ความคิดเห็นที่ 1 ระดับของหนี้สาธารณะ (Debt Level) นั้นจริงๆมันคือปริมาณสะสมของการขาดดุลงบประมาณ (Budget Deficit) นั่นเอง ถ้าขาดดุลต่อเนื่อง ก็ต้องกู้เงินมาใช้โดยการออกพันธบัตร หนี้ก็จะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ทาง IMF ได้ทำ chart สถานะการเพิ่มของระดับหนี้ และระดับการขาดดุลงบประมาณของประเทศต่างๆให้ดูดังรูป มุมบนขวาหมายถึงไม่ดีทั้งสองด้านนะครับ  ส่วนมุมซ้ายบนหมายถึงระดับของการขาดดุลลดลงแล้ว แต่หนี้ยังสูงขึ้น  ระดับของหนี้จะไม่ลดลงจนกว่าจะเกินดุลงบประมาณนะครับ และต้องเกินติดต่อกันหลายปีกว่าหนี้จะลดลงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:19:38 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 11:59:31

ความคิดเห็นที่ 2 ประเด็นเรื่องหนี้สาธารณะ (Public Debt) หรือหนี้ที่รัฐบาลสหรัฐเป็นผู้ก่อหรือผู้กู้ กลับเข้ามาอยู่ในจอเรดาร์ของนักลงทุนตั้งแต่ต้นปี การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงหลังก็มาจากสาเหตุนี้ สิ่งที่ปรากฏในข่าวก็มีอยู่สองสามประเด็นด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การหั่นงบประมาณที่จะผ่านสภาซึ่งหากไม่ผ่านก็จะนำไปสู่การหยุดกิจการของรัฐบาล (Government Shutdown) เพราะไม่มีเงินไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆเหมือนกันที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 1995 แต่ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยการที่ Democrat  ยอมหั่นเงินออกไปจากงบประมาณจำนวน 38 พันล้าน US$ น้อยจริงๆเมื่อเทียบกับงบประมาณทั้งหมดของประเทศ   ประเด็นต่อไปคือ ทั้ง Democrat และ Republican แข่งกันเสนอแผนลดการขาดดุลงบประมาณในระยะยาว เป้าหมายเดียวกันแต่เงินเยอะมาก ล่าสุดที่ท่าน Obama เสนอมาเมื่อสัปดาห์ก่อนคือ 4 ล้านล้าน US$ ภายในเวลา 12 ปี ดังนั้นไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองฝ่ายน่าจะยึดเส้นตายที่หนี้ของสหรัฐจะชนเพดานการก่อนหนี้ภายในกลางเดือนหน้าเป็นตัวประกัน หากตกลงกันไม่ได้ หนี้สาธารณะของสหรัฐจะขึ้นไปถึง  14.3 ล้านล้าน US$ โดยที่ไม่สามารถกู้เงินจากการออกพันธบัตรเพิ่มได้อีกต่อไป หนี้ที่ครบกำหนดชำระก็จะไม่มีเงินจ่ายก็จะผิดชำระหนี้ หรือ default นะครับ อะไรๆก็ default แต่คำนี้ไม่ใช่แปลว่าล้มละลาย  เพราะประเทศไม่มีสิทธิถูกยึดทรัพย์ การเป็นนี้ของประเทศเป็นผลจากการบริหารของนักการเมือง ประชาชนไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ประเทศนี้จะไม่มีใครคบค้า เนื่องจากรัฐบาลยังสามารถใช้วิธีหยิบยืมองค์กรของรัฐเพื่อประวิงเวลาไปได้อีกหน่อย แต่ถ้าท่าน Obama และท่าน Ryan ยังตกลงกันไม่ได้ ต้นเดือนสิงหาคมนี้สหรัฐจะเป็นประเทศที่ล้มละลายทางเทคนิค (Technical Default) ไม่ใช่ด้าน Credit แบบ Greece กำลังจะโดน ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้วเพดานการก่อหนี้  (Debt Ceiling) จะถูกสภาอนุมัติให้ขยายขึ้นไปแน่นอน เค้าทำเป็นประจำครับไม่ใช่ครั้งแรก แต่กว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถตกลงกันได้ถึงรายละเอียดของแผนลดการขาดดุลงบประมาณได้ น่าจะยื้อกันสุดๆจริง สำหรับแผนลดการขาดดุลของท่าน Obama นั้น ในปีสุดท้ายจะลดลงเหลือขาดดุล 2.5% ของ GDP แต่แผนนี้ไม่ได้มีผลทันทีหากสองฝ่ายตกลงกันได้ เค้าก็กลัวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้น ดังนั้นมาตราการต่างๆจะเริ่ม fade-in เข้ามาในปีที่หก ดังนั้นผมเชื่อว่าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐมีโอกาสขึ้นไปสูงถึง 20 ล้านล้าน US$ ภายในหกปีข้างหน้า แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:28:46 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:24:04 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:02:21

ความคิดเห็นที่ 3 ในปัจจุบันระดับของการขาดดุลในปี 2011 คาดว่าจะอยู่ที่ 10.8% ของ GDP ดูเหมือนจะไม่เยอะมากเหมื่อเทียบกับเพื่อน ตอนแรกๆเค้าไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอกครับ เพิ่งจะมีมาหลังจากท่านบุชส่งทหารไปไล่จับตั๊กแตนแถวตะวันออกกลาง แต่จะว่าท่านก็ไม่ถูกเพราะพระเอกในปีหลังๆกลับเป็นบรรดากองทุนสุขภาพและสวัสดิการสังคมต่างๆ ในกราฟแรกส่วนที่เป็นสีจางๆหมายถึงรายจ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว เช่น เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าสูงขึ้นมาช่วงปี 2009-2010 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:30:50 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:04:25

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อมูลคุณภาพ    ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:06:01

