ความคิดเห็นที่ 1 ในการเลือกซื้อหุ้นเราต้องเทียบระหว่างราคาที่เราจะจ่ายกับคุณภาพของหุ้น ยิ่งหุ้นมีคุณภาพสูง pe ที่เหมาะสมของหุ้นนั้นๆก็ควรจะสูงไปด้วยการประเมินคุณภาพของหุ้น ผมมองว่าเป็นศิลปะ ไม่มีสูตรตายตัวในการคิดออกมาเป็นตัวเลข เพราะคุณภาพนั้นมันวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ยาก ก็อาศัยใช้ประสบการณ์ฝึกดูไปเรื่อยๆก็พอจะได้ไอเดียว่าหุ้นประเภทไหนควรมี pe เท่าไหร่ โดยผมจะมี check list คร่าวๆในใจ เอาไว้ประเมินคุณภาพของหุ้นดังนี้ การเติบโตของรายได้: แนวโน้มอุตสาหกรรม, ความสามารถของคู่แข่ง, ความสามารถในการเพิ่มยอดขายของบริษัท ความสามารถในการควบคุมต้นทุน: อำนาจต่อรองเทียบกับ supplier, ความสามารถในการผลักภาระไปให้ลูกค้า ความผันผวนของรายได้และกำไร: ยิ่งผันผวนมาก ผมมองว่าคุณภาพจะค่อนข้างต่ำ ผู้บริหาร: ความซื่อสัตย์, ความขยัน, ความเก่ง (ต้องระวังผู้บริหารที่ขี้โม้เก่งนิดนึง เพราะเราอาจจะคิดว่าฝีมือดีทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้เรื่องเลยก็ได้) โครงสร้างการเงินของบริษัท: หนี้สินเทียบกับส่วนทุน, หนี้สินเทียบกับกำไร, เงินสดที่เหลืออยู่หักด้วยหนี้สิน ฯลฯ จากปัจจัยต่างๆข้างต้นที่เป็นตัววัดคุณภาพ ลองพยายามประเมินออกมาให้ได้ว่าหุ้นที่เราวิเคราะห์นั้นอยู่ในกลุ่มไหน แล้วลองเอามาเทียบกับหุ้น 5 กลุ่มข้างล่างที่ผมเขียนเอาไว้ หุ้นที่มีคุณภาพแย่ (หุ้นเกรด F) กิจการที่ขาดทุน หนี้สินเยอะๆ หรือกำไรเอาแน่เอานอไม่ได้ปีนึงกำไรปีนึงขาดทุน หรือพวกที่ผู้บริหารไว้ใจไม่ได้ พวกนี้ไม่ต้องประเมิน pe หรอกครับอย่าไปซื้อมันเลยดีกว่า หุ้นที่มีคุณภาพกลางๆ (หุ้นเกรด C) หนี้สินกลางๆ รายได้และกำไรไม่ค่อยเติบโต หรือเติบโตช้าไม่เกิน 5% ต่อปี pe ควรจะอยู่แถวๆ 5-6 หุ้นคุณภาพดีพอใช้ (หุ้นเกรด B) หนี้ไม่มาก รายได้ไม่ผันผวนโตอย่างสม่ำเสมอ กำไรในอนาคตเติบโตระดับ 5-15% ต่อปี pe น่าจะประมาณ 6-9 หุ้นคุณภาพดี (เกรด A) หนี้น้อย หรือไม่มีเลย รายได้โตอย่างต่อเนื่อง กำไรในอนาคตคาดว่าจะโตในระดับ 15% ขึ้นไป pe เหมาะสมประมาณ 9-12 หุ้นสุดยอด (Super stock) หนี้น้อยหรือไม่มี รายได้มั่นคงมากและโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ กำไรโตขึ้นในระดับ 20-30% ผู้บริหารเก่ง ขยัน ซื่อสัตย์ แนวโน้มธุรกิจดี มีอำนาจในการต่อรองต่อ supplier สูง อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่แข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ ฯลฯ พวกหุ้นชั้นยอดพวกนี้ pe ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปจนถึง 20 ตัวเลขที่แสดงเป็นเพียงแค่ Guideline คร่าวๆเท่านั้นนะครับ อย่าไปคิดว่าเป็นสูตรตายตัวอะไร ที่แบ่งออกมาเป็นกลุ่มแบบนี้ผมว่าเข้าใจง่ายดี ----------------------------------------------- Credit : คุณ YOYO ณ thaivi.com http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/10/I8390521/I8390521.html#11 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 13:08:56

ความคิดเห็นที่ 2 พอร์ทