ผมก็เริ่มต้น จากง่ายๆ อย่างนี้เหมือนกันครับ   โดนขังตัวกับงานมาร่วม 10 ปี กว่าจะหาวิธี การ ออกมานั่งมองห่างๆ ได้ ให้ธุรกินเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ไม่เติบโตตามที่ควร แต่การได้ ในอัตรา ที่ใกล้เคียงกันทุก ๆ ปี ก็พอใจแล้วครับ กับความเป็นอิสระของชีวิต... จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 13:43:46

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนนี้ไม่มีเงินก้อนมาเป็นทุนในการซื้อของเป็นรายเดือนแล้ว  เพราะเมื่อปีที่แล้ว ช่วง 3 เดือนหลัง ยอดขายไม่ถึง 30000  บาท  ประมาณ  28000 กว่าบาท  หักไปฝากไว้เดือนละ 3000 บาท ในทุกๆ เดือน เพิ่งเริ่มทำเมื่อเดือน พฤษภาคมปีที่แล้ว  เพื่อเก็บไว้เป็นเงินสำรองจ่ายเรื่องต่างๆ  และเบิกมาใช้ส่วนตัวอีกเดือนละ  3 พันบาทของทุเดือน  และรายได้แต่ละวันไม่เท่ากันทุกวัน บางวันได้ 8 ร้อย บางวันเกือบ 2 พัน  แต่เฉลี่ยตามวันขายได้ไม่เกิน 1200 บาท  และมีเพียงเดือนเดียวที่ขายได้สูงถึง 36000 บาท ไม่ถึง 30000 บาทอยู่ 6 เดือน และต้องหักออกมาใช้ทุกเดือนๆ ละ 6พัน และได้ดึงเงินส่วนที่เหลือมาซื้อของในร้านตามส่วนที่ขาดจนซื้อให้ถึงสิ้นเดือน  และหลังจากนั้นในเดือนเมษาได้นำเงินมาซื้อของเพิ่ม ในกลุ่มสินค้าที่ยังไม่มี ในจำนวนเงิน  20000 บาท เปิดร้านมาได้จะเข้าปีที่ 7 แล้ว  แต่ 2 แรกป่วย หยุดบ้างขายบ้าง  และกว่าจะมีคอม และใช้อินเตอเน็ตเป็นก็เป็นปีกว่า จากปลายปี 50 ค่ะ              มีคนให้เงินมาลงทุน  หนึ่งแสนบาท  ก็ทำการจดสรรในส่วนต่างๆ เช่น 30000 แรก เป็นค่าซื้อของมาขายในร้าน  หรือค่าใช้จ่ายในร้านทั้งหมด ในเดือนมีนาคมเป็นเดือนแรก อีก6000 บาท  เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเป็นครั้งแรก และได้ทำบัญชีเก็บไว้เป็นหลักฐานที่มาที่ไปของเงิน แต่อาจจะไม่ถูกต้อง เพราะเพิ่งเริ่มทำพร้อมเงินที่ได้มาค่ะ จากคุณ : jnlek (jnlek) เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 15:21:00

ความคิดเห็นที่ 4 การทำการค้าแบบซื้อมาขายไป ควรทำบัญชี แยกต้นทุนกำไรให้ชัดเจน ง่ายๆก็จดลงสมุด จดทุนรายการซื้อ และจดรายการขายทุกวัน และคิดทุนออกมาทุกๆวัน พอครบเดือนก็รวบรวมดู ทุนเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ และค่อยมาดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป เช่น :กำไรออกมาแล้วต่อเดือนเท่าไหร่ คุ้มค่าใช้จ่ายหรือไม่ ถ้าไม่คุ้ม แสดงว่า ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนที่เราจ่ายออกมาส่วนนึงเป็นทุน ทำให้ ทุนหมุนเวียนในสินค้าน้อยลงเรื่อยๆ แล้วคุ้มที่จะทำต่อหรือไม่ หรือต้องปรับปรุงอะไรต่อไป ถ้ากำไรคุ้มค่าใช้จ่าย ก็ให้แยกกันให้ชัดเจน กำไรที่เหลือจากการใช้จ่ายก็แยกเก็บต่างหาก : ทุนที่ได้จากการขายค่อยเอามาหมุนซื้อสินค้ากลับเข้าไมาขาย ถ้าไม่ลงทุนเพิ่มก็ให้หมุนเพียงเท่านี้ ทำดูสัก 2-3เดือนก็น่าจะรู้ครับ ลองดูครับ จากคุณ : boysakon เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 17:09:50

