PANTIP.COM : I10555819 จับตาโภคภัณท์ให้ดีน่าจะมีอะไรแปลกๆ [การลงทุน]

ความคิดเห็นที่ 23

กรรม เราดันมา หมาหอน ในกระทู้วิชาการ โดนคุณ ever ว่าเลย T^T

เอาหละมาเข้าเรื่องแบบวิชาการบ้างดีกว่า

เรื่องผลประกอบการผมว่ามันมาอยู่ในช่วงจังหวะที่มันไม่ดีด้วยมันเลยร่วงอย่างที่เห็น
เมื่อช่วงศุกร์ที่แล้วก็โดนถล่มไปเละตั้ง -23 จุด (ฉลองวันเกิดผมพอดี) เพราะในคืนวันที่ 5 commodity มันร่วง -10% กว่าๆ ทั้งนั้น
และหลังจากนั้นพวกน้ำมันและสินค้าต่างๆก็พยายามรีบาวด์กลับ วันจันทรฺ์ อังคาร พุธ เปิดมาก็เลยเขียวปร้าดกระฉูด +50 จุดอย่างที่เห็น
และในคืนวันที่ 12 (คืนของเช้าวันที่ 12) มันก็กลับไปลงอีกรอบ คราวนี้ลงไม่แรงคือประมาณ -5% (แต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดา)
สภาพตลาดหุ้นก็เลยเละแบบเบาๆ -14 จุดไปเมื่อวันพฤหัส ส่วนวันศุกร์น้ำมันและสินค้าต่างๆก็พยายามรีบาวด์กลับ แต่ขึ้นได้แค่นิดหน่อย
วันนี้เลยยังคงเจอแรงเทขายอยู่ในกลุ่มพลังงาน ดังนั้นผมมองว่าผลประกอบการมันออกมาในช่วงที่ตลาดยังปั่นป่วนอยู่ แม้ว่าผลประกอบการ
จะออกมาหรูและสวยจริง แต่มันมาในช่วงเดียวกับ commodity กำลังร่วงลงจากแรงเทขายของต่างประเทศ ประเด็นที่ตลาดจะโฟกัส
จึงไปในส่วนของราคา commodity มากกว่าผลประกอบการ ... ซึ่งถ้าสถานการณ์เรื่อง commodity ของฝั่งอเมริกาเริ่มคลายไป
แล้วไปโฟกัสในเรื่องอื่น จนราคาสินค้าเหล่านี้ขึ้นลงไปตามปกติของมันทีละนิดละหน่อย ตลาดจะคลายประเด็นนี้ออกไปแล้วไปมองผลประกอบการแทน

ผลประกอบการที่โดดเด่นในกลุ่มพลังงานโดยส่วนใหญ่นั้นแม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ แต่ก็น่าจะมีผลทั้ง Q1 และ Q2 /54 เพราะ ณ เวลานี้
น้ำมันก็ยังอยู่ระดับ 95 เหรียญ + ถ้าอยู่ในระดับนี้ผมมองว่าอัตรากำไรเติบโตยังมีได้อยู่เพราะสตอคน้ำมันของเรายังคงมีมากเพียงพอ
ที่จะสร้างกำไรได้ถึง Q2 ส่วน Q3 Q4 ก็ต้องดูราคาน้ำมันต่อไป ถ้าราคาน้ำมันโลกถูกลง แต่น้ำมันในประเทศลดลงไม่ได้สัมพันธ์กัน
ก็น่าจะทำให้ยังคงมีกำไรสุทธิสูงกว่าปีที่แล้วเช่นเคย ดังนั้นปีนี้จึงเป็นปีสำหรับกลุ่มพลังงานอยู่ดี ส่วนในวันนี้ผมเชื่อว่าที่มันลงกันเพราะเมื่อวาน
ต่างชาติและกองทุน short TFEX เอาไว้เยอะมาก รวมสองกลุ่มนี้น่าจะ 7 พันสัญญาเห็นจะได้ ซึ่งในช่วงเย็นเมื่อวันนั้นราคา commodity
ยังไม่นิ่งและยังลง ทองก็ลงแรง น้ำมันก็ลง ตลาดยุโรปก็ร่วง แม้กระทั่งดาวโจนส์เองเปิดมาก็ร่วง หลังจากนั้นก็ค่อยๆรีบาวด์กลับ
เหตุเพราะเบอร์นันเก้แถลงลดอัตราดอกเบี้ยอะไรซักอย่าง (ผมจำเนื้อข่าวไม่ได้ขออภัย) เมื่อคืนดาวก็เลยจาก -50 จุดกว่าๆ รีบาวด์มาเป็น +50 ได้
ส่วนตลาดยุโรปก็รีบาวด์กลับมาเช่นกัน ประเด็นคือพอตลาดเปลี่ยนความสนใจไปในเรื่องอื่น ประเด็นอื่นมาเป็นหลักแทน ของเก่าเขาก็จะลืมกันไป

