ความคิดเห็นที่ 1 พิมพ์หัวข้อผิด...ขอโทษครับ "กองทุนรวม หุ้น อิสระภาพทางการเงิน" จากคุณ : sikaew เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 06:19:49

ความคิดเห็นที่ 2 น่าจะได้เหมือนกัน โดยลงทุนในกองทุนรวมที่เน้น VI ครับ .... แต่ข้อเสีย คือ จะได้กำไรน้อยกว่าเล่นหุ้นเป็นรายตัว จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:17:01

ความคิดเห็นที่ 3 ผมมีแผนที่จะไปตามเส้นทางนั้นครับ และมีความเป็นไปได้และผมคิดว่า อิสระภาพทางการเงินแบบยั่งยืนจะต้องมาจากการต่อยอดเงิน บนพื้นฐานเงินออมครับ การเล่นหุ้นหรือลงทุนในกองทุนหุ้นมีความเสี่ยงต่างกัน ในความเป็นจริงถ้าเรายังไม่มีทุนระดับเจ็ดถึงแปดหลักขึ้นไป รายได้จากการลงทุนอาจจะยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย ผมจึงเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นเพราะจะมีเวลาส่วนเกินในการประกอปธุรกิจมากกว่า และให้กองทุนทำหน้าที่ต่อยอดเงินออมของเราไป และเมื่อใดที่ผลตอบแทนที่ได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของเรา เมื่อนั้นเราจะสามารถวางมือจากงานประจำที่เราทำได้บ้างครับ   ในส่วนตัวอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จตรงนี้ผมมั่นใจว่ามี แต่ยังไม่ปรากฏให้รับทราบเท่านั้นครับ จากคุณ : ทองเนื้อเก้า เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 07:47:30

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่จำเป็นครับไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือกองทุนรวม เราอาจจะลงทุนในตราสารหนี้ ทอง โลหะเงิน เพชร หรืออะไรก็ได้ที่เราคิดว่าเราทำได้ดีและการลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอพอที่จะทำให้เรามีรายได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในอนาคต จากคุณ : diabloth เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:38:56

ความคิดเห็นที่ 5 กองทุนแบบดัชนี เช่น ลงทุนทั้ง SET50 แบบนี้ระยะยาวจะดีกว่ากองทุนทั่วไปครับ จากคุณ : monomaniac }:-] เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 09:44:49

ความคิดเห็นที่ 6 ผมลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนมาตอนนี้ก็เกือบ 10 ปี แล้ว พึ่งจะมาลงทุนกับหุ้นโดยตรงก็เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เลยอยากขอแสดงความคิดเห็นในเรื่อง "กองทุนรวม หุ้น อิสระภาพทางการเงิน" ? ส่วนตัวตอบได้เลยโดยไม่ต้องคิดว่า : สามารถทำได้ครับ และในส่วนของเงินปันผลผมว่าดีกว่าหุ้นหายๆตัวเสียอีก เปรียบเทียบ หุ้น vs. กองทุนตราสารทุน หุ้น เข้าถูกตัวก็ดีเข้าผิดตัวก็เจ็บตัว ความผันผวนมีสูง ต้องมีประสบการณ์ในการลงทุนสูง ต้องมีความรู้ขั้นไม่ธรรมดาพูดง่ายๆว่าขั้นเก่ง ส่วนมากทำกำไรจากการซื้อขายหุ้น มากกว่าการกินปันผลในระยะยาว ดังนั้นคุณต้องเทรดกันไปเรื่อยๆกำไรถึงจะมีอย่างต่อเนื่อง ( แตกต่างจาก VI ที่สะสมหุ้นและรอกินปันผล) ถึงแม้หลายๆคนเล่นหุ้นมานานๆ ผ่านช่วงตกต่ำของตลาด มีโอกาสได้ซื้อหุ้นที่ดีๆ ราคาถูกแสนถูก แต่ก็อดขายมันทิ้งไปตอนราคาสูงในเวลาต่อมา กองทุนตราสารแห่งทุน (หุ้น) ในที่นี้ถ้าต้องการอิสระภาพทางการเงินก็คงต้องเลือกลงทุนกับกองที่มีนโยบายปันผล ข้อดีมีหลายอย่าง ต้องแต่เงินเริ่มลงทุน บ้าง บลจ.ให้เริ่มด้วยเงินแค่ 1,000-2,000 บาทคุณก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้น PTT SCB SCC etc. ผ่านกองทุนรวมได้แล้ว ผิดกลับหุ้นถ้าต้องการซื้อ PTT  ขั้นต่ำ 100 หุ้นก็ต้องใช้เงินถึง 3 หมื่นกว่าบาทแล้ว แถมมีผู้บริหารกองทุนดูแล ติดตามเข้าความเคลื่อนไหวของหุ้นในพอรต์ลงทุนให้เราอีกด้วย เราสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติไม่ว่าหุ้นในตลาดจะผันผวนมากน้อยได้อย่างสบายใจ หลักการซื้อก็ง่าย เราสามารถซื้อเพิ่มไปเรื่อยๆ (จะพูดว่าเฉลี่ย) ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสะสมหน่วยลงทุนเพื่อรอเงินปันผล มากกว่าซื้อเพื่อกำไรจากส่วนต่างของมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) , แต่อิสระภาพที่พูดถึงคือไม่ได้ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี แต่มีเงินปันผลสามารถเลี้ยงชีพได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องมาเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของตลาด เพราะนอกจากมีผู้จัดการกองทุนดูแลแล้ว การลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นเป็นการกระจายความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นหลายๆตัว บ้างตัว 50 ตัวในกลุ่ม SET50 ก็คือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะถ้าคุณถือหุ้นไม่เกี่ยวตัว ก็ต้องตรวจสอบเป็นระยะ แล้วจะมีอิสระภาพได้อย่างไรถ้าต้องมานั่งเฝ้าจออยู่ตลอดเวลา แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 18:46:51 จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 10:08:06

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับ คห.6  ทุกประการ .. เพราะทุกวันนี้ .. ผมลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน 1 กอง (เอาไว้ใช้แทนบัญชีออมทรัพย์) และผมก็ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นปันผล 1 กอง .. ซึ่งถือเป็น กองทุนหลัก ที่ผมเอาไว้ปั๊มเงิน .. ทุกวันนี้ เงินที่ได้จากปันผลอย่างเดียว .. ก็มากพอสำหรับค่าใช้จ่าย และ ยังเหลือมากพอที่จะเอาไปลงทุนเพิ่มขึ้นได้อีก โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินเดือน หรือ หารายได้จากทางอื่นให้เหนื่อยตัวเอง .. พูดง่าย ๆ ก็คือ ณ. ตอนนี้ "ผมมีอิสระทางการเงินแล้ว" ตอนนี้ ตัวผมเองก็ใกล้จะลาออกแล้ว เพราะผมมี "อิสระภาพทางการเงิน"  แล้ว ... แต่ที่ยังทำงานอยู่ เพราะทำอยู่บริษัทของญาติ .. เลยอยากจะอยู่ช่วยเค้าก่อน และ ไม่รู้จะอธิบายเหตุผลตอนลาออก แล้วเค้าจะเข้าใจเรารึป่าว .. จากคุณ : ห ล่ อ ทุ ก อ ณู รู ขุ ม ข น เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 10:26:42

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วถ้าตลาดร่วงแบบคราว 1,700 --> 200 จุด ล่ะครับ กองทุนจะโดนปิดอีกไหม แล้วเราจะเหลืออะไร ถ้าระหว่างที่มันร่วง เรากำลังสะสมหน่วยลงทุนอย่าเมามัน จากคุณ : We are X . เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 10:42:32

ความคิดเห็นที่ 9 #8 ต้องเข้าใจหลักของกองทุนเสียก่อนนะครับ จริงแล้วกองทุนก็เหมือนหุ้น เมื่อมีการปันผลราคาก็ลงเท่ากับปันผล(โดยประมาณ) ยกตัวอย่าง กองทุน X ลงทุนในหุ้นในกลุ่ม SET50 -ตามภาพ เงินปันผล  04 ม.ค. 2548 0.82 บาท   30 มิ.ย. 2548 0.34 บาท   03 ม.ค. 2549 0.94 บาท   03 ม.ค. 2550 0.2 บาท   02 ก.ค. 2550 2.06 บาท   02 ม.ค. 2551 1.26 บาท   02 ก.ค. 2552 1.45 บาท   04 ม.ค. 2553 1.00 บาท   02 ก.ค. 2553 0.30 บาท   04 ม.ค. 2554 1.5 บาท จากข้อมูลจริง SETindex 300 จุด ราคาหน่วยลงทุนของกองนี้อยู่ที่ ~ 4 บาท ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 6 บาท เมื่อขึ้นมา 1,100 จุด ระหว่างทางมีการจ่ายปันผลมา 3 ครั้งเป็นอย่างน้อยคือ  1 บาท, 30 สตางค์ , 1.5 บาท เท่ากับ 2.80 บาท ก่อนหักภาษี ดังนั้นปัจจุบัน ราคา nav 6 บาทนี้ยังไม่รวมเงินปันผลที่จ่ายออกไปแล้ว 2.80 บาท เงินก้อนนี้ถ้าคุณเอาไปบริหารจัดการใช้ในชีวิตประจำวันก็คงน่าจะพอใจกับเงินปันผลประมาณ เกือบๆ 20% ผมเชื่อว่าหุ้นในตลาดไม่มีตัวไหนสามารถทำได้ขนาดนี้ (ยกเว้นปันผลพิเศษ หรือลดทุนคืนให้ผู้ถือหุ้น) ส่วนการคาดการณ์ว่าหุ้นจะลงมาเหลือ 200 จุดมันเป็นเรื่องของอนาคต อาจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่อย่างลืม กองทุนมีนโยบายการลงทุน คุณต้องเลือก อย่างเช่น ลงทุนใน SET50 การปรับพอร์ตการลงทุนถูกควบคุมจากการ สับเปลี่ยนหุ้นเวียนของหุ้นที่ เข้า-ออก จาก SET50 อยู่แล้ว ก็เท่ากับว่ากองทุนสามารถปรับเปลี่ยนตามสถานะการณ์อยู่แล้ว เพียงแต่คนลงทุนในกองทุนไม่รู้สึกตัวเท่านั้นเอง ดังนั้นการซื้อเรื่อยๆสะสมเรื่อยๆผ่านกองทุน ไม่ใช่ซื้อมั่ว โดยไม่สนใจว่าตลาดจะเป็นเช่นไรครับ เค้าถึงต้องมีผู้จัดการกองทุนซื้อหุ้นในเป็นไปตามโปรแกรม หรือวัตถุประสงค์ให้ตรงนั้นเอง จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 11:00:06

