PANTIP.COM : I10420842 IPO หุ้นธนาคารตัวแรกในรอบ 10 กว่าปี [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 3

ลักษณะการประกอบธุรกิจ

บมจ. แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ทำธุรกิจของตนเอง (Non-operating Holding Company) และเป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธรกิจการเงิน โดยบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อการเข้าถือหุ้นและควบคุมอำนาจในบริษัทอื่น มากกว่าเพื่อการลงทุน และต้องอยู่ภายใต้กรอบระเบียบและการควบคุมจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับบริษัทแม่ตามโครงสร้างกลุ่มธุรกิจทางการเงิน

โดยแหล่งที่มาของรายได้ของ LHFG และการดำเนินธุรกิจจะดำเนินผ่าน บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย (LHBANK) เป็นหลัก ซึ่งธนาคาร ได้เปิดดำเนินกิจการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2548 โดยให้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย โดยขอบเขตของ

ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยตามประกาศ ธปท. จะสามารถให้บริการทางด้านสินเชื่อได้เฉพาะลูกค้าที่เป็นประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เท่านั้น และในส่วนของบริการทางด้านเงินฝากและบริการด้านอื่นๆ ธนาคารสามารให้บริการในทุกประเภทลูกค้า โดยในปัจจุบันธนาคารสามารถให้บริการทางการเงินใน 4 ประเภทใหญ่ ดังนี้

บริการด้านเงินฝาก – บริการรับเงินฝากประเภทกระแสรายวัน, ออมทรัพย์, ออมทรัพย์พิเศษ, เงินฝากประจำ, เงินฝากปลอดภาษี และใบรับเงินฝากประจำ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยสามารถรับฝากเงินจากประชาชนทั่วไปทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคาร

บริการด้านตั๋วแลกเงิน – เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่มีความประสงค์จะออมเงินที่ได้รับอัตราผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน โดยธนาคารสามารถทำได้เพียงเงินสกุลบาทเท่านั้น

บริการด้านสินเชื่อ – แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อส่วนบุคคล, และสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs และจำกัดขอบเขตวงเงินการให้สินเชื่อและก่อภาระผูกพันของลูกหนี้ต่อรายตามประกาศธปท. เรื่องหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ (Single Lending Limit)

บริการด้านอื่นๆ – เช่น บริการทางอิเล็กทรอนิกส์, บริการด้านการโอนเงิน, บริการเป็นตัวแทนขายและรับซื้อหน่วยลงทุน, บริการเป็นนายหน้าขายประกันชีวิตและประกันวินาสภัย, บริการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน, บริการรับชำระค่าสาธารณูปโภคและบัตรเครดิต, บริการเป็นผู้แนะนำลูกค้าให้บริษัทหลักทรัพย์ และบริการเบ็ดเตล็ดอื่นๆ

โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารได้มีการสร้างเครือข่ายการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการกับลูกค้า โดยสาขาของธนาคาร มีการเพิ่มขึ้นจาก 6 สาขา ในปี 2549 เป็น 30 สาขาในปัจจุบัน

เป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปี 2554 และแผนงานในอนาคต

ในปี 2554 ธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมที่จะยกระดับจากธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (Retail bank) ไปสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ (Universal commercial bank) รวมถึงการรักษาระดับความแข็งแกร่งของธนาคารเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจสำคัญไว้ดังนี้

ด้านผลิตภัณฑ์และบริการ: ขยายขอบเขตการให้บริการทางการเงินสู่ธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ

ด้านความแข็งแกร่งของธนาคาร: รักษาคุณภาพของสินทรัพย์

ด้านลูกค้า: รักษาฐานลูกค้าเดิม การขยายสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ และการขยายเครือข่ายในการเข้าถึงลูกค้า