ความคิดเห็นที่ 5 หลายคนคงเริ่มอยากดูงบการเงินของรัฐบาลสหรัฐ ข้อมูลนี้มาจากรายงาน USA Inc. ของ BusinessWeek นะครับ ออกมาตั้งแต่สองเดือนก่อน เป็นข้อมูลของปี 2010 ผมเคยคิดจะเอามาเขียน แต่ไม่ชอบเรื่องการคลังเท่าไหร่ดังที่เคยบอก รัฐบาลสหรัฐในปี 2010 มีหนี้ทั้งหมด (Government Debt) 14 ล้านล้าน US$ หรือประมาณ 62% ของ GDP ในปีนั้น เป็นหนี้ที่อยู่ในมือสาธารณะ (Government Debt held by Public) 9 ล้านล้าน US$ หรือประมาณ 94% ของ GDP ตอนนี้ขาดไม่ถึงร้อยล้านจะชนเพดานเงินกู้ 14.3 ล้านล้าน  US$ ในปี 2010 รัฐมีรายได้ 2.2 ล้านล้าน US$ ส่วนใหญ่มาจากภาษีเงินได้จากประชาชน และ Social Insurance Tax (โปรดสังเกตว่า ตัวหลังนี่ใกล้เคียงกับตัวแรกมากเลย ซักวันประเทศเราก็อาจจะเป็นแบบนี้เหมือนกันเวลาเรามีคนแก่เยอะๆ) สำหรับรายจ่ายมีจำนวน 3.5 ล้านล้าน US$ กระเป๋าฉีกไป 1.3 ล้านล้านหรือประมาณ 10% ของ GDP ต้องไปกู้เขา ซึ่งในปี 2010 ช่วงปลายๆ ท่าน Obama ก็ได้ท่าน Bernanke ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีเงิน ร่วมปล่อยให้กู้ด้วย ตอนนี้ก็ยังทำอยู่ในชื่อ QE2 ประเด็นสำคัญสำหรับหน้านี้ คือค่าใช้จ่ายทางการทหารของเค้าค่อนข้างสูง อาจเป็นเพราะต้องช่วยจับแมลงทั้งโลก หรือเวลามีมนุษย์ต่างดาวบุกมาก็ต้องช่วยไล่ มีดาวตกก็ขับยานอวกาศไปถล่ม (ไม่ตลกนะครับ นี่เป็นวิธีคิดของคนประเทศนี้) แต่ที่หนักหนามากกว่าคือ รายจ่ายที่เรียกว่า Entitlement Program ซึ่งประกอบด้วย เงินประกันการว่างงาน+อื่นๆ ประกันสังคม และตัวแสบ Medicare+Mediaid ซึ่งเป็นการสนับสนุนทางด้านสุขภาพแก่ประชาชน บ้านเราก็มี ที่น่าสนใจอีกอย่างคือรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ หรือ net interest payment พวกพันธบัตรรัฐบาลที่มี coupon rate เค้าจะจ่ายผ่านทางช่องนี้ ปีที่แล้วสหรัฐจ่ายไป 196 พันล้าน ดูเหมือนไม่เยอะ แต่มันหมายถึงเค้าเก็บภาษีได้ 100 US$ ต้องจ่ายดอกเบี้ย 9 US$ นะครับ โดยรวมๆ แล้วในปี 2010 เงินทุก 100 US$ ที่รัฐบาลสหรัฐจ่ายไป 37 US$ มาจากการกู้ครับ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:36:09 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:06:22

ความคิดเห็นที่ 6 ตารางข้างล่างนี้ คือข้อมูลเดียวกับกราฟข้างบน สิ่งที่อยากให้ดูคือ Net Margin -60% หากสหรัฐเป็นบริษัทจะขาดทุน 60% ของรายได้ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 12:08:17 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:07:07

ความคิดเห็นที่ 7 ขอแก้รูป #7 ครับ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:08:44

ความคิดเห็นที่ 8 กราฟแสดงอัตราการเพิ่มของหนี้แต่ละประเภท Entitlement Program นำโ่่ด่ง ส่วนรายจ่ายดอกเบี้ยนิ่งๆ เพราะดอกเบี้ยลด แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:37:51 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:09:02

ความคิดเห็นที่ 9 เผื่อมีคนอยากดูค่าใช้จ่ายทางการทหาร จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:10:09

ความคิดเห็นที่ 10 ค.ห.1นี่ เห็นภาพชัดเจนมากครับ กลุ่มโคม่าขวาบนมี อเมริกาและญี่ปุ่น ถอดเครื่องช่วยหายใจเมื่อไหร่ตายเมื่อนั้น ส่วนกลุ่มซ้ายบนมีเยอรมันพยุงไว้ เยอรมันสะดุดเมื่อไหร่เข้า ICU ทันที ดูๆเศรษฐกิจโลกกำลังจะเข้าโลงอย่างที่ผมคาดจริงๆ ดีที่มีโลหะเงินและทองคำอยู่ 50% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือพร้อมเอาออกทุกเมื่อเชื่อวัน ขอบคุณท่าน Crazy Rabbit สำหรับข้อมูลดีๆประกอบการตัดสินใจครับ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:11:42

ความคิดเห็นที่ 11 มาดูตัวแสบ เป็นสิ่งที่รัฐบาลใดก็ตามหลังจากนี้ต้องจัดการอย่างจริงจัง เพราะมันกำลังเป็น runaway cost ตามโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป นั่นคือ Entitlement Spending ได้แก่ 1. Social Security คงเหมือนกองทุนประกันสังคม สำรองเลี้ยงชีพบ้านเรา แนวคิดมันคือ ให้คนที่ทำงานในปัจจุบันช่วยเก็บออมเงินเพื่อเลี้ยงดูคนทำงานในอดีตที่เกษียณอายุไปแล้ว (บางคนอาจจะคิดว่าเราจ่ายให้ตัวเอง^^) รัฐบาลออกเงินสมทบบางส่วน ซึ่งจะปรากฏเป็นรายจ่าย มีอยู่ช่วงนึงมีปัญหาเงินจ่ายของรัฐเข้ากองทุนไม่เพียงพอ เมื่อปี 1983 เค้าเลยปฏิรูปโดยลดสวัสดิการ 5% และเพิ่มภาษี 2.3% ปรากฏว่าเกินดุลเละเทะ แต่หลังจากเกิดวิกฤตปี 2007-2008 คนตกงานเยอะเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าจึงหักหัวลงเป็นขาดดุลอย่างน่ากลัว ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ 2. Mediaid เป็นสวัสดิการช่วยเหลือรายจ่ายการรักษาพยาบาลของผู้รายได้น้อย (หลักประกันสุขภาพทั่วหน้าแบบบ้านเรานั่นเอง) 3. Medicare คล้ายๆข้างบน แต่เพื่อคนชรา สองตัวล่างนี่ติดลบถล่มทลายอย่างมีอัตราเร่ง เนื่องจากจำนวนคนขอใช้สิทธิมากขึ้น ในส่วนของ Mediaid ภายใน 45 ปี รัฐเงินขาดมือไป 3.7 ล้านล้าน US$  Medicare 1.7 ล้านล้าน แต่ Medicare จะเพิ่มเร็วกว่ามากในช่วงหลัง โดยเฉพาะจากการที่มีคนชราเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับ Social Security และ Unemployment Benefit รัฐบาลสหรัฐจึงต้องจ่ายเงิน 58% ของรายได้ทั้งหมดไปเพื่อการนี้ ซึ่งนับว่าสิ้นเปลืองมากๆ และภายในปี 2025 ถ้าไม่ทำอะไรเลย ค่าใช้จ่ายส่วนของ Entitlement + Interest Payment จะกินรายได้จนหมด 100% หมายถึงรัฐบาลสหรัฐไม่มีเงินใช้เลยโดยสิ้นเชิงไม่ว่าเพื่อการใดรวมถึงเงินเดือนพนักงานของรัฐ (สำนักข่าวหลายแห่งน่าจะบ้า เรียกข้าราชการ ประเทศนี้ไม่เคยมีพระราชา แถมยังเรียกพระราชบัญญัติด้วย น่ากลุ้มใจ) แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:42:05 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:12:06