ความคิดเห็นที่ 10 ผมขอเสริมนิดนึงนะครับ การที่จะเลือกลงทุนใน หุ้น vs. กองทุนตราสารทุน จะแตกต่างจากนักลงทุนที่ไปลงทุนหุ้นเองโดยตรง คือ สิ่งสำคัญคือการคัดเลือกผู้จัดการกองทุน และ นโยบายของกองทุนนั้นๆ เป็นสำคัญครับ มันก็อาจจะเหมือนเลือกหุ้นนะครับ ไม่ควรที่จะไปฝากไว้หรือเชื่อใจหุ้นเพียงตัวใดตัวหนึ่ง แต่ควรจะมีการกระจายความเสี่ยงไปหลายๆตัว เมื่อมาลงทุนในกองทุนรวมก็เช่นกัน แม้จะมีการกระจายความเสี่ยงของตัวหุ้นแล้วในกองทุนนั้นๆ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงของผู้จัดการกองทุน อยู่ดี แม้ว่ากองทุนนั้นๆจะเป็นกองทุนแบบ Index Fund ความเสี่ยงก็ยังมีคือ tracking error ที่ ผู้จัดการกองทุนนั้นๆ บริหารนั้นเอง สิ่งหนึ่งที่หากจะเลือกเดินทางโดยฝากเงินลงกองทุนตราสารทุน คงต้องศึกษาถึงนโยบายการลงทุนของกองทุน ประวัติผู้จัดการกองทุน ระบบควบคุมความเสี่ยง ของ บลจ.นั้นๆด้วย จากคุณ : Tanyapot เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 11:19:18