ดังนั้นตลาดลงในวันนี้น่าจะเป็นเพราะทั้งสองกลุ่มนี้ยังคง short เอาไว้เยอะ แต่สถานการณ์ในช่วงกลางคืนมันเปลี่ยน เริ่มพลิกกลับ
ถ้าต่างชาติและกองทุนไม่ทุบลงมาปิดสถานะ เขาก็ต้องขาดทุนแน่ๆ รวมถึงเป็นช่วงวันหยุดยาวในไทย สถานการณ์เหล่านี้กองทุนและต่างชาติ
ไม่ค่อยไว้ใจเรื่องวันหยุดยาวซึ่งอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ดังนั้นเขาจึงขายไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่โดยส่วนตัวผมว่าในไทยเอง
ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร เพราะการออกมาชุมนุมของกลุ่มใดๆ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ในการหาเสียงเลือกตั้ง
ช่วงนี้ทุกฝ่ายจึงต้องทำตัวให้ดีและงดงาม พร้อมกับชูนโยบายเลือกตั้งต่างๆให้ได้ดีที่สุดเพื่อรอเลือกตั้ง แต่ต่างประเทศก็ไม่อาจทราบได้
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ เพราะปัจจัยภายนอกไม่เหมือนกับปัจจัยภายในประเทศเราในตอนนี้ ส่วนผมเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ รับท้ายตลาดมา 1 ใน 3
ของเงินในพอร์ท ส่วนอีก 2 ใน 3 ถ้าวันพุธเปิดมาเขาซื้อคืนกันเพราะคลายความวิตก ผมก็จะ follow trend ไป แต่ถ้าไม่
ยังไงซะผมก็จะมีทางเลือกคือ cut ทิ้ง หรือ ซื้อถัวได้ ก็แล้วแต่สถานการณ์เหมือนกัน (อย่างน้อยก็ไม่ตกรถ แต่ก็ไม่ประมาท)

ส่วนเรื่องความไม่สงบในตะวันออกกลาง ปัจจุบันนี้ก็ยังยิงกัน ประท้วงกันอยู่ตามปกติ แต่ถามว่าคนสนใจหรือไม่ ก็ไม่สนใจ
เพราะมันเป็นประเด็นเดิมๆตลาดรับรู้ไปแล้ว จะไปสนใจกันอีกทีก็เมื่อมีความรุนแรงมากขึ้น น้ำมันก็จะขยับสูงขึ้นตาม ในช่วงนี้ราคาน้ำมันจะถูกลง
แต่คนก็จะเริ่มกลับมาใช้กันมากขึ้น OPEC โดยเฉพาะซาอุคงลดปริมาณการผลิตลงด้วยเหตุผลว่ามีปริมาณความต้องการน้อยจึงต้องรักษาสมดุล
เมื่อนั้นราคาน้ำมันก็จะค่อยๆทะยานกลับขึ้นมาอีกรอบ ผมมองว่าเรื่องสินค้า commodity ยังคงไม่จบง่ายๆในรอบนี้ และกระแสเงินทุนต่างชาติ
ที่เข้ามาทำ carry trade ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าลงได้อีกและเงินต่างชาติยังคงน่าจะมาในตลาดหุ้นมากขึ้น
จนกว่าจะหยุด QE2 ในเดือน มิ.ย. หลังจากนั้นก็ต้องประเมิณกันอีกครั้งว่าเพราะอะไรยังไงต่อไป โดยทั่วไปในเดือนนี้ผมยังมองว่าตลาด
น่าจะมีโอกาสซิกแซกขึ้นไปได้ แต่ไม่มากเพราะราคาโดยทั่วไปสะท้อนพื้นฐานอยู่ในราคาเหมาะสมแล้ว แต่จะให้ตกร่วงลงมาแรงๆ
ก็ไม่มีปัจจัยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเหมือนกัน ดังนั้นตลาดในช่วงนี้ผมมองดูแล้วน่าจะดูอึดอัด ขึ้นลงในกรอบแคบๆ บางตัวขึ้นก็ไม่ขึ้นลงก็ไม่ลง

อย่างไรก็ดีพิจารณาข้อมูลการลงทุนให้รอบคอบนะคร้าบ ผมก็แค่แสดงทัศนคติส่วนตัวเฉยๆอะ

จากคุณ : venezier

เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 20:52:56

ความคิดเห็นที่ 29

ผมคิดว่าจริงๆเขาก็ไม่ต้องใช้ยาแรงขนาดนั้นเพื่อให้ค่าเงิน USD กลับไปแข็งค่าก็ได้ครับ การทำแบบนี้ก็มีผลแค่ในระยะสั้นๆเท่านั้น
เพราะถึงอย่างไรพื้นฐานที่มันยังไม่เปลี่ยนนักลงทุนก็ยังคงมองที่อื่นอยู่ดี มันเป็นเพียงผลระยะสั้นๆที่ใช้วิธีการแบบนี้ได้
แต่เงิน USD ผมว่าในช่วงกลางปี-สิ้นปี เมื่อ QE หมดรวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐ น่าจะเริ่มฟื้นและดูดีมากขึ้น น่าจะเป็นผลทำให้
เงินดอลลาร์ส่วนหนึ่งไหลกลับไปทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ที่มันอ่อนลงเป็นผลมาจากมาตรการ QE ซึ่งทางสหรัฐคงทราบกันดี
อาจเป็นไปได้ว่าเริ่มจะ short กันไว้เพื่อเตรียมตัวเพราะเมื่อทุกอย่างเริ่มดีขึ้น commodity จะต้องเริ่มราคาลดลง
เหตุและปัจจัยเหล่านี้ที่ทำให้เกิดความผันผวนของตลาด commodity คือเรื่องของมาตรการ QE ล้วนๆซึ่งมันมีเม็ดเงินปริมาณมหาศาลมาก

ส่วนกองทุนต่างๆผมยังไม่ได้รู้สึกว่าเขาน่ากลัวเท่าไหร่เพราะที่ผ่านมาเขาก็ดำเนินการลงทุนไปตามทิศทางเศรษฐกิจอยู่แล้วซึ่งไม่น่า
จะตุกติกเล่นอะไรกันจนทำให้เจ๊งกันไปทั้งโลก เหมือนกับการลงทุนเมื่อเขาคิดว่าลงทุนที่อื่นเมื่อเทียบกับความเสี่ยงและผลตอบแทน
ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า น่าจะมีผลดีในการลงทุน ส่วนสหรัฐและประเทศอื่นๆที่เขาฟื้นตัวและมีศักยภาพแล้ว อัตราการเจริญเติบโต
และผลประกอบการต่างๆจะลดต่ำลง (Upside Gap มันน้อยลง เพราะบริษัทไปไกลจนเกือบถึงจุดสุดยอดแล้ว)
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์และบ้านซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วโดยมากสินทรัพย์เหล่านี้มันเริ่มชะลอการเติบโตแล้ว
เทียบกับสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีคงไม่ได้ซึ่งมีความสามารถที่จะเติบโตได้มากกว่า หรือสินค้ากลุ่มอาหารที่นับวันยิ่งความต้องการเพิ่มตามจำนวนประชากร
ธุรกิจพวกนี้จะมีอัตราการเติบโตขึ้นไปตามประชากร ยิ่งโดยเฉพาะแค่ทำอาหารส่งขายจีนกับอินเดีย ตอนนี้จีนกำลังมาแรง ส่วนอินเดีย
เป็นประเทศดูยากจนก็จริง คล้ายๆกับไทยคือมีส่วนห่างของฐานะและชนชั้นกันเยอะ แต่เมื่อคนเริ่มฐานะดีขึ้น เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น
อินเดียเองก็จะมามีความต้องการอาหารและสินค้าต่างๆมากขึ้นไปอีก

--- นอกเรื่อง ---

ส่วนตัวผมมองว่าอินเดียเองเป็นคู่ค้าที่ไทยควรโฟกัสให้มากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าจำนวนประชากรในโลกตอนนี้จากสถิติและรายงาน
น่าจะเป็นตัวเลขตกหล่น ณ ตอนนี้เรามีประชากรโลกกว่าเกือบ 7 พันล้านคนตามรายงาน แต่ผมเชื่อว่ามากกว่านั้น ... แต่มันมีเหตุผล

อย่างในจีนประชากรตามรายงานเขาค่อนข้างชัดเจนเพราะเขาทำรายงานทุกอย่างขึ้นตรงต่อรัฐบาล รัฐบาลควบคุมข้อมูลส่วนนี้ได้ทั้งหมด
ชาวจีนเกินกว่า 50% "ไม่มีศาสนา" เหตุผลตรงนี้สำคัญ เพราะรัฐบาลจีนเริ่มควบคุมจำนวนประชากรให้มีลูกน้อยลง ให้มีการคุมกำเนิดมากขึ้น
และเชื่อหรือไม่ว่าชาวจีนเวลาที่มีลูกและอัลตราซาวด์ ถ้าเป็นลูกผู้หญิงเขาทำแท้งกันเลยก็มี เพราะต้องการลูกผู้ชายซึ่งมีอภิสิทธิ์ต่างๆมากกว่า
แม้ว่าจะดูโหดร้าย แต่ก็เป็นความจริงว่าตอนนี้มนุษย์เริ่มล้นโลก อย่าลืมว่าเรื่องนี้จีนเขาค่อนข้างจริงจังเพราะจำนวนประชากรที่มากทำให้
รัฐบาลเกิดภาระในการดูแลประชากร และประชาชนเองก็จะต้องถูกลดสิทธิ์ขั้นพื้นฐานบางอย่างที่จะได้รับหากมีลูกเกินโควตา