ความคิดเห็นที่ 12 ประเทศนี้ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพต่อคนเยอะที่สุดในกลุ่มประเทศชั้นนำ OECD (บรรดาหมอๆเลยอยากไปรวยที่นั่น และสัดส่วนที่รัฐบาลอุดหนุนนั้นสูงมาก ใช้เงินมากแปลว่า อายุคนน่าจะยืน เป็นจริงกับประเทศส่วนใหญ่ยกเว้นสหรัฐ แสดงว่า เค้ามีประสิทธิภาพในการบริหารเงินแย่มากๆ สุขภาพของคนก็แย่เนื่องจาก Risky Lifestyle มีคนเป็นโรคอ้วน โรคหัวใจมากกว่าค่าเฉลี่ย ประเด็นนี้ทุกรัฐบาลถูกโจมตี แม้แต่จากพรรคที่เคยเป็นรัฐบาลมาก่อน จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:12:49

ความคิดเห็นที่ 13 มาถึงด้านค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นะครับ ในการจ่ายเงินให้ผู้ซื้อพันธบัตรในแต่ละปีมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับ 1. ปริมาณหนี้ทั้งหมด 2. อัตราดอกเบี้ย 3. อายุที่เหลืออยู่ของพันธบัตร ปริมาณหนี้ทั้งหมดก็พุ่งเข้าใกล้ 100% ของ GDP ไปทุกขณะ อัตราดอกเบี้ย ตั้งแต่เกิด the Great Inflation ทศวรรษ 1980 ลดลงเรื่อยๆจนผิดปกติ โดยที่ Effective Interest Rate มาอยู่ที่ 2.2% จากเฉลี่ย 6% ในช่วงเวลาดังกล่าว ถ้าว่าตามแนวคิด debt supercycle แล้ว หลังจากนี้ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น เวลารัฐบาลสหรัฐ re-finance ตราสารหนี้ระยะสั้น (มีเรื่อยๆครับ) เพราะไม่สามารถจ่ายเงินตามราคาหน้าตั๋วได้ ต้องกู้ก้อนใหม่มาใช้ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเดิม ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมาค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของสหรัฐตกราวๆ 200 พันล้าน US$ ไม่ได้สูงขึ้นอย่างเป็นแนวโน้มเลยเนื่องจากดอกเบี้ยขาลง  มีการประมาณว่าในปี 2010 หาก Effective Interest Rate อยู่ที่ 6% รัฐบาลสหรัฐจะต้องจ่าย 566 พันล้าน US$ ไม่ใช่ 196 พันล้าน อายุที่เหลืออยู่ของพันธบัตร ในปี 2010 รัฐบาลสหรัฐมีพันธบัตรระยะยาว 10 ปีขึ้นไป เพียง 10% ของหนี้ทั้งหมด คงเป็นเพราะช่วงหลังวิกฤต มีการออกพันธบัตรมากและดอกเบี้ยลงเร็ว ออกระยะสั้นจะได้เปรียบ แต่หลังจากนี้คงไม่ใช่แล้ว จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:14:43

ความคิดเห็นที่ 14 พวกมุสลิมหัวรุนแรงเขาแน่จริงๆ เอาน้ำมันมาล่อให้สหรัฐเดินหน้าทัพ พอเข้าไปก็เสร็จเพราะสงครามยืดเยื้อทำให้สหรัฐเสียเปรียบ พวกตนเองไม่มีอะไรจะเสียมากมายแต่ทำให้สหรัฐขาดทุนบักโกรกได้ ยังกะเดวิดเอาหินก้อนเดียวล้มยักษิ์ ส่วนรายได้จากน้ำมันที่ยึดมาได้ก็ไปเข้ากระเป็าพวกยิวหมด งานนี้แขกกับยิว win-win คนเล่นหุ้นก็ win หากขายถูกจังะหวะ ส่วนที่เหลือก็ หึๆๆ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:16:01

ความคิดเห็นที่ 15 สรุป .. วันนี้ไม่สรุปครับ ให้อ่านคำประกาศของ S&P ว่าทำไมจึงมีมุมมองที่เป็นลบต่อความน่าเชื่อในตราสารระยะยาวของประเทศนี้ ชัดเจนที่สุดแล้วครับ S&P 18/4/2011 “Because the U.S. has, relative to its ‘AAA’ peers, what we consider to be very large budget deficits and rising government indebtedness and the path to addressing these is not clear to us, we have revised our outlook on the long-term rating to negative from stable.” “Despite these exceptional strengths, we note the U.S.’s fiscal profile has deteriorated steadily during the past decade and, in our view, has worsened further as a result of the recent financial crisis and ensuing recession. Moreover, more than two years after the beginning of the recent crisis, U.S. policymakers have still not agreed on a strategy to reverse recent fiscal deterioration or address longer-term fiscal pressures.” ผมลืมเรื่องปริมาณ+อัตราส่วนการถือพันธบัตร และจำนวนที่ถือโดยต่างชาติ + สถานะของ QE2 ถ้าไม่ลืมคืนนี้จะมาทำให้ครับ คำผิดก็จะแก้คืนนี้เหมือนกันครับ รวมถึง chart บางอันที่ควรเสนอเพิ่มเติม ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ ชื่นชมเจ้าของข้อมูล : 1. economist.com 2. รายงาน USA Inc. จาก businessweek.com 3. IMF fiscal monitor report Apr 2011 4. และอื่นๆ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 13:00:45 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:16:02

ความคิดเห็นที่ 16 ข้อมูลของจขกท.ตรงนี้หากเอาไปวิเคราะห์ดีๆ อาจทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า FED จะทำ QE ต่อหรือไม่ วิเคราะห์ถูกก็รวยเละ ^^ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:19:01

ความคิดเห็นที่ 17 update อันแรกเลยแล้วกัน ณ. สิ้นเดือนมีนาคมเค้าเหลืออีก 76 พันล้านเท่านั้น จะชนเพดาน ... Auction ได้อีกซักครั้ง เรื่องการคลังเป็นเรื่องยากแบบจุกจิก+การเมืองครับ ผมก็ไม่เคยชอบวิชานี้เลย จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:29:06

ความคิดเห็นที่ 18 http://www.usdebtclock.org/ ยืมเขามาแปะ จากคุณ : zyrtec เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:38:45

ความคิดเห็นที่ 19 gooooood จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:49:23

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ zyrtec ใน usdebtclock จะมีตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจแต่ตีความยากมาก มันคือ หนี้รวมทัี่งรัฐบาลและเอกชนสหรัฐ อยู่ 55 ล้านล้าน หรือมากกว่า 300% ของ GDP ครับ แต่มันต้องการแปลความหมายแบบพิเศษ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:54:46