ความคิดเห็นที่ 11 เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ หุ้นที่ผันเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าออกในกลุ่ม SET 50 ,SET100 ตลาดหลักทรัพย์ฯ  ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนี  SET50 และดัชนี SET100 เริ่มใช้ 1 ม.ค. 54 ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 14 ธันวาคม 2553 17:19:00 น. .expanded { width: 620px; z-index: 9999; } กรุงเทพฯ--14 ธ.ค.--ตลท. นางเกศรา มัญชุศรี ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้คัดเลือกหลักทรัพย์ชุดใหม่ โดยใช้ข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ย้อนหลัง 12 เดือน (1 ธันวาคม 2552 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553) และข้อมูลมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดย้อนหลัง 3 เดือน สำหรับการคำนวณดัชนี SET50 และดัชนี SET100 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2554 โดยหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้คำนวณดัชนี SET50 ครั้งนี้ มีหลักทรัพย์ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาใหม่ 6 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) บมจ. ไดนาสตี้เซรามิค (DCC) บมจ. ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) บมจ. ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) และ บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ส่วนดัชนี SET100 มี 3 หลักทรัพย์ใหม่ ได้แก่ บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) บมจ. กุลธรเคอร์บี้ (KKC) และ บมจ. สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) (SMT) สำหรับหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 50 ลำดับแรกจะใช้ในการคำนวณดัชนี SET50 ขณะที่หลักทรัพย์ 100 ลำดับแรกจะใช้ในการคำนวณดัชนี SET100 โดยมีหลักทรัพย์ 5 ลำดับถัดมาเป็นหลักทรัพย์สำรอง 5 หลักทรัพย์ สำหรับดัชนีแต่ละชุดด้วย ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ และวิธีการคำนวณดัชนี พร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/th/set50 หรือโทร. S-E-T Call Center 0-2229- 2222   0-2229- 2222      จากสถิติ หุ้นที่เข้า Set50 รอบใหม่ หากซื้อก่อนเข้าไปคำนวณใน Set สัก 1 เดือน จะได้ผลตอบแทน 7.3% และหากถูกตัดออกจาก Set50 จะปรับตัวลง 4% หุ้นที่จะเข้า Set 50: BTS, SSI, ROBINS, STA, DCC, KK หุ้นที่ออกจาก Set 50: TTA, BCP, HANA, QH, PSL, KSL ส่วนหุ้นที่จะคัดเข้า SET100 นั้นควรซื้อแค่ราวๆ 2สัปดาห์ ก่อนที่จะถูกคำนวณ หรือช่วงที่ตลาดประกาศ (ราวๆกลาง ธค.) เพราะนักลงทุนให้ความสนใจ < SET50 ผลตอบแทนเฉลี่ยของ SET100 อยู่ที่ 2.6% เอง หุ้นที่จะเข้า Set 100: GLOBAL, KGI, SMT, KKC หุ้นที่ออกจาก Set 100: SC, BMCL, KYE, MILL ( เรื่องปวดหัวพวกนี้ ให้ Fund Manager เค้าทำแทนครับไม่ต้องปวดหัว) เมื่อหุ้นใน SET50 เปลี่ยน / กองทุนที่ลงทุนในกลุ่ม SET50 ก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยครับ ดังนั้นการซื้อจึงมีทิศทางตามตลาด เพียงแต่เราไม่ได้ต้องมานั่งค้นคว้าว่าตอนนี้อะไรเข้า อะไรออก ปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนเค้าคิด เรามีหน้าที่รับเงินปันผล อย่างเดี่ยวครับ ... (ในความเป็นจริง เราก็ต้องดูเป็นระยะๆครับ) *ปัญหาของผู้ที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมคือ เราต้องศึกษาข้อมูล นโยบายการลงทุนของกองทุนในแต่ละกอง แต่ละ บลจ. ให้เข้าใจเสียก่อนก่อนการลงทุนทุกทุกครั้งครับ หลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ใน SET50 Index และ SET100 Index (สิงหาคม 2553) : มีผลบังคับใช้ในการคัดเลือกดัชนีเดือนธันวาคม 2553 สำหรับดัชนีรอบปี 2554 http://www.set.or.th/th/products/index/files/201008_SET50100_Selection_Criteria_TH2.pdf จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 11:25:29

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ ห ล่ อ ทุ ก อ ณู รู ขุ ม ข น ใช้เวลาประมาณกี่ปีครับถึงจะมาถึงจุดนี้ได้ จากคุณ : ดีเจน้อย เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 11:55:02

ความคิดเห็นที่ 13 ถึง คห.12 ผมลงทุนมาประมาณ 4 ปี กว่า ๆ แต่ เงินปันผล .. ผมไม่เคยเอาใช้ซักบาทเลยนะ .. ได้มา ก็เอาไปซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มตลอด เรียกได้ว่า "ผลตอบแทนทบต้นเต็มที่"  .. ช่วงแรก ๆ อาจจะลำบากนิดนึง เพราะเงินเดือนได้มา ก็ต้องประหยัด อดออม เพื่อเอามาซื้อหน่วยลงทุน .. เงินปันผลที่ได้มาในแต่ละครั้ง ก็ต้องเอาไปซื้อหน่วยลงทุนทุกบาท ทุกสตางค์ .. หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า ถ้าได้เงินปันผลแล้วไม่เอามาใช้ จะลงทุนไปทำไมให้เสียเวลา .. ตอนแรก ผมก็คิดแบบนั้นนะ .. แต่พอมาถึง ณ. วันที่เรา ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเงินเดือนอีกต่อไป .. แค่เงินปันผลอย่างเดียว ก็สามารถอยู่ได้ทั้งเดือน แล้วยังเหลือมากพอที่จะเอาไปลงทุนเพิ่มได้อีก .. แค่นี้ ผมว่าก็ถือว่าเติมเต็มความฝันของผมแล้วครับ สำหรับคำว่า  "อิสระภาพทางการเงิน"  ... (อ่อ ค่าใช้จ่ายผมในแต่ละเดือน มันไม่ค่อยเยอะ .. เลยลงทุนได้เต็มที่หน่อย) ึผมคิดว่า ตัวเองก็คิดถูก ที่ลงทุนกับกองทุนหุ้น ที่มีปันผล .. ไม่ต้องเหนื่อยกับการติดตามข่าวสารมากนัก หรือ ต้องมานั่งซื้อ-ขาย บ่อย ๆ .. สำหรับผม ลงทุนยาว ๆ กินเงินปันผลอย่างเดียว สบายใจกว่า  อิ อิ .. จากคุณ : ห ล่ อ ทุ ก อ ณู รู ขุ ม ข น เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 13:28:41