ส่วนอินเดียนี่กลับตาลปัตรกัน ประชากรส่วนใหญ่เกิน 90% มีศาสนา และข้อห้ามของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู การคุมกำเนิดเขาไม่นิยมกัน
เพราะถือว่าทำผิดหลักศาสนา ยิ่งแล้วใหญ่กับการทำแท้ง ยิ่งเป็นสิ่งที่เป็นข้อห้ามอย่างร้ายแรง ประชากรส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในฐานะยากจน
และรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีการห้ามปรามหรือการคุมกำเนิดประชากรมากนัก รวมถึงประชากรหลายส่วนเองก็ไม่ได้มีรายงานการเกิดประชากรด้วย
ดังนั้นตัวเลขประชากรในอินเดียที่เราเห็นทุกวันนี้ อาจจะเป็นเพียงตัวเลข "ประมาณการ" ซึ่งในความเป็นจริงนั้นอาจจะสูงกว่าที่เราเห็นได้

และไม่ต้องห่วงคนเราเดี๋ยวนี้การแพทย์พัฒนาขึ้นมาก โอกาสจะตายด้วยโรคปัจจุบันนั้นยากขึ้น ที่ตายกันส่วนมากก็โรคร้ายเช่นมะเร็ง
แต่โรคอื่นๆนั้นไม่ค่อยจะเจอ ถึงเจอก็รักษาได้ง่าย มนุษย์มีภูมิคุ้มกันเยอะมากขึ้นและมีการตายลดลง โอกาสประชากรล้นโลกยังมีมาก

เมื่อดูสองประเทศนี้แล้วอินเดียเริ่มเป็นตลาดที่การลงทุนเริ่มจับตามอง เพราะเมื่อฐานะของคนในอินเดียมีมากขึ้น ความต้องการอะไรมากขึ้น
เมื่อนั้นความสามารถผลิตเราจะผลิตไม่ทันต่อความต้องการ ยิ่งจีนก็ต้องการ อินเดียก็ต้องการ ใครจะไปหาทัน ยิ่งถ้าต้องการผลผลิตการเกษตร
และอาหารด้วยแล้วหละก็ เรายิ่งส่งไปแทบไม่ทัน เพราะแค่สองประเทศนี้ก็ล่อไปกว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั้งโลกแล้ว

ประเทศไทยเราถ้าพัฒนาศักยภาพทางการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารจนผลักดันเป็นครัวโลกได้จริงๆ โอกาสเราจะร่ำรวยเพราะอาหาร
จะยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี ... ผมเชื่อว่ามนุษย์ต้องการอาหาร มากกว่าน้ำมันครับ ยิ่งโดยเฉพาะในประเทศกลุ่มอาหรับ หาการเกษตรได้ยาก
อาหารหาได้น้อยมาก (ไม่นับอิสราเอลที่เขามีการทำทะเลทรายเป็นแผ่นดินที่ชุ่มชื้นได้ด้วยนวัตกรรมของเขา) ชาวจีนและอินเดีย
เพาะปลูกยังไงก็ไม่เพียงพอต่อประชากรอยู่ดี นี่ยังไม่นับอเมริกาที่ทุกวันนี้ผลผลิตการเกษตรเริ่มน้อยลง และแอฟริกาที่ไม่ได้มีการเพาะปลูกมากนัก
เพราะประเทศทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นหลัก ... ภูมิภาคเรา และประเทศของเรานั้น ถ้าพัฒนาให้ดี ... จะร่ำรวยมากๆครับ
และเราจะกำหนดทิศทางราคาเหล่านี้ได้เองด้วย ถ้าเขาไม่ง้อเรา เราก็บริโภคกันเองได้ สรุปประเทศเขาก็จะตายกันไปเอง
แต่ทุกวันนี้เหมือนเมืองไทยยังพัฒนาไม่ถึงฝั่งฝัน และยังมองไม่เห็นทางออกของทะเลาะกันเองจนประเทศพังพินาศ เห้อ ... พิมพ์ไปก็เซ็งไป

ไร้สาระไปมั้ยเนี่ย รู้สึกวันนี้พิมพ์เยอะเกิ๊นนน

จากคุณ : venezier

เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 22:01:34