ความคิดเห็นที่ 5 กำไรคุ้มค่าใช้จ่ายหรือไม่  คำว่าค่าใช้จ่ายคือส่วนไหนคะ เพราะกำไรต่อชิ้นมีตั้งแต่ราคา.25 สตางค์  จนถึง 5 บาท กำไรต่อวันเฉลี่ยที่วันละไม่เกิน   230 บาท ส่วนใหญ่จะได้กำไรที่ราคา  1,.25,2,3  บาทมากที่สุด และตามลำดับค่ะ จากคุณ : jnlek เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 19:40:45

ความคิดเห็นที่ 6 โดยส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับความเห็นที่ 4 ของคุณ boysakon แม้ว่าในทางปฏิบัติบางครั้ง อาจรู้สึกว่ายุ่งยาก จุกจิก กินเวลา แต่ตัวเลขบัญชีเหล่านี้ จะบอกถึงสภาพของกิจการจริง ๆ บอกให้รู้ว่า เราควรจะขายหรือเพิ่มสินค้าตัวไหน หรือประเภทไหนที่ ขายดี กำไรดี ควรจะลดตัวไหนที่ขายได้น้อย และกำไรน้อย บอกถึงค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงบอกว่า เรายังควรจะทำกิจการต่อไปไหม คุ้มหรือเปล่า ..................................... ในคำถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย เวลาซื้อสินค้ามาขาย นอกจากเราจะมีต้นทุนของสินค้า แล้วยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในร้าน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าอาหาร ฯ ......................................... ยอดขายสินค้าของเรา หัก ด้วยต้นทุนของสินค้าที่ขายไปนั้น จะเหลือเป็น กำไรขั้นต้น ........................................ กำไรขั้นต้น หักด้วยค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ - ค่ารถไปซื้อสินค้า (ค่าขนส่ง) - ค่าน้ำประปา - ค่าไฟฟ้า - ค่าอาหารของเราเอง - ค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่าง ๆ ที่เหลือจะเป็นกำไรสุทธิ ............................................. กำไรสุทธิ เป็นเงินที่เราสามารถจะเก็บออมไว้ หรือเอาไว้ใช้ลงทุนขยายกิจการต่อ ......................................... สมมติคุณขายสินค้าได้เดือนละ 30000 หักต้นทุนของสินค้าที่ขาย สมมติว่า 20000 คุณมีกำไรขั้นต้น 10000 แล้วนำมาหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สมมติต่าน้ำ ไฟ ค่าอาหาร เดือนละ 9000 เท่ากับว่าในแต่ละเดือนคุณมีเงินเหลือ 1000 บาท ................................. ถ้าตัวเลขออกมาแบบนี้ แม้ว่า 1000 บาทจะไม่มาก แต่เท่ากับว่าคุณไม่ต้องกินทุนของตัวเอง