ความคิดเห็นที่ 21 สวดยอด บทวิเคราะห์ จากคุณ : opar156 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 12:59:23

ความคิดเห็นที่ 22 อิสราเอลดูมั้่นคงจังนะครับ ^^ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 13:02:34

ความคิดเห็นที่ 23 วิเคราะห์แบบคนประสบการณ์น้อย การฟื้นตัว เมกา โอกาสอาจจะเป็น V shape 60% W shape 40% (อาจจะ เพราะมีระเบิดเวลาซ่อนอยู่ ตามข้อมูลข้างบน) ยุโรปบางประเทศเป็น W sharp โดนเฉพาะพวกที่ถอนมาตรการกระตุ้นเร็วไป แล้วต้องมารัดเข็มขัด บางประเทศ V shape เอเชีย ส่วนใหญ่ V shape ผมเดาล้วนนะครับ เหอๆ จากคุณ : shine-rise เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 13:42:05

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ เก็บไว้อ่านได้วันละกล่อง ขออนุญาตสวัสดีสงกรานต์ย้อนหลังด้วยนะคะ ^^ จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 15:06:14

ความคิดเห็นที่ 25 ผมว่ามันไม่ใช่W shapeสิครับแต่เป็น VL shape เพราะอ่านๆดูแล้วผมก็มั่นใจขึ้นเยอะกลับสิ่งที่เคยคิดไว้เมื่อสองปีที่แล้ว หากเศรษฐกิจตกลงไปอีกรอบคงกู่ไม่กลับหล่ะครับ สิ่งที่ทำให้ยังอยู่ได้คือTRUST ซึ่งหากของที่ซุกไว้ใต้พรมมันระเบิดมาเมื่อไหร่ คนคงหมดความเชื่อถือ 5ปีจากQE2ถ้ายังยืนได้ก็ดีไป แต่ล้มเมื่อไหร่ไม่อยากคิดครับ คงแย่ยิ่งกว่าญี่ปุ่นเจอปัญหานิวเคลียร์อีก โอกาสของเราคงอยู่ที่จีน ฮ่องกงแหละครับ จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 15:13:07

ความคิดเห็นที่ 26 ประโยคดีๆจาก S&P That said, we see the path to agreement as challenging because the gap between the parties remains wide. We believe there is a significant risk that Congressional negotiations could result in no agreement on a medium-term fiscal strategy until after the fall 2012 Congressional and Presidential elections. If so, the first budget proposal that could include related measures would be Budget 2014 (for the fiscal year beginning Oct. 1, 2013), and we believe a delay beyond that time is possible. เนื่องจากช่องว่างระหว่างสองพรรคนี้กว้างเกินไป เราจึงเชื่อว่ามีความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญที่จะัตกลงกันไม่ได้่ จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง congress และประธานาธิบดีในฤดูใบไม้ร่วงปี 2012 และมาตราเหล่านั้นกว่าจะบรรจุเข้าไปในงบประมาณได้ก็เป็นของปี 2014 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 15:13:47

ความคิดเห็นที่ 27 ญี่ปุ่น - ตัวเองตายแล้วครับ เคยบอกตั้งแต่แผ่นดินไหวใหม่ๆว่า จบแล้ว สหรัฐ - หมดกระสุน แล้วกลายเ้ป็น New Normal ศัตรูก็ยังไม่ตาย รู้ว่าไม่ตายแต่ไม่รู้จะทำอะไร ยุโรป - เก็บอาวุธเร็วเกินไป ศัตรูยังกระโดดเหย็งๆ PIIGS บอกให้ส่งอาวุธ ไม่ส่งแถมขึ้นดอกเบี้ย จีน - Overheating QE3 อาจจะมาจากทางญี่ปุ่น เพื่อจะให้่ตัวเองตายสนิทจริงๆ หุ้นที่ขึ้นทุกวันนี้ เพราะเงินหาที่ลงอยู่ ไม่ sustainable อย่านั่งเก้าอี้เป็นคนสุดท้าย เพลงจะจบ คงไม่ต้องรอให้จบ ค่อยๆนั่งก็ได้ นกหวีดดัีงจะนั่งไม่ทัน เพลงแรกคงจบสิ้นเดือนมิถุนา กรรมการจะบอกวันที่ 27 เดือนนี้ เพลงต่อไปจะมีหรือเปล่า ไม่รู้ ถ้ามีเก้าอี้คงหายไปตัวนึง แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 15:23:29 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 15:18:47

ความคิดเห็นที่ 28 สอบถามจากนักธุรกิจในอเมริกามาครับ ผลคืออเมริกายังไม่ฟื้นแน่นอนไม่ใช่จากตัวเลขอ้างอิงนะครับ แต่นักธุรกิจเขาได้กำไรจากการเก็งกำไรต่างๆ เพราะว่าเขามีเงินสดในมือมากมายก็เอาไปลงหุ้นลงโลหะเงินบ้าง แต่ปัญหาคือประชาชนอเมริกาส่วนใหญ่ไม่มีเงินสดในมือมากมายครับ ผมสงสัยอยู่อย่างเดียวว่าในประเทศประชาธิปไตยเต็มร้อยเนี่ย เขาสามารถทนสภาวะเงินเฟ้อ+ตกงานได้นานแค่ไหนกัน ??? จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 15:46:40

ความคิดเห็นที่ 29 โจทย์สำหรับอเมริกาคือ 'New Normal' เนี่ยมันจะทนได้ถึงเมื่อไหร่ ? FED ยิ่งพิมพิ์เงินยิ่งเพิ่มหนี้ให้ประเทศพวกคนรวยก็ไม่ลงทุนเพิ่ม แต่หันไปเก็บทองเก็บโลหะเงินเพื่อขัดขารัฐบาลตัวเองด้วยซ้ำ ผมว่างานนี้ตอนจบคงหา Happy Ending ยากส์ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 15:49:10

ความคิดเห็นที่ 30 ค.ห.25 เคยได้คุยกับนักวิชาการฝรั่งเขาก็ว่าแบบนี้แหละ ว่าเราอาจจะะรอดเพราะจีน แต่วิถีของจีนก็ไม่สนับสนุนทุนนิยมโลกาภิวัฒน์อยู่ดี หมายความว่าสุดท้ายนักเล่นหุ้นที่เล่นเก้าอี้ดนตรีแพ้ก็คงตายอยู่ดีครับ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 15:54:12