สำหรับโครงการในอนาคต ธนาคารได้มีการวางแผนงานและโครงการในอนาคตไว้ ดังต่อไปนี้

การยกระดับไปสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์: ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารเพื่อขออนุญาตต่อ ธปท. เพื่อยกระดับจากการเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (Retail bank) ไปสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ (Universal commercial bank) โดยธนาคารคาดว่าจะยื่นเอกสารเพื่อขออนุญาตต่อ ธปท. ภายในเดือน มี.ค. 2554 นี้ โดยเราคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาประมาณ 6 เดือน ซึ่งการเป็นธนาคารพาณิชย์จะช่วยให้ธนาคารสามารถขยายขอบเขตการให้บริการได้มากขึ้น เช่น การให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการอื่นที่ไม่จำกัดเฉพาะ SMEs และสามารถให้วงเงินสินเชื่อแก่ลูกค้าได้มากขึ้น เป็นต้น

จากคุณ : superman2007

เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 21:42:41

ความคิดเห็นที่ 6

วิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของบริษัท

จุดเด่น

การยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ช่วยเพิ่มขอบเขตการดำเนินธุรกิจ

ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารเพื่อขออนุญาตต่อ ธปท. เพื่อยกระดับจากการเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (Retail bank) ไปสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ (Universal commercial bank) โดยธนาคารคาดว่าจะยื่นเอกสารเพื่อขออนุญาตต่อ ธปท. ภายในเดือน มี.ค. 2554 นี้ โดยเราคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาประมาณ 6 เดือน

ซึ่งการเป็นธนาคารพาณิชย์จะช่วยให้ธนาคารสามารถขยายขอบเขตการให้บริการได้มากขึ้น จากเดิมที่การให้บริการด้านสินเชื่อถูกจำกัดเฉพาะลูกค้าที่เป็นประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เท่านั้น แต่การยกระดับขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ จะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ (Corporate) ได้ รวมถึงจะทำให้สามารถขยายวงเงินการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าให้สูงขึ้นด้วย

โดยเราคาดว่าการยกระดับขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ (Universal commercial bank) รวมถึงฐานเงินทุนในระดับสูงที่ได้จากการเพิ่มทุนจะทำให้มีโอกาสที่ขยายสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว โดยเราคาดว่ายอดการขยายตัวของสินเชื่อของ LHBANK จะเติบโต 20% ในปี 2554 และ 30% ในปี 2555 ซึ่งถือว่าเติบโตโดดเด่นกว่าอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก

เก่งในตลาดสินเชื่อบ้าน

จากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารคือ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และ บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ดำเนินธุรกิจด้านพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลานาน และมีส่วนแบ่งการตลาดรวมเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ทำให้ธนาคารมีความได้เปรียบที่สามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage loan) ให้กับลูกค้าที่เป็นลูกค้าของ LH และ QH ได้ โดยที่ผ่านมาลูกค้าของ LH และ QH ใช้บริการสินเชื่อของ LHBANK ในระดับ 20-30%

ซึ่งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทำให้การเติบโตของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของ LH เติบโตได้ในอัตราสูงเช่นเดียวกับภาพรวมตลาด ซึ่งในปี 2554 นี้เราคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะยังมีการซื้อที่อยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมาก พอๆ กับปี 2553 ที่ผ่านมาซึ่งมียอดการจดทะเบียนบ้านใหม่สูงที่สุดในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้การขยายตัวของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ LHBANK ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ฐานเงินทุนแข็งแกร่ง...คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดี

หลังจากการเพิ่มทุนจะทำให้ฐานเงินทุนของ LHBANK ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยเราคาดว่า Tier-1 Ratio ของ LHBANK จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 31.5% จาก 16.9% ณ สิ้นปี 2553 ขณะที่ฐานเงินทุน (Capital Adequacy Ratio – CAR) จะปรับขึ้นเป็น 32.3% จาก 17.6% ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีความแข็งแกร่งทางการเงินสูง เพิ่มความสามารถในการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น รวมถึงทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่น SMEs หรือสินเชื่อธุรกิจ (corporate loans) ได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ให้ปรับตัวดีขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันยอดสินเชื่อส่วนใหญ่ยังอยู่ที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งให้ผลตอบแทน (loans yield) ที่ต่ำกว่าการปล่อยสินเชื่อ SMEs และ สินเชื่อธุรกิจ (corporate loans)