มีเงินเหลือเก็บทุกเดือน แต่ถ้าเฉลี่ยแต่ละเดือน กำไรขั้นต้น ไม่พอค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เท่ากับว่าคุณต้องดึงเงินทุนมาใช้เป็นค่าใช้จ่าย พอนาน ๆ ไป ส่วนนี้จะกินทุนเราจนหมด .................................. ปล. 1 กำไรต่อชิ้น 5 บาท เช่นซื้อของมาต้นทุน 10 บาท ขายได้ราคาชิ้นละ 15 บาท ถือเป็นกำไรขั้นต้น (ขาย 15 - ต้นทุน 10 = กำไรขั้นต้น 5) 5 บาทนี้ต้องนำไปหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก จึงจะเหลือเป็นกำไรสุทธิ ปล. 2 ดูคุณตั้งใจถามจริง ๆ แฮะ นาน ๆ จะเจอสักครั้งนึง ..................................... พรุ่งนี้เจอกันครับ คิดว่าตั้งใจถามแบบนี้ น่าจะมีเพื่อนมาช่วยตอบอีก มีหลากหลายอาชีพในห้องนี้ล่ะครับ เป็นเจ้าของกิจการก็หลายคน จากคุณ : ดอกไม้ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 21:18:07 A:180.180.231.158 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 7  P'ดอกไม้ จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 54 23:37:57

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณสำหรับคำตอบ มากๆค่ะ บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เครียดมากๆ เลย  เพราะเงินทุนก้อนนั้น มันหมดแล้ว และตอนนี้ไม่มีเงินที่ไหนอีกแล้ว ท้อแท้  หมดหวังจริงๆ ไม่รู้จะปรึกษาใคร  อยากหาผู้รู้ ที่ให้คำแนะนำการบริหารกิจการร้านชำเล็กๆ แต่บ้านใหญ่มาก  และไม่ได้มีเงินแต่งร้านให้เป็นร้านค้าจริงๆ  เสร็จทีเดียว  เงินที่ขายได้แต่ละวันเวลานี้ ก็ใช้ปนกัน ทั้งใช้ส่วนตัวบ้าง ซื้อของขายด้วย  และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว บัญชีก็ไม่เคยทำ เพิ่งจะมาคิดทำ  และเก็บข้อมูล  ทดลองทำด้วยตัวเอง ตามความคิดของตัวเอง อาจไม่ถูกต้อง แต่ตามที่เราทำแล้วเราเข้าใจ และพอที่คนอื่นดูเข้าใจได้บ้าง  แต่ตอนนี้ไม่มีเงินทุนนั้นแล้ว ก็หยุดทำไปด้วย  และรู้สึกท้อ หมดกำลังใจที่จะทำต่อ       แต่พอมาเจอคำตอบของ พี่ดอกไม้  (หนูชื่อเจี๊ยบค่ะ) แล้วรู้สึกว่าแบบบอกไม่ถูก  อะไรจะตรงอย่างนี้ ตรงที่ว่า กินทุนจนหมดจริงๆ เพราะ ทุกเดือนจะต้องหักออกมา 9000  บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่ตายตัวทุกเดือน ซึ่งไม่ได้มาจากกำไรทั้งเดือน  อีกความรู้สึกที่แย่สุดๆ คือว่า แบ่งเป็น 3000  ไปฝากประจำเก็บไว้  เราเก็บเยอะไปรึเป่ลา ส่วนอีก 3000  เป็นค่าอาหารหมา  อีกส่วนที่เหลืออีก 3000  เป็นค่ากับข้าว ยังไม่รวมค่าหมอ ค่ายา ค่ารถไปหาหมอ ทุกเดือน  ยังไม่รวมค่ารถไปซื้อของมาขาย  สรุปไม่พอจ่ายอยู่ดี หรือเราบริหารไม่เป็น ถึงได้ออกมาแบบนี้  พอก่อนนะ เกือบ 3ชม. แล้วสำหรับการเขียนความเห็นนี้           เพราะมีคำถามมากมายในหัว ที่ไม่รู้จะไปขอคำปรึกษาจากใครดี  และต่อจากนี้หนูควรทำอย่างไรต่อไปคะ  ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ จากคุณ : jnlek เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 01:25:49