ความคิดเห็นที่ 31 เข้าเรื่องต่อนะครับ จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะเสนอเรื่องฟื้นไม่ฟื้น เพราะข้อมูลนี้เป็นการคลังอย่างเดียวเลยครับ ในช่วงต้นปีก่อน ผมเขียนเรื่องหนี้นี้ไปเยอะเหมือนกัน เคยอ้างหนังสือ Aftershocks ของ Wiedemer and Spitzer ที่เค้าบอกว่า ระดับของหนี้ที่ประมาณ 15 ล้านล้าน US$ จะเริ่มทำให้ความเชื่อมั่นในสหรัฐมีปัญหา ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะดูมันไม่ค่อยมีหลักการอะไร ลืมไปแล้วด้วย ตอนนี้เริ่มมีเค้า เริ่มต้นจาก Negative Outlook ในครั้งนี้ ผมสนใจว่า เราจะ follow-up เรื่อง S&P นี้ได้ยัง มันไม่ง่ายเหมือนแค่ follow CDS เช่นในกรณีของ PIIGS ต้องรู้ว่า S&P หรือ Moodys ให้คะแนนอย่างไร เรื่องเหล่านี้เป็นความลับ แต่นักเศรษฐศาสตร์ Fed สาขา New York เคยทำ model วิเคราะห์วิธีคิดของ Credit Rating Company เหล่านี้ในรายงานชื่อ Determinants  and Impact of Sovereign Credit Ratings เค้าเสนอตัวแปรที่สำคัญและน้ำหนักเป็นดังตาราง ผมดูแล้วได้ข้อสรุปว่า การลด Credit ประเทศใหญ่ๆที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบุญเก่าเค้ามีมาก จากการให้น้ำหนักที่ Indicator for Economic Development, default history และ per capita income โอกาสจะรูดปื้ดๆแบบ Greece นั้นแทบไม่มี แต่ก็ไม่รู้ว่าในปัจจุบันเค้าเพิ่มน้ำหนักเรื่อง Public Debt แค่ไหน คงจะมีแค่ตัวนี้ กับ Inflation ให้เราจับตาสำหรับสหรัฐ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 16:27:01

ความคิดเห็นที่ 32 QE2 เอาไว้สุดสัปดาห์แล้วกันนะครับ พอดีเห็นประเด็นบางอย่าง น่าจะยาว จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 17:00:49

ความคิดเห็นที่ 33 สัดส่วนของหนี้ที่ maturity แตกต่างกัน ส่วนใหญ่เป็นระยะกลางคือ 2-10 ปี จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 22:55:31

ความคิดเห็นที่ 34 ใน Q2/2010 ต่างชาติเป็นเจ้าหนี้อยู่ 46% ของหนี้ของรัฐบาลที่อยู่ในมือสาธารณะทั้งหมด (9 ล้านล้าน) โดยจีนถืออยู่ 10% แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 23:17:00 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:05:49

ความคิดเห็นที่ 35 รบกวนวิแคะของไทยหรือกลุ่ม TIP ด้วยได้มั้ยครับ   ใกล้ตัวดี จากคุณ : เบิกได้จ่ายตรง เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:07:47

ความคิดเห็นที่ 36 ที่เราควรติดตามดูคือ จีนยังจะเอา US Treasury อยู่หรือไม่ ในตอนนี้จีนมีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ 1.15 ล้านล้าน US$ นิ่งไม่ไหวติงมาหลายเดือนแล้ว พันธบัตรในช่วงพฤศจิกาเป็นต้นมาส่วนใหญ่ถูกซื้อโดย Fed ถ้าหมด QE2 แล้วจีนจะมาเหมาต่อหรือไม่ เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องตามด้วยตนเองครับ ถ้าไม่ค่าเงิน US$ เตรียมพัง ที่นี่ http://www.bloomberg.com/apps/quote?ticker=HOLDCH:IND จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:14:21

ความคิดเห็นที่ 37 ผมเล่น Gold Futures เป็นหลักครับ นี่ใกล้ตัวผมที่สุดแล้ว ขออภัย จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:15:32

ความคิดเห็นที่ 38 อีกอย่างผมได้ประสบการณ์ครั้งเดียวเพียงพอแล้วครับ กับการที่เข้าไปเสนอข้อมูลการคลังของไทย ในกระทู้หนึ่ง แล้วเจอแต่พวกบ้าการเมือง ไม่ดูข้อมูล พรรคนี้ทำอะไรถูกหมด พรรคนั้นทำอะไรผิดหมด ดังนั้นก็จะไม่แตะแล้วครับ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:20:05

ความคิดเห็นที่ 39 ตอนนี้ Fed โกยพันธบัตรด้วยเงินที่สร้างจาก "อากาศบางๆ" แทรงหน้าจีนที่ใช้เงินหยวนจากหยาดเหงื่อแรงงานจีนไปแล้วครับ ตลกไม่ออก จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:26:01

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับ เป็นบทความที่ดีมากๆครับ ^ ^ จากคุณ : No Money ,,, No Honey (por-puay) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:55:20

ความคิดเห็นที่ 41 สนุกแถมได้ความรู้ด้้วย รออ่านต่อครับ จากคุณ : Savage_Garden เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 00:03:52

ความคิดเห็นที่ 42 สวัสดีครับพี่กระต่ายฯ ยินดีที่พี่นำข้อมูลมาเผยแพร่ต่อ ดีแล้วครับอย่าไปแตะของไทยเลย คนบางคนยังไม่ยอมแยกแยะว่าคุยเรื่องอะไรอยู่ ผมมองเหมือนสหรัฐ(คน)ใช้บัตรเครดิตอยู่ แต่ไม่มีปัญญาจ่ายคืนต้น หมุนเอาเงินกู้มาใช้จ่าย เพื่ออำนวยความสุขสบายของตนเอง ตอนนี้ใช้จ่ายมากไป จนคนข้างนอกมองออกแล้วว่าไม่มีปัญญาจ่ายคืนต้นแน่ เลยจะทำให้ดอกเบี้ยที่จะกู้ใหม่นี่น่าจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ และเมื่อสุดท้ายดอกเบี้ยท่วมเ้งินที่จะหา ก็จะถึงบทสุดท้ายเอง เป็นคนก็หมดลมพอดี เป็นประเทศนี่คนสัญชาตินั้น คงต้องหนีออกมาหารายได้ข้างนอกแล้วกระมัง จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 07:18:39

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณพี่กระต่ายคลั่งมากๆครับ  เห็นชื่อนี้ห้ามพลาด !!! จากคุณ : ภูมิทัศน์ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 09:49:45

ความคิดเห็นที่ 44 ประเทศพัฒนาแล้วนี่ หนี้เยอะ เงินสำรองก็เยอะ ทองก็ตุนไว้เพียบ สุดๆ ไปเลย จากคุณ : WindReturn เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 09:54:44