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณ คุณ superman 2007 หวังว่ายัง คงจำกันได้ สำหรับคำแนะนำ คำอธิบาย สำหรับเรา และกับผู้อื่น โชคดีมีความสุขมากๆน่ะ จากคุณ : todayissunday เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 13:57:50

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณครับคุณ superman2007 ถ้าเข้าใจไม่ผิด กองทุนนี้คือ TMB50DV ซึ่งลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ SET50 มากที่สุด หมายความว่าถ้า SET50 ยังอยู่ แม้จะตกต่ำแค่ไหน (สมมติเหลือแค่ 50 จุด) กองทุนนี้ก็จะยังคงอยู่ ไม่มีการปิดกองทุน เพื่อรอวันที่ SET50 กลับมาผงาดอีกครั้ง ผมเข้าใจถูกไหมครับ ? คือกลัวน่ะครับ กลัวเหมือนตอนปี 40 ที่มีการสั่งปิดกองทุน เพราะแผนการของผมตอนนี้คือยิ่งลงจะยิ่งซื้อสะสมด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้นเรื่อยๆน่ะครับ ดังนั้น NAV จะลงแค่ไหนผมไม่กลัว แค่ขอความมั่นใจว่ากองทุนจะไม่ปิดตัวลงไปซะก่อน, ไม่ใช่ว่ากำลังสะสมในขณะที่กำลังขาดทุนทางบัญชี (เพราะซื้อถัวขาลง) อยู่ดีๆกลายเป็น realise loss ขึ้นมาซะงั้นเพราะกองทุนถูกปิด กลัวจุดนี้จุดเดียวเลยจริงๆ NAV จะเหลือ 0.0001 ก็ไม่กลัวนะครับ อย่าปิดกองก็แล้วกัน อิอิ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 54 14:23:30 จากคุณ : We are X . เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 14:22:43