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดีตอนสายครับ คุณหมอ GF , คุณเจี๊ยบ ......................................... ขอเรียนก่อนว่า ผมเป็นคนแก่ที่ไม่ค่อยได้เรื่องคนนึงครับ พอจะช่วยออกความเห็นได้ ให้กำลังใจได้ ดุได้ แต่ไม่มีความรู้ความสามารถ ที่จะให้คำแนะนำใคร ๆ ได้อย่างจริงจังนะครับ จากคุณ : ดอกไม้ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 09:47:22 A:118.173.78.209 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 10 ฟังจากที่คุณเจี๊ยบเล่า อย่างน้อยมีค่าใช้จ่าย ค่าอาหาร - เราเอง 3000 ค่าอาหาร - น้องหมา 3000 ค่าหมอ ค่ายา สมมติว่า 2000 ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ สมมติว่า 2000 รวมค่าใช้จ่ายประจำ ที่จำเป็นรายเดือน ประมาณ 1 หมื่น (หรือแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนตัว 8000 และค่าใช้จ่ายที่อาจเนื่องมาจากร้าน 2000) นั่นคืออย่างน้อยเราต้องมีรายได้ หรือกำไรจากการขายของ (หลังหักต้นทุนแล้ว) ประมาณ 8000 - 1 หมื่น เราถึงจะอยู่ได้ ................................................................. ถ้าเป็นตัวผมเอง ผมจะเริ่มมองโดยตัดเรื่องร้านของชำไปก่อน คือสมมติว่าผมจะไม่ได้ทำร้านของชำ และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องหารายได้ ผมสามารถทำอะไรได้บ้าง ........................................... 1. สมมติว่าถ้าผมเลือกได้ และมีเงินทุนพอสมควร ในชีวิตผมอยากทำงานอะไรมาก ๆ งานอะไรที่ผมเคยทำ หรือคิดว่าทำแล้วมีความสุข และน่าจะมีรายได้พอเลี้ยงตัว เต็มใจจะตื่นไปทำงานได้ทุกวัน หรืออาทิตย์ละ 5 - 6 วัน (ข้อนี้สามารถตอบว่าร้านของชำได้) 2. ถ้าจำเป็นจริง ๆ ผมเป็นลูกจ้างได้ไหม ไปสมัครงานกับบริษัท หรือกับคนรู้จัก หรือร้านค้า หรืองานที่ใช้แรงงานต่าง ๆ ถ้าจำเป็น ผมพอจะมีช่องทางหางานไหม อย่างน้อยเพื่อให้ได้เงินเดือน ค่าจ้าง มาเลี้ยงตัวไปก่อน ผมยังพอมีแรงกาย สุขภาพพอไหวหรือเปล่า ออกไปทำงานนอกบ้านได้ไหม 3. ถ้าผมจำเป็นต้องหาเงินทุนสักก้อน วันนี้ผมยังมีทางไหนได้บ้าง ยืมจากครอบครัว เงินกู้ที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ขายทรัพย์สินบางอย่าง ผมมีทรัพย์สินอะไรบ้าง (เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังหรอกนะครับ เพียงแต่คิดไว้ในใจ) จากคุณ : ดอกไม้ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 10:06:56 A:118.173.78.209 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 11 4. ทดลองมองหางาน หรือการค้าขายอื่น ๆ ที่คิดว่าตัวเองพอจะทำได้ ลืมเรื่องทุนไปก่อน เพียงแต่อย่าคิดถึงอาชีพที่ใช้เงินทุนเยอะจนเกินไป อาจเป็นงานที่ใช้ทุนไม่มากนัก ใช้แรงกายมากหน่อย ลองคิดดู มองรอบ ๆ ตัว ดูจากเน็ต จากหนังสือ ถ้าเราไม่ทำร้านของชำ ยังพอมีอาชีพอะไรบ้างนะที่เราคิดว่ามีความสามารถพอทำได้ เราขายอาหารได้ไหม เปิดร้านพวกที่ใช้ฝีมือ เช่น เสริมสวย ซ่อมแซม ขายดอกไม้สดบูชาพระ ขายของเกี่ยวกับผู้หญิง เครื่องสำอาง ขาย lottery ของเกี่ยวกับน้องหมา หรือมีอะไรที่เราพอขายได้อีก ทำงานขายตรง ขายประกันชีวิต เราชอบพบปะพูดคุยกับคนไหม ในละแวกบ้าน ยังขาดร้านอะไรบ้างนะ มีอาชีพอยู่มากมาย แต่มีอะไรที่เราพอจะทำได้ ตรงกับอุปนิสัยของเรา หรืออาจพอฝึกฝนตัวเองได้ ลองจดรายการอาชีพต่าง ๆ ที่เราอาจทำได้ดู 5. ประเมินเกี่ยวกับร้านของชำที่ทำอยู่ อย่างตรงไปตรงมา จากข้อมูลที่เราเคยจดไว้ เราคิดว่าด้วยสภาพของเราตอนนี้ สมมติว่าเรายังพอมีเงินทุนหมุนเวียนอยู่ โดยประมาณแล้วเราจะมีกำไรหลังหักต้นทุนสินค้าประมาณเดือนละเท่าไหร่ อาจจะ 1 พัน 2 พัน หรือ 5 พัน ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ขอให้ได้ตัวเลขกำไรขั้นต้น ที่น่าจะพอทำได้โดยเฉลี่ยแน่นอน เพราะถ้าสมมติเราพอมีกำไรจากร้านของชำสักเดือนละ 3 พัน แสดงว่า เราอาจจะยังคงทำร้านต่อไปก็ได้ โดยหารายได้เสริมจากทางอื่น และค่อย ๆ ขยายหรือปรับปรุงร้านของชำเมื่อมีโอกาส 6. ข้อนี้น่าสนใจ ถ้าหากเรามีบ้านเป็นของตนเอง เราสามารถแบ่งร้านให้คนอื่นเช่าได้ไหม มีใครเคยมาถามขอเช่าหน้าร้านบ้าง หรือจัดที่ให้เขาเช่าหน้าบ้านไปเลย เราอยู่ข้างหลัง รับค่าเช่ารายเดือน เราทำใจกับการให้เช่าได้ไหม หรือเราแบ่งห้องเล็ก ๆ ให้คนเช่า ให้ลูกค้าผู้หญิงโสด หรือทำเป็นหอพัก ถ้าจำเป็น บ้านของเราพอจะทำได้ไหม ถ้าเราสนใจหรือพอจะทำข้อนี้ได้ เท่ากับว่า เราอาจมีปัญหาใหม่ เกี่ยวกับการให้เช่า ค่าภาษีโรงเรือน ภาษีอื่น ๆ ปัญหาคนเช่า การค้างค่าเช่า แต่เราก็ตัดปัญหาเก่าไปหลายเรื่อง ไม่ต้องทำการค้าขายเอง ไม่ต้องไปซื้อของมาขาย ไม่ต้องเฝ้าร้าน ............................ ข้อต่าง ๆ เหล่านี้ ผมอยากให้ลองใช้เวลาคิดดู ลองตอบคำถามตัวเอง ตรงไปตรงมา ให้คิดว่าเมื่อเวลาจำเป็น เราสามารถทำอะไรได้บ้าง อาชีพบางอย่าง ถ้ามีปัญหาติดขัดบ้าง ก็อย่าเพิ่งละทิ้ง เก็บไว้เป็นตัวเลือกก่อน เพราะเราอาจค่อยจะหาวิธีแก้ข้อติดขัดเหล่านั้นได้ ที่สำคัญ ต้องไม่คิดท้อถอย อย่าหมดกำลังใจ ต้องไม่คิดเรื่องทำสิ่งผิดกฎหมาย เพราะเงินที่หามาได้ง่าย ๆ เร็ว ๆ อาจทำให้ชีวิตเราต้องมีปัญหาไปอีกหลายสิบปี ถ้าวันไหนแย่มาก ๆ ให้มองดูคนที่ลำบากกว่าเรา คนที่พิการ คนสูงอายุที่ยังต้องทำงาน เค้ายังเลี้ยงตัวเองได้ เราก็ต้องทำได้ ลองค่อย ๆ คิดดูนะครับ จากคุณ : ดอกไม้ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 10:31:01 A:118.173.78.209 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 12 http://training01.makewebeasy.com/content-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2-4-3713-83600-1.html ............................... จากคุณ : ดอกไม้ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:06:14 A:118.173.78.209 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 13  เป็นกำลังใจให้คุณเจี๊ยบนะคะ  และขอบคุณพี่ดอกไม้ สำหรับคำตอบที่เอื้ออาทร ต่อคุณเจี๊ยบ ผัดหมี่ไม่มีคำแนะนำเกี่ยวกับการค้าๆๆขายๆๆนะคะ เพราะขายอะไรไม่เป็นเหมือนกัน แต่จาก ความเห็นที่ 8 ของคุณเจี๊ยบ บอกว่า อยากหาผู้รู้ ที่ให้คำแนะนำการบริหารกิจการร้านชำเล็กๆ แต่บ้านใหญ่มาก     เงินที่ขายได้แต่ละวันเวลานี้ ก็ใช้ปนกัน ทั้งใช้ส่วนตัวบ้าง ซื้อของขายด้วย จึงทำให้ทราบว่า น่าจะมีหนทางมากกว่าการขายของชำ ที่เราต้องสู้กะร้านใหญ่ เล็ก บ้านใกล้เรือนเคียง  หากทุนสู้เค้าไม่ได้ โอกาสชนะใจลูกค้า ด้วยราคาไม่มีแน่นอน คุณเจี๊ยบมองมาที่ตัวบ้านสิคะ ถ้าจัดสรรเป็นสัดเป็นส่วน แบ่งเป็นห้องเช่า ล่ะคะ ทำเลดีๆๆให้นักศึกษา(ญ) เช่า หรือใกล้สถานที่ราชการ ก้อให้ข้าราชการเช่า เต็มราคาที่เบิกได้ ผัดหมี่ไม่ทราบรายละเอียดของครอบครัวของคุณ จึงมองไปด้านผลประโยชน์ของรายได้ ที่ ได้จากทรัพย์สินที่เรามีอยู่ มากกว่าการค้าขายแบบคนรุ่นเก่า ที่เราไม่มีวันชนะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง โลตัส 7-11 ได้เลยค่ะ แม้การค้าขายทางnet - Ebay ก้อใช่ว่าจะยืนยงนะคะพี่ดอกไม้ ทุนหายกำไรหมดกันมาเยอะ เพราะมากมายเหลือเกิน  อ้อ  อ้อ  อีกความเห็นนะคะ....โปรแกรมการใช้จ่ายของคุณเจี๊ยบ ต้องตัดทอนลงมาบ้างนะคะ   list ให้ดีๆๆ  ความจำเป็นสูงสุด คืออะไร และไม่จำเป็น ถ้าไม่มี  เราเดือดร้อนหรือไม่ รายจ่ายที่น้อยที่สุด เป็นที่มาของรายได้ หลักการลงทุนขั้นเบสิค อะค่ะ จากคุณ : ผัดหมี่ค่ะ (ThePhenix) เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 54 07:31:27