ความคิดเห็นที่ 45 แต่ก่อนใครจะไปลงทุนในจีนต้องเอาเงินสกุลของตัวเองหรือโดยทั่วไปจะใช้ us$  ไปแลกเป็นหยวนแล้วถึงจะลงทุนในจีนได้ แต่กฎที่กำลังจะเปลี่ยนใหม่นี้แสดงว่าจีนเริ่มไม่อยากได้ us$ แล้ว   แต่การปฎิเสธดอลล่านั้นต้องทำแบบไม่ให้ใครรู้ตัวเพราะยังมีดอลล่าอยู่ในคลังจีนอีก แปดแสนล้านดอลล่าการจะทำให้มันลดลงอย่า่งมีนัยต้องใช้เวลา ต่อไปนี้จะเห็นข่าวแบบนี้อีกเป็นระยะ   จีนกำลังเล่นบทปากอย่างใจอย่างให้กะโลกใบนี้ดู xBT> CHINA:สื่อเผยจีนเตรียมไฟเขียวให้บ.ต่างชาติทำ FDI สกุลหยวนในปีนี้        เซี่ยงไฮ้--19 เม.ย.--รอยเตอร์        ธนาคารกลางจีน (PBOC) กำลังพิจารณาเรื่องการอนุญาตให้บริษัท ต่างประเทศสามารถใช้สกุลเงินหยวนในการลงทุนโดยตรง (FDI) ในจีนปีนี้        หนังสือพิมพ์ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัลของทางการจีนรายงานในวันนี้ ว่า นายหลี่ โป เจ้าหน้าที่นโยบายปริวรรตเงินตราของ PBOC กล่าวว่า ขณะนี้ PBOC กำลังประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์และสำนักตลาดปริวรรตเงินตราของ รัฐบาลจีนในการอนุญาตให้มีการใช้สกุลเงินหยวนที่อยู่ภายนอกประเทศจีนในการ ลงทุนโดยตรงในจีน        นายหลี่กล่าวว่า "เราได้ดำเนินการวิจัยสองรอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพบว่าภาคเอกชนมีความต้องการอย่างมากต่อ FDI ในรูปหยวน"        "เราได้กำหนดกรอบการทำงานสำหรับ FDI หยวนแล้ว แต่จำเป็นต้อง บรรลุความเห็นที่ตรงกันกับภาคธนาคารและวิสาหกิจ ก่อนที่จะยื่นเสนอนโยบายให้ กระทรวงที่เกี่ยวข้องทำการอนุมัติ ซึ่งถ้าหากทุกสิ่งดำเนินไปได้อย่างราบรื่น นโยบาย ใหม่ก็อาจจะได้รับการประกาศใช้ภายใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า"        ทั้งนี้ จะมีการทดสอบโครงการใหม่เป็นเวลาระยะหนึ่ง โดยจะอนุญาต ให้บริษัทเพียงบางแห่งเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้ในขั้นเริ่มต้น        บริษัทบางแห่งที่ใช้หยวนในการทำการค้ากับต่างชาติหรือใช้ในการประกอบ ธุรกิจในตลาดสกุลหยวนในฮ่องกงได้เก็บสะสมเงินหยวนไว้ในช่วงที่ผ่านมา และปัญหา เรื่องการอนุญาตให้ส่งเงินหยวนกลับคืนมาในจีนหรือนำมาลงทุนในจีนได้กลายเป็นปัญหา ที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงนี้ เนื่องจากจีนมีนโยบายควบคุมบัญชีทุน        จีนอนุญาตให้บริษัทต่างๆสามารถใช้หยวนในการชำระบัญชีการค้าได้เมื่อราว 4 ปีก่อน และตลาดหยวนในฮ่องกงก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่รัฐบาลจีนยกเลิก มาตรการควบคุมหยวนในฮ่องกงในเดือนก.ค.2010        ปริมาณเงินฝากสกุลเงินหยวนในฮ่องกงพุ่งขึ้น 4 เท่า สู่ 3.706 แสนล้าน หยวน (5.676 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนม.ค.ปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว--จบ--        (รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง) จากคุณ : cocohill (cocohill) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 10:04:02

ความคิดเห็นที่ 46 ผมก็ตามเรื่องบทบาทของเงินหยวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเหมือนกันครับ เร็วๆนี้ธนาคากลางของจีนกำลังจะอนุมัติให้ Singapore เป็น offshore yuan trading center อีกแห่งหนึ่งขึ้นมาทาบฮ่องกง ทางด้าน Import/Export Settlement ของจีนตอนนี้เป็นเงินหยวนไป 7% แล้วครับ และตอนนี้ผู้นำประเทศต่างๆแข่งกันออกมาเชียร์ให้หยวนมีส่วนแบ่งใน SDR ของ IMF แต่ยังติดอยู่ที่ว่าการทำ Internationalize เงินจีนยังไม่ถึงไหน แค่ขั้นลอยตัวค่าเงินก็ประกาศว่าจะทำไปแล้ว แต่ไม่บอกจะทำเมื่อไหร่ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 11:21:12

ความคิดเห็นที่ 48 ข้อมูลและการวิเคราะห์เยี่ยมมากครับ แต่ผมมองว่าเมกายังไม่ตายเร็วๆนี้หรอกครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ตัดรายจ่ายในด้านที่ไม่จำเป็นเช่น กองทัพ แต่ถ้ามันไปไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องทำครับ ภาษีก็อาจจะขึ้นแบบบูรณาการ เมื่อถึงยามจำเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำก็ต้องทำจริงๆแหละครับ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และเอาไปใช้หนี้ เรื่อง dollar เค้าก็เริ่มๆเลิกใช้กันมั่งแล้วครับ อนาคตคงจะเป็นค่าเงินหลักๆ 3-4 สกุล ไม่ใช่ dolla อย่างเดียวอีกแล้ว จากคุณ : sweetoil เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 20:03:48

ความคิดเห็นที่ 49 ผมก็ไม่ได้บอกว่าสหรัฐไม่ฟื้นนะครับ แต่อยู่ในสภาวะ New Normal อัตราการขยายตัวต่ำ การว่างงานสูง อสังหายังไม่ฟื้น โดยที่อาวุธหรือมาตราการที่มีใช้ไปหมดแล้ว แถมยังต้องทำ austerity เหมือนยุโรป โดยน่าจะค่อยๆ fade-in เข้ามา ไม่ได้หั่นงบประมาณฮวบฮาบในทีเดียว จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 20:57:26

ความคิดเห็นที่ 50 ส่วนตัวมองว่าปันหาใหญ่คือเงินดอลล่าที่พิมพ์จากอากาศครับมันมีปริมาณมหาศาล เวลาจะเอาออกจากระบบผมยังนึกไม่ออกว่าจะเอาออกอย่างไร  และยิ่่งถ้ามันขาดความน่าเชื่อถือเมือไร ธนาคารกลางประเทศต่างๆคงต้องปลอยมันกลับประเทศของมันครับ คราวนี้มันคงยุ่งน่าดูเมือมันกลับประเทศมันพร้อมๆกัน  จะเหมือนซิมบักเว่เมือ 4-5 ปีที่แล้วไหม ลองหาข้อมูลของซิมบักเว่ดูครับน่ากลัวมาก  ไข่ไก่สามใบราคาพันล้านซิมบักเว่ http://www.google.co.th/images?q=hyperinflation%20in%20zimbabwe&oe=utf-8&rls=org.mozilla:en-GB:official&client=firefox-a&um=1&ie=UTF-8&source=og&sa=N&hl=th&tab=wi&biw=960&bih=485 แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 54 21:56:23 จากคุณ : cocohill (cocohill) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 21:48:45