ความคิดเห็นที่ 16 ยังจำได้ครับ คุณ todayissunday : ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเสมอครับ / การลงทุนทุกอย่างดีหมด ส่วนการกำหนดวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายก็แล้วแต่บุคคล ภายใต้การลงทุนอย่างพอเพียง อย่างรอบครอบ อย่างเข้าใจครับ สวัสดีครับ คุณ We are X . เรื่องกังวลเกี่ยวกับการขาดทุนของกองทุน ถ้าเปรียบเทียบสมัยนี้กับอดีต ปัจจุบันมีเงื่อนไขของการดำเนินธุรกิจแตกต่างจากเมื่อก่อนของบริษัทที่จดทะเบียน ทั้งนอกหรือในตลาด มันมีกฏเกณฑ์มากขึ้น ข้อบังคับจากการที่วัวหายแล้วล้อมคอกจากครั้งเศรษฐกิจต้มยำกุ้งครับ สถาบันการเงิน การธนาคารเรามั่นคงขึ้น โอกาสเกิดแบบในอดีตมี % ที่น้อยจริงๆ ตัวอย่าง / ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ แล้วจะจำประเด็นได้ว่าทำไมระบบสถาบันการเงินเราถึงมั่นคงขึ้นกว่าแต่ก่อน มาตราที่ 5 6 7 8 9 10 11 12 13     :: พระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 มาตราที่ 5-13 :: หมวด 2 การจัดตั้ง ทุน และเงินสำรอง มาตรา 5 ให้จัดตั้งธนาคารกลางขึ้น เรียกว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อรับมอบการออกธนบัตรจาก กระทรวงการคลัง และประกอบธุรกิจอันพึงเป็นงานธนาคารกลางตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้และพระราช กฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 6 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล มาตรา 7 ให้กำหนดทุนประเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนยี่สิบล้านบาท และธนาคารแห่ง ประเทศไทยจะได้รับเงินจำนวนนี้จากรัฐเป็นการอุดหนุน มาตรา 8 ทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น จะเพิ่มหรือลดก็ได้โดยอนุมัติของรัฐบาล แต่จำนวนทุนทั้ง สิ้นไม่ว่าในขณะใดต้องไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาท มาตรา 9 เงินสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทยให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาดทุน และนอกจากนี้จะให้มีเงินสำรองประเภทอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะก็ได้ ตามแต่คณะกรรมการจะ ตั้งไว้โดยอนุมัติของรัฐมนตรี โดยสะสมขึ้นด้วยการจ่ายจากกำไรสุทธิในปีหนึ่ง ๆ มาตรา 10 เงินสำรองธรรมดานั้นให้สะสมขึ้นด้วยการจ่ายจากกำไรสุทธิในปีหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนร้อยละ ยี่สิบห้าแห่งกำไรสุทธิ ภายหลังที่ได้กันเงินไว้แล้วสำหรับหนี้ซึ่งทวงไม่ได้ และซึ่งเป็นที่สงสัยประการหนึ่ง สำหรับ การเสื่อมค่าแห่งสินทรัพย์ประการหนึ่ง และสำหรับรายจ่ายซึ่งนายธนาคารย่อมกันเงินไว้จ่ายตามปกติอีกประการ หนึ่ง เมื่อเงินสำรองธรรมดามีจำนวนถึงร้อยละร้อยแห่งทุนจำนวนลัพธ์หรือมากกว่านั้นแล้ว คณะกรรมการจะ ลดจำนวนที่ต้องจ่ายรายปีเพื่อสะสมก็ได้ มาตรา 11 กำไรสุทธิส่วนที่เหลือภายหลังที่ได้หักจ่ายเป็นเงินสำรองธรรมดาและเป็นเงินสำรองประเภท อื่นที่คณะกรรมการอาจตั้งไว้ตาม มาตรา 9 แล้วให้นำส่งเป็นรายได้เบ็ดเสร็จของรัฐทุกปี มาตรา 12 ให้สินทรัพย์และหนี้สินของสำนักงานธนาคารแห่งชาติโอนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย และสินทรัพย์ส่วนที่เหลือ เมื่อหักหนี้สินนั้นออกแล้วให้จ่ายเป็นเงินสำรองธรรมดาของธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรา 13 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ในพระนคร และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในราชอาณาจักรก็ได้ และเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีแล้วจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้นในต่างประเทศก็ได้ ผมอาจจะพูดไม่หมด หรือไม่ครอบคุมกองทุนฯตราสารแห่งทุนทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทย หรือเท่าที่เราสามารถซื้อหาได้ ... นโยบายการลงทุนมีแตกต่างกัน บ่อยๆครั้งเราอาจเห็น ผู้จัดการกองทุนโดนชอบกรณี inside พอร์ตลงทุน ซื้อหุ้นดักหน้ากองทุนที่บริหารอยู่ กรณีแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับกองทุนแบบ Active (Active Fund) : เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนโดยการมุ่งเอาชนะดัชนีตลาด ต้องระวัง เพราะมุ่งเน้นให้น้ำหนักกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง “กองทุนที่มีการบริหารเชิงรุก (Active Fund)” ที่ใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้นที่ดีเพื่อลงทุนจะเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น ทั้งนี้จะเห็นว่าผลตอบแทนของกองทุนหุ้นในปีนี้ที่มีผลงานที่ดีจะเป็นกองทุนหุ้นที่เป็น Active Fund กองทุนดัชนีจะสามารถทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดีเพราะมีนโยบายที่จะสร้างผลตอบแทนให้เกาะไปกับตลาดหุ้นอยู่แล้ว ในขณะที่กองทุนหุ้นที่เป็น Active Fund ส่วนใหญ่จะแพ้ดัชนีกัน เพราะในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นมากๆ นั้น ผู้จัดการกองทุนซึ่งบริหารกองทุนหุ้นแบบ Active Fund จะต้องหาจังหวะขายทำกำไร ณ จุดใดจุดหนึ่งในช่วงที่ราคาหุ้นกำลังปรับตัวขึ้น เหมือนช่วงต้นปี 2552 ประมาณเดือนมี.ค.-พ.ค. หุ้นขึ้นมาประมาณ 50% ในแง่ผู้จัดการกองทุนต้องขายอยู่แล้ว เมื่อขายหุ้นแล้วก็ต้องหาจังหวะลงทุนใหม่อีกครั้ง ในขณะที่กองทุนดัชนีที่เป็นลักษณะของ Passive Fund นั้น จะสร้างผลตอบแทนเคลื่อนไหวไปตามดัชนี Passive Fund ตอบโจทย์ในระยะยาว : ตัวอย่างกองทุนที่มักมี word ว่า "SET50 ,SET100" คุณเชื่อหรือไม่ว่า กองทุนหุ้น Active Fund มีผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันมาก ทั้งที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเหมือนกัน ในขณะที่กองทุนดัชนี SET50 ที่ผู้จัดการกองทุนทำงานน้อยกว่ากองทุนหุ้นแบบ Active Fund กลับสามารถสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดีเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้พบว่าผู้จัดการกองทุนหุ้นกว่าครึ่งประมาณ 50% ลงทุนแพ้กองทุนดัชนี SET50   อย่าเชื่อผมต้องไปหาคำตอบของคุณเอง ดังนั้น ในปีไหนที่หุ้นขึ้นมากๆ Active Fund จะแพ้  Passive Fund แต่ในปีไหนที่หุ้นนิ่งไม่ค่อยไปไหนเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน ต้นปีอยู่ 750 จุด ปลายปีอยู่ 800 จุด แบบนี้ กองทุนหุ้นแบบ Active Fund จะได้เปรียบกว่าเพราะผู้จัดการกองทุนสามารถจับจังหวะลงทุนจากความผันผวนของตลาดเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนได้ ในขณะที่กองทุน Passive Fund ลงทุนไปทั้งปีอาจจะแค่เสมอตัวเพราะตลาดหุ้นไม่ไปไหน “แต่ตลาดหุ้นทุกที่ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่พัฒนาแล้วหรือตลาดที่กำลังพัฒนาตลาดหุ้นก็ไม่ได้ผันผวนทุกปี ถ้าผันผวนทุกปีจะกลายเป็นตลาดเกิดใหม่หรือตลาดฟรอนเทียมาร์เก็ตไปซึ่งนักลงทุนสถาบันจะไม่ค่อยเข้าไปลงทุนเพราะพื้นฐานไม่ค่อยมี แต่ตลาดหุ้นโดยทั่วไปแล้วก็จะมีปีที่ตลาดขึ้น บางปีมีลง บางปีผันผวน ผสมผสานกันไป ถ้าปีไหนตลาดผันผวนหรือเป็นตลาดขาลง Passive Fund ก็จะแย่หน่อย” แต่สำหรับผม ซื้อสะสม / ลดความเสี่ยงอย่างด้วยระยะเวลา แบบ   จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 17:21:36