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ เริ่มเครียดน้อยลงแล้วค่ะ  เพราะคนในครอบครัวก็ไม่อยากบอกมาก โดยเฉพาะเจ้าของเงิน คือแม่ แต่ก็บอกไปแล้ว  และแม่ก็ดุ ว่าเราอย่างแรง  บอกว่าจะไม่ช่วยอีกแล้ว  เพราะช่วยเล็กๆน้อยๆมาก็เยอะแล้ว  แม่ไม่ค่อยมีเงินเหมือนกันเพราะต้องเอากำไรที่ได้จากการขายขนมครกวันละ 150 บาทมาใช้จ่ายประจำวัน              ส่วนข้อคิดของพี่ดอกไม้  คำตอบของหนู เป็นคำตอบเดียวที่ทำได้  เพราะเคยช่วยป้าขายร้านข้าวแกงที่อยู่ติดกัน  คนเยอะพอประมาณ แล้วต้องตื่นตี 4 ช่วยทำ ช่วยขาย และเก็บจนเสร็จ  แต่สุขภาพไม่ไหว เดินทำงานทั้งวัน ได้นั่งแค่ตอนกินข้าวแค่ 15 นาที งานเยอะ กลางคืนก็นอนไม่หลับ เพราะปวดขากับหลังมาก  ทำอยู่เกือบ 2 ปี ถึงหยุด หลังๆเริ่มเบลอ เพราะไม่ได้นอนเลย ปวดมาก               ตอนนี้ก็อาศัยลูกค้าป้าเป็นหลัก ขายช่วง 7.30 - บ่าย  ก็หมดคนแล้ว นอกนั้นก็มีคนบ้าง นานมาที เพราะคนส่วนใหญ่เข้าตลาด แต่แถวนี้ก็พอมีร้านค้าใกล้ๆบ้าง เป็นร้านแบบเดียวกัน  แต่ของเค้ามีครบมากอย่างกว่าเรา  ส่วนของเรายังมีไม่ครบทุกกลุ่ม แต่ในใจก็ยังอยากจะลงของใหม่ๆ ที่ยังไม่มีและคิดว่าขายได้อีกเยอะอยู่               อาชีพนี้เป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุด  มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปซื้อของมาขาย  และเห็นลูกค้าเข้ามาซื้อของที่มาจัดเรียงไว้ หลังจากพวกพี่ๆ ได้ให้ความเห็น และกำลังใจมา ทำให้กลับมาคิดดูว่าตอนนี้เรายังมีของอะไรเหลืออยู่บ้าง เงินที่เหลือจากซื้อกับข้าววันสุดท้ายที่มีอยู่นิดเดียวจริงๆ พอจะทำอะไรได้บ้าง กับของที่ขายได้ประจำหลายอย่างหมดเกลี้ยงเลย กับเงินก้อนเล็กๆ  ส่วนการแบ่งพื้นที่ให้เช่า  พ่อกับแม่ไม่อนุญาตแน่นนอน เพราะเรายังอยู่ด้วยกันยังไม่แยกย้ายไปมีครอบครัวที่ไหน  ส่วนรายจ่ายที่บอกไปเป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ  ส่วนน้องก็ช่วยพ่อดูแลงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ                     จึงมีความคิดที่ว่าจะยกเลิกการฝากประจำ ที่ฝากมาเกือบ  10 เดือน  ในระยะการฝาก  2 ปี  เพื่อหวังไว้ใช้เป็นเสมือนเงินเดือนในอนาคต  ในยามที่กำไรไม่พอใช้ในเดือนนั้นๆ  เลยอยากทราบว่าควรจะยกเลิกดีมั้ย  หรือจะเป็นเงินกู้ในชุมชน เช่นกลุ่มออมทรัพย์  ในอัดตราร้อยละ 1 ต่อเดือน  โดยแยกเงินต้น กับดอก ออกจากกัน แต่เงินต้นใช้คืนขั้นต่ำ 500 บาทต่อเดือน วงเงินกู้ไม่เกิน  60000  บาท  ในใจมองตัวนี้อยู่ แต่เป็นภาระหนักไปอีก  จะเอาเงินฝากมาใช้ก็เสียดายมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว                      รู้สึกผิดที่ทำให้เงินหมด  คิดว่าน่าจะดีขึ้นในไม่ช้าสำหรับกำลังตัวเอง  อีกทาง ให้พี่ช่วยแนะหน่อยนะคะ  ไม่รู้จะปรึกษาใคร  เพราะท่าคุยกับคนอื่นก็จะบอกกันว่า  ของแค่นี้ก็ไม่มีเงินเหลือเก็บ  สงสัยต้องละเอียดมากกว่านี้แล้วค่ะ                       ต้องขออภัยที่ต้องเล่าเรื่องที่ไม่ควรเล่าให้ฟังนะคะ  ขอบคุณที่ทนอ่านเรื่องไร้สาระนะคะ  จะสู้ต่อค่ะ จากคุณ : jnlek เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 54 14:03:40