นอกจากนี้ คุณภาพสินทรัพย์ของ LHBANK ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีสัดส่วน NPLs ratio ต่ำเพียง 1.7% และมีสัดส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้เสีย (NPL Coverage ratio) สูงที่ระดับ 74.8% และมีสัดส่วนการตั้งสำรองต่อสำรองขั้นต่ำตามเกณฑ์ ธปท. ที่ระดับ 144% ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งพอสมควร และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงานมา

เครือข่ายของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ

จากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารคือ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และ บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ นาย อนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของไทย และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการธุรกิจ และมีเครือข่ายพันธมิตรกับนักธุรกิจในประเทศเป็นจำนวนมาก เรามองว่าจุดแข็งนี้จะช่วยทำให้ LHBANK สามารถสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ ทั้งด้านฐานเงินฝาก และการปล่อยสินเชื่อ ให้กับกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากธนาคารได้รับการอนุญาตจากธปท. ให้ยกระดับขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทขนาดใหญ่ (corporate) ได้

คาดกำไรสุทธิเติบโตสูง

เราคาดว่าหลังการเพิ่มทุนจำนวนมากในครั้งนี้ รวมถึงการได้รับอนุมัติจาก ธปท. ให้เลื่อนขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ จะทำให้ LHBANK เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ โดยเราคาดว่ายอดสินเชื่อจะขยายตัวเฉลี่ย 25% ต่อปี จาก 4.2 หมื่นล้าน เป็น 8.2 หมื่นล้านในปี 2556 ขณะที่ฐานเงินฝากจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 23% จาก 2.7 หมื่นล้านบาท เป็น 5.1 หมื่นล้านบาท

ขณะที่การมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อธุรกิจ (corporate) ให้มากขึ้นจะช่วยทำให้ NIM ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากสินเชื่อ SMEs และ corporate ให้ผลตอบแทน (yield) ที่สูงกว่าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสัดส่วนหลักถึง 70% ในปัจจุบัน โดยเราคาดว่า NIM ของ LHBANK จะค่อยปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 3.0% ในปี 2556 จากปัจจุบันที่ระดับ 2.8%

ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมคาดว่าจะเติบโตโดดเด่นขึ้นจากการที่ธนาคารมีสาขามากขึ้น และการมุ่งไปที่สินเชื่อ SMEs และ corporate มากขึ้น รวมถึงการมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มากขึ้น จะช่วยทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตได้ในระดับสูงหลังจากนี้

นอกจากนี้เรามองว่าการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้อย่างรวดเร็วจะทำให้ประสิทธิภาพการบริหารงานของธนาคารดีขึ้น โดยคาดว่า Cost-to-income ratio จะค่อยๆปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากปัจจัยดังกล่าวเราคาดว่ากำไรสุทธิของ LHBANK จะเติบโตสูงในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ โดยคาดว่ากำไรจะเพิ่มจาก 408 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เป็น 504 ล้านบาทในปีนี้ หรือเติบโต 23.5% และเพิ่มขึ้นเป็น 712 ล้านบาท ในปี 2555 และ 979 ล้านบาทในปี 2556 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 34%

มีโอกาสในหาพันธมิตรต่างชาติ

การปรับระดับจากธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ นอกจากจะทำให้โอกาสในการดำเนินธุรกิจเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ธนาคารมีโอกาสเป็นที่สนใจของธนาคารต่างประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งหากในอนาคตมีพันธมิตรต่างชาติเข้าร่วมลงทุนในธนาคารจริง อาจเป็นอีกประเด็นสำคัญที่จะผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทและราคาหุ้นได้

จุดด้อย

กำไรสุทธิเติบโตสูงปีนี้แต่ EPS จะลดลงจากผลกระทบของการเพิ่มทุน... ROE ยังต่ำ

แม้เราจะคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิในปีนี้ของ LHBANK ในระดับสูง 23.5% แต่ผลจากการเพิ่มทุนทั้ง RO ในช่วงต้นปี จำนวน 4,412.5 ล้านหุ้น และ IPO อีก 1,443.1 ล้านหุ้น จะทำให้กำไรต่อหุ้น EPS ของ LHBANK ปรับตัวลดลง 43% ในปีนี้ จาก 0.084 บาท/หุ้นเป็น 0.048 บาท/หุ้น แต่ในปีหน้าเราคาดว่า EPS จะกลับมาเติบโตอีกครั้งในระดับ 28% และอีก 34% ในปีถัดไป