ความคิดเห็นที่ 51 เราบริโภคข่าว Zimbabwe มากเกินไปครับ จริงๆแล้วไม่ได้ใกล้เคียงสหรัฐในปัจจุบันหรือในอนาคตเลยแม้แต่นิดเดียว การเกิด Hyperinflation ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตามใดอดีต เกินขึ้นเพราะสาเหตุเดียวเท่านั้น คือ ประเทศพิมพ์เงินสกุลท้องถิ่นเพื่อใช้หนี้สกุลเงินต่างประเทศ หนี้ของสหรัฐเป็น US Dollar ทั้งหมด คำว่า พิมพ์เงิน นั้นต้องมากพอจึงจะเกิด Hyperinflation ได้ คุณลองกลับไปค้นดูว่า Money Supply ของ  Zimbabwe เพิ่มขึ้นกี่ "พันล้าน" % ในช่วงเวลาดังกล่าว แล้วผมให้ดูเทียบกับสหรัฐว่า มีโอกาสจะใกล้เคียงหรือไม่ เฟดตอนนี้พิมพ์เงินมาใช้ซื้อพันธบัตรใน QE1 และ  QE2 เพียง 10% ของพันธบัตรทั้งหมดที่อยู่ในมือสาธารณะเท่านั้น ก่อนหน้านั้นจริงๆจะใช้คำว่า พิมพ์เงิน ก็ไม่เชิง เป็นการกู้เงิน โดยออกพันธบัตรมาค้ำ คนให้กู้ก็มีเงิน ไม่เหมือนเฟด จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 22:49:38

ความคิดเห็นที่ 52 #50 ไม่เหมือนแน่ครับ เพราะเงิน US กับ ซิมบับเว มันคนละเกรดกันเลยครับ ถ้าไทยทำแบบซิมบับเว ผลก็อาจเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ US dollar เพราะ US dollar ได้เข้าไปอยู่ในเงินสำรองของแต่ละประเทศเยอะมากแล้ว มันก็เหมือนกับแต่ละประเทศเป็นตัว credit ให้ US แต่อย่างที่รู้กันว่า แต่ละประเทศก็เริ่มเอือมกับ US แล้วเหมือนกัน ก็ทยอยกันลดสัดส่วนในตะกร้าเงินสำรองของแต่ละประเทศ เงินที่พิมพ์มาแล้วก็คงเอาออกจากระบบไปดื้อๆไม่ได้หรอกครับ ทางแก้ของเค้าก็คือต้องชะลอการพิมพ์ US dollar ออกมาให้น้อยกว่าที่ตลาดต้องการในแต่ละปี จากคุณ : sweetoil เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 22:56:49

ความคิดเห็นที่ 53 - -" การนำเงินเข้าออกจากระบบใช้ Open Market Operation ธนาคารกลางที่ไหนก็ทำกัน จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 23:01:39

ความคิดเห็นที่ 54 #53ผมเข้าใจว่า Open Market Operation มันเป็นการเปลี่ยนรูปทางกายภาพเฉยๆ แต่ value ของเงินมันยังอยู่ ปัญหาที่ US ทำก็คือพิมพ์ Dollar ออกมาจากอากาศ แต่มันมี value ที่สามารถเอาไปจับจ่ายใช้สอยได้ด้วย ซึ่งเป็นการทำให้เสถียรภาพของตลาดการเงินระหว่างประเทศเสียหาย จากคุณ : sweetoil เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 23:14:13

ความคิดเห็นที่ 55 ใม่ใช่ครับ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 23:17:38

ความคิดเห็นที่ 56 เยี่ยมค่ะ ถึงแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็ได้เห็นภาพรวม ดีค่ะ จากคุณ : WhatWomenWant เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 54 00:03:51

ความคิดเห็นที่ 57 คุณ sweetoil ครับ จริงๆ แล้วในทางเศรษฐศาสตร์มีอะไรประมาณนั้นเหมือนกัน แต่ลักษณะคำพูดจะเป็นแบบนี้ เวลาธนาคารกลากระตุ้นเศรษฐกิจโดยอัดฉีดเงินเข้าระบบนั้น ในระยะสั้นมีโอกาสทำให้เิงินเฟ้อสูงขึ้น เช่นที่เป็นอยู่ตอนนี้ หากเงินเฟ้อยังสูงต่อไป และทางธนาคารไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร (เช่นขึ้นดอกเบี้ยอย่าง BOT ของเรา) ประชาชนจะคาดหวังถึงเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อยๆ (Expected Inflation) แล้วมันจะลงยาก เป็นเรื่องจิตวิทยา ทาง fed ก็จับตาอยู่เหมือนกัน ในผลการประชุมล่าสุดเมื่อเดือนก่อน fed ยังบอกว่า เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ยัง "Transitory" หรือน่าจะเป็นชั่วคราวเท่านั้น วิธีการหนึ่งที่เราจะติดตาม Expected Inflation ในสหรัฐ คือ หาส่วนต่าง yield ของพันธบัตร - Yield ของ TIPS (Treasury Inflation Protected Securities)  เค้าเรียกว่า Breakeven Rate ในปัจจุบันหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 54 09:26:23

ความคิดเห็นที่ 58 ขอคุยเรื่องเครดิตเรตหน่อยครับ ตอนนี้มะกันยังได้AAA มุมมอง- หากสถาบันจัดอันดับต่างๆปรับลดเรตติ้งทีละประจุทุก2-5ปี ก็ยังใช้เวลาเป็น10ปีกว่าเรตติ้งจะเท่าไทย แน่นอนว่าความต้องการUS bondต้องน้อยลง ขณะเดียวกันดอกเบี้ยที่มะกันต้องจ่ายก็สูงขึ้น เจ้าเงินดอลล่าร์ก็ต้องปลิวไปสักที่ ไม่กลับบ้านก็ลงcommodityทั้งหลาย หากFEDไม่อาจเก็บเงินดอลล่าร์ได้ทันกับเงินที่ปลิวกลับบ้าน(ผมว่าไม่ทันแน่ๆ) ปัญหาเงินเฟ้อคงกระจายไปทั่วโลก(ตอนนนี้ก็เริ่มหนักแล้ว)  เวลานั้นรัฐบาลมะกันสบายแค่ตัดรายจ่ายไม่จำเป็นต่างๆเช่น ทหาร เงินช่วยเหลือประเทศอื่น แค่นี้ก็ลดไปเยอะแล้ว แต่ประชาชนโดนเตะโด่งมานอนนอกบ้านกันมากแน่ เพราะทั้งเงินเฟ้อระดับสูง+ค่าเงินอ่อน คราวนี้มามองที่trustในเงินของUS$ เราทุกต่างรู้ว่าค่าของUS$ต้องอ่อนค่าลงมากแน่ๆ มีโอกาสมั้ยที่commodityทั้งหลายจะไม่ซื้อขายด้วยเงินUS$ จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 54 10:11:30