ความคิดเห็นที่ 17 Active Fund VS Passive Fund   จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 17:42:33

ความคิดเห็นที่ 18 แต่เวลาที่หุ้นเริ่มวิ่ง หรือเป็นขาขึ้นดูแล้ว Passive จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งถ้าเป็นขาลงก็ตรงกันข้ามล่ะครับ จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 17:48:27

ความคิดเห็นที่ 19 สุดยอด ขอบคุณมากครับคุณ superman2007 จากคุณ : We are X . เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 19:21:46

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ superman2007 จะว่าอะไรไหม? ..ในบางโอกาส เราจะขอ ปรึกษา คุณ ทางหลังไมค์ ขอบคุณมากๆ ค่ะ จากคุณ : todayissunday เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 21:16:18

ความคิดเห็นที่ 21 ตามมาดูบทความดีดีครับ ไม่ทราบว่าคุณ superman2007  เล่นตัวเดียวเลยหรือป่าวครับ หรือว่ามีเล่นตัวอื่นด้วย ที่ว่าปันผลออกแล้วซื้อใหม่ หมายถึง พอออกวันนี้ปุ๊บ ซี้อวันนี้เลยหรือว่าซื้อพรุ่งนี้ครับ อยากมีอิสระภาพแบบคุณ superman2007  บ้างคงไม่ว่ากันนะครับ ตามมาเก็บความรู้ แต่ก็มีข้อสงสัยครับ จากคุณ : กิติวัตร เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 21:28:25

ความคิดเห็นที่ 22 มีอยู่ 2 บลจ. ครับ TMBAM 1 กองทุน AYF 3 กองทุน เป็น Passive 3 ,Active 1 +มีนโยบายปันผลทั้งหมด ผมยังไม่ถึงขั้นหรอกครับ แต่ลงทุนผ่านกองทุนรวมมาหลายปี ซื้อสะสมมาเรื่อยๆ คิดว่าอีกสัก 5 ปีเงินปันผลน่าจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงเป็น k.ห ล่ อ ทุ ก อ ณู รู ขุ ม ข น ^_^ #20,#21 ยินดีแลกเปลี่ยนความรู้เช่นกันครับ ถ้าข้อมูลผมเป็นประโยชน์ผมจะดีใจมากๆ แบ่งปันกัน จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 22:36:33

ความคิดเห็นที่ 23 ขอขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ ...สิ่งที่ผมได้มาตอนนี้คือ เป้าหมายและแนวทางสำหรับตัวเองที่ค่อนข้างชัดเจนในอนาคตการลงทุนจากประสบการณ์ของทุกท่านครับ และจะมุ่งสู่เป้าหมายอย่างแน่วแน่ตามรุ่นพี่ครับ... จากคุณ : sikaew เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 00:33:56

ความคิดเห็นที่ 24 นานๆจะเห็นกระทู้คุยเรื่องกองทุนรวม ขอบคุณ sikaew ที่เปิดกระทู้ขึ้นมา ขอบคุณ superman2007 ที่มาให้ข้อมูล จากคุณ : areewan เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:38:17

ความคิดเห็นที่ 25 คนส่วนใหญ่ จะเลือกลงทุน  จนกว่าจะมีผลตอบแทน หรือ เงินปันผล  ให้มากกว่า เงินเดือนประจำ .. ซึ่งก็ไม่ผิดแต่อย่างใด (ถ้าทำได้ ก็ยิ่งดี) .. แต่ ยิ่งบางคนที่เงินเดือนสูงมาก ๆ .. กว่าจะปันผลให้ได้มากกว่าเงินเดือนประจำ .. ก็นานอยู่นะ ลองเปลี่ยนเป็น .. ในเบื้องต้น ลงทุนให้ได้เงินปันผล  มากกว่าค่าใช้จ่ายรายเดือน .. (ถ้าเป็นแบบนี้ จะมี "อิสระภาพทางการเงิน"  ได้เร็วกว่ารอให้เงินปันผลมากกว่าเงินเดือนประจำ) ที่สำคัญเลย ก็คือว่า .. เราต้องรู้ตัวเองว่า (หรือคิดเผื่ออนาคต) .. วันนึงที่เราไม่ได้ทำงานประจำแล้ว .. ไม่ต้องเสียค่ารถในการเดินทางไปทำงาน .. ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไร้สาระ .. อยู่บ้านพักผ่อน .. หรือ ทำงานในแบบที่เรามีความสุข และ ไม่ต้องเหนื่อยกับการทำงานทุกวัน .. ถ. วันนั้น .. ค่าใช้จ่ายจริง ๆ ของเรา .. จะเป็นเท่าไหร่ (ตามมาตรฐานชีวิตปกติของเรา) .. เราก็ลงทุนให้ได้เงินปันผล  มากกว่าค่าใช้จ่าย  ในตอนนั้น ก็เพียงพอแล้วครับ .. (เร็วด้วย เหนื่อยน้อยกว่าด้วย .. มีความสุขได้เหมือนกัน) ยก ตัวอย่าง  ของผมเอง .. ตอนที่เริ่มลงทุนใหม่ ๆ .. ตอนนั้น ผมมีเงินเดือนประจำน้อยมาก คือ  10,000 บาท  .. วิธีบริหารเงินของผมคือ .. เก็บไว้ใช้จ่ายรายเดือน 5,000 บาท .. อีก 5,000 ที่เหลือ ก็ไว้ออม และ ลงทุน เป็นอย่างนี้ทุก ๆ เดือน .. จนกระทั่ง ผมลงทุนจนได้เงินปันผล เฉลี่ยต่อเดือน มากกว่า  5,000  บาท .. ผมก็ตัดสินใจขอลาออก .. ลาออกมาอยู่บ้านได้  1  เดือน .. ถึงได้รู้ว่า .. จริง ๆ แล้ว  ตัวผมเอง .. ใช้จ่ายจริง ๆ เวลาที่ออกจากงาน ไม่ทำงาน ไม่ฟุ่มเฟือย .. ซึ่ง ค่าใช้จ่ายจริง ๆ แค่  ไม่เกิน  1,500 บาท ต่อเดือน .. เงินปันผลที่ได้มา หลังหักค่าใช้จ่ายรายเดือนแล้ว ที่เหลือทั้งหมด .. ผมก็เอาไปซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม .. ก็ทำวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ เดือน .. แต่สุดท้าย .. ญาติผม ก็ขอให้ผมกลับไปช่วยทำงาน เพราะที่บริษัท คนมันน้อย เค้าเลยอยากให้อยู่ช่วยก่อน .. ทุกวันนี้ ก็เลยยังต้องทำงานประจำอยู่ .. แต่มันก็ดีหน่อยตรงที่ พออยู่ไปนาน ๆ เข้า เงินเดือนมันก็ปรับขึ้น .. (แต่จริง ๆ อ่ะ ณ. ตอนนี้ อยากลาออก มาพักผ่อน และ เป็นนักลงทุนเต็มตัวแล้ว) ก็นี่แหละครับ .. คือ ประสบการณ์จริงของผม .. ทุกวันนี้ เฉพาะเงินปันผลอย่างเดียว ก็มากกว่าเงินเดือนประจำแล้ว .. ถึงได้รู้สึกจริง ๆ ว่า .. "อิสระภาพทางการเงิน"  ที่แท้จริง มันเป็นแบบนี้นี่เอง .. ขอให้โชคดีมี "อิสระภาพทางการเงิน"  ทุก ๆ คน นะครับ .. แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 54 09:47:44 จากคุณ : ห ล่ อ ทุ ก อ ณู รู ขุ ม ข น เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 54 09:39:38

ความคิดเห็นที่ 26 ยิ่งใช้น้อยเท่าไหร ยิ่งมี "อิสระภาพทางการเงิน" เร็วขึ้นเท่านั้น ผมเข้าใจถูกมั๊ยครับ ^^ ไม่จำไปต้องมีรายได้วันละหมื่น วันละแสน แค่ให้พอใช้จ่ายในแต่ละวัน แต่ละเดือน และเหลือเก็บบ้างพอประมาณ แค่นี้ชีวิตก็สุขขี ยิ่งแล้วครับ จากคุณ : Darkdeo เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 54 23:37:26