นอกจากนี้การเพิ่มทุนในระดับสูงส่งผลให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น ROE ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง โดยเราคาดว่า ROE จะปรับตัวลดลงจาก 8.7% ในปี 2553 เหลือ 5.2% ในปีนี้ อย่างไรก็ตามเราคาดว่า ROE จะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงระดับ 7% ในปี 2556

การแข่งขันสูงในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์

ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 15 ธนาคาร โดยแบ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 ธนาคาร (BBL, KTB, SCB, KBANK) ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก 9 ธนาคาร (BAY, TMB, TBANK, TISCO, KK, ICBCT, CIMBT, SCBT, UOB) และธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยอีก 2 ธนาคาร (LHBANK, Thai Credit Retail Bank) ซึ่งการแข่งขันในอุตสาหกรรมถือว่าค่อนข้างรุนแรงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางด้านการระดมเงินฝาก และการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งแข่งขันในทุกด้านทั้งราคา รูปแบบผลิตภัณฑ์ การให้บริการ เพื่อหวังที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งอาจทำให้ LHBANK จำเป็นต้องใช้กลยุทธในหลายๆ ด้านเพื่อต่อสู้กับคู่แข่ง จึงอาจส่งผลต่อการทำกำไรของธนาคาร

เสียเปรียบจากการเป็นธนาคารขนาดเล็ก

จากการที่ธนาคารเปิดดำเนินการมาเป็นระยะเวลาเพียง 5 ปี จึงยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ประกอบกับมีจำนวนสาขาน้อย จึงทำให้เสียบเปรียบทั้งในด้านการระดมเงินฝากและการรุกตลาดสินเชื่อเมื่อเทียบกับธนาคารอื่น นอกจากนี้การเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ทำให้ธนาคารมีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกรรมของธนาคารในหลายๆ ด้าน ทำให้ธนาคารไม่สามารถเสนอผลิตภัณฑ์และให้บริการที่ครบวงจรแก่ลูกค้าได้ โดยเฉพาะธุรกรรมที่เอื้อแก่ภาคธุรกิจส่งออกและการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศ ทำให้ฐานลูกค้าถูกจำกัดแค่ในเฉพาะลูกค้าประชาชนทั่วไป และธุรกิจขนาดย่อม อย่างไรก็ตามหากธนาคารได้รับการอนุญาตให้เลื่อนระดับขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์จะช่วยให้ข้อเสียเปรียบดังกล่าวผ่อนคลายลงได้บ้าง

ข้อเสียที่สำคัญอีกประการหนึ่งของ LHBANK คือ การที่เป็นธนาคารขนาดเล็ก และมีสาขาน้อย ทำให้ต้นทุนทางการเงินของธนาคารสูงกว่าธนาคารอื่นๆ ส่งผลให้ธนาคารไม่สามารถใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการแข่งขันกับธนาคารอื่นๆ ได้ ซึ่งธนาคารอาจต้องปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเพื่อหวังผลตอบแทน (loans yield) ที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อโดยรวมในอนาคต

มีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัย และการพึ่งพิงลูกค้าของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่

ยอดเงินให้สินเชื่อของธนาคารมีการกระจุกตัวสูงอยู่ในสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านในกลุ่ม LH และ QH ซึ่งพิจารณาจากยอด ณ สิ้นปี 2553 ธนาคารมียอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 2.87 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 67.5% ของยอดการปล่อยสินเชื่อรวมทั้งหมด และเป็นการปล่อยให้ลูกค้าที่ซื้อบ้านในกลุ่ม LH และ QH สูงถึง 2.47 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 86.1% ของยอดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั้งหมด ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจและภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผลการดำเนินงานของ LH และ QH อาจส่งผลกระทบต่อธนาคารในระดับสูงได้

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ธนาคารมีนโยบายเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของพอร์ตสินเชื่อโดยเน้นเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อประเภทอื่น เช่น SMEs มากขึ้นรวมถึงการขยายสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยออกไปนอกจากกลุ่ม LH และ QH เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากคุณ : superman2007

เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 21:43:34