ความคิดเห็นที่ 59 อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ต้องนับถือทุกท่านจริงๆครับ วิเคราะห์เจาะลึกล้วงไส้ล้วงพุงออกมาทุกขดจริงๆ สรุปว่าเศรษฐกิจอเมริกาน่าเป็นห่วง USDก็น่าจะลงเหวลึกไม่มีก้นรึเปล่าครับ :D จากคุณ : phils เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 54 03:46:44

ความคิดเห็นที่ 60 มีครับ เพราะถึงจุดนึง คนที่มีหนี้มากก็ต้องกลับตัวกลับใจ หันมาทำงานหรือหารายได้เข้ามา เพื่อให้รอดตัวไปนะครับ Dollar hits 16-month low vs. euro, pound Europe’s central banker is confident U.S. will address budget issues NEW YORK (MarketWatch) — The dollar fell to a 16-month low against the euro and British pound on Thursday, with strong U.S. corporate earnings and a further rise in equities leaving investors to shun the greenback. จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 54 06:40:03

ความคิดเห็นที่ 61 ท่าจะโงหัวลำบากหน่อย นิสัยอเมริกันส่วนนึงก็ค่อนข้างขี้เีกียจ ปีนี้แนวโน้มเศรษกิจดูไม่ค่อยดีเลย มีภาวะแทรกซ้อนที่รออาการกำเริบบานตะไท ภัยธรรมชาติมาซ้ำอีก ..คนทำธุรกิจก็ต้องคอยจับตาให้ดี เตะเบรคไม่ทันก็โครมเท่านั้น จากคุณ : KOKISME เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 54 09:20:15

ความคิดเห็นที่ 62 .......................... IMHO สมมุติถ้า FINCEN ไปตรวจดูว่า บมจ. หรือ สถาบันการเงินในสหรัฐ ได้ไปลงทุน/ประกอบธุรกรรม กับ PEPs (ผู้เกี่ยวข้องกับวงการเมือง) หรือ 'Immidiate Family Members' หรือ Close Associate ของ PEPs (หาประเด็น Conflict of Interest / ผิดต่อหน้าที่ภาครัฐ) .... หรือไปเปิดบริษัทในเครือในกลุ่มประเทศ Tax Haven แล้วไปจัดซื้อจัดจ้างกับนิติบุคคลอื่นๆ ที่มี ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และ Controller (ถือ 5% ขึ้น) หรือ Final Benefactuary, กรรมการ, ผู้มีอำนาจลงนามนิติบุคคล, ผู้บริหาร ดำรงตำแหน่งในทั้งบริษัทแม่ และ บริษัทในเครือ .... หามูลฐานฟอกเงิน ความผิดมูลฐาน Publice Embezzlement หรือ Fraud ให้ได้ ..... เปรียบเทียบปรับโดยไม่มีการ 2 มาตรฐาน .... พร้อมเตรียมมาตรการรองรับ เช่น ขยายธุรกิจ State Enterprise/employment ..... ยึดทรัพย์กราด โดยจัดการแค่ผู้บริหารผู้แอบกอบโกน ฉ้อโกง .... ไม่รู้อาจจะได้เงินมา cover public debt อันมหาศาลนั่นได้ขนาดใหน .... อาจจะเกือบล้างหนี้เลยก็ได้ ยังมีวิธีกู้วกฤต Tripple digit public debt ตั้งเยอะ .... ถ้าเมกาไม่ตายเพราะ Hamberger Crisis หรือ International Banking Cartel ซะก่อน ครับ แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 54 11:54:38 จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 54 11:52:03

ความคิดเห็นที่ 63 พี่ Crazy Rabbit  มาทีไรซี๊ดซ๊าดทุกที .. จากคุณ : teeranet เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 54 20:30:33

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณสำหรับบทความครับ ถ้าอยากวิเคราะห์ได้แบบคุณ Crazy Rabbit นี่ต้องศึกษาเรื่องอะไรบ้างเหรอครับ จากคุณ : dijsktra เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 54 01:35:07

ความคิดเห็นที่ 65 macro econล้วนๆครับ เป็นเรื่องของทฤษฎีล้วนๆ กว้างมากและเข้าใจยาก บทๆหนึ่งเขียนหนังสือได้เป็นร้อยหน้าแล้วครับ จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 54 12:31:54

ความคิดเห็นที่ 66 ดอลต่อเยนไม่ขยับไปไหนเลย จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 54 18:21:18

ความคิดเห็นที่ 67 คุณ dijsktra ต้องมองผมว่า เป็นนักลงทุนที่สนใจเศรษฐศาสตร์เท่านั้นนะครับ ผมก็จะสนใจแค่เรื่องที่จะเอามาช่วยทำความความเข้าใจภาพรวมตลาด ซึ่งในระดับนี้มันก็ไม่ยากมากหรอกครับ ต้องลองศึกษาดู บางเรื่องอย่าง Fund Flow จะเข้าใจง่ายขึ้นถ้าเราวิเคราะห์ตรงนี้ได้ (เช่น ติดตาม spread ของ yield ไทย-สหรัฐ หรือความเคลื่อนไหวของเงินสกุลเอเชีย จะได้ไม่ต้องมาเถียงกันว่า ฝรั่งจริงหรือปลอม) อ่านหนังสือตระกูลเศรษฐศาสตร์มหภาค แต่อย่าไปเน้นพวก shift เส้นอะไรมาก แล้วเชื่อมโยงให้ไ้ด้ระหว่างหนังสือกับข้อมูลจริง เวลาจริง อ่าน blog และ web ข่าวต่างประเทศให้มาก ต้องยอมรับว่า เค้าเขียนดีกว่าข่าวไทยมาก สำคัญอีกอย่างคือ อย่าเป็นนักฟันธง หรือบ้าวิชาการแต่เอาไปใช้ในการลงทุนไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีทางสายกลางหมดครับ คุณ Hana* คิดว่า มันจะไปไหนครับ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 54 19:12:21

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณ คุณ Crazy Rabbit มากครับ จากคุณ : dijsktra เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 02:48:24

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณมากจ้า จากคุณ : แม่น้องอะตอม เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:57:02