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นกำลังใจให้อีกคนครับ ผมมีร้านขายของชำเล็ก อยู่โคราช เอาซุ้มโค้กมาดัดแปลง อยู่โซนคนทำงานครับ กลางวันเงียบ แต่ช่วงเย็น ครึกครื้นดีครับ เป็นซอยฮาเฮ แรกๆ ขายได้ไม่ถึงพัน ตอนนี้ 3 ปีผ่านไป เฉลี่ยได้วันละ 3000 บาทครับ เหนื่อยน่าดู แต่สนุกครับ ตอนนี้ ออกจากงานประจำ มาแตกหน่อธุรกิจแล้วครับ มีตู้น้ำหยอดเหรียญ ตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ เติมเงินออนไลน์ เหลือแต่พวกหมู ผัก ปลา เท่านั้นครับ ทีมะได้นำมาขาย (คงอนาคตอันใกล้นี้ครับ อิอิ) สำมะคัญ ใจต้องสู้ครับ ล้มก่อน ลุกก่อน รวยก่อนครับ จากคุณ : Passa เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 54 17:50:49 A:110.171.41.62 X: TicketID:309701

ความคิดเห็นที่ 16 มาตอนตลาดวายหรือเปล่านะ เรา คุณ jnlek ลองดูต้นแบบจากร้าน 7-11 ดูสิครับ ถ้าร้านของคุณจะเล็ก ไม่มีทุนที่จะตกแต่งมาก แต่สามารถเอาวิธีบริหารจัดการต่างๆ ภายในร้านมาปรับใช้ได้ อย่างเช่น การจัดเรียงสินค้า จำนวน+ชนิดสินค้า การทำโปรโมชั่น การขายคู่ ขายควบ ส่วนเรื่องต้นทุนของสินค้าที่รับเข้ามาขายในร้าน ลองเช็คราคาจาก BigC, Lotus, Makro สินค้าหลายอย่างที่ 3 ห้างนี้เอามาขายในราคาที่ต่ำกว่าบริษัทส่งให้ยี้ปั่วซะอีก แถมช่วงนี้ BigC กับ Lotus ออกคูปองลดราคาสินค้าแข่งกัน เป็นโอกาสที่เราจะซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงไปอีก จุดเด่นของร้านชำเล็กๆ คือ ความใกล้ชิดกับลูกค้า หาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าร้านใหญ่ แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 54 06:31:15 จากคุณ : wasansem เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 54 06:30:15

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนนี้ได้ทำการกู้เงินจากญาติมาลงทุนเพิ่ม 30000 บาท โดยต้องเสียดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อเดือน  ยังไม่ตกลงในราคาดอกเบี้ย แต่เค้าขอจ่ายขั้นต่ำเดือนละ  1000  บาท              จึงอยากจะขอคำแนะนำหน่อยค่ะว่าควรจะต่อรองอย่างไร  และควรจะจัดสรร บริหารเงินก้อนนี้อย่างไรดีคะ เพื่อไม่ให้ผิดพลาดอีก  เพราะตอนนี้ทั้งเงิน  และสินค้าในร้านก็เหลือน้อยแล้วด้วย เพราะติดช่วงวันหยุด หลายวัน  รบกวนอีกครั้งนะคะ  ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : jnlek เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 54 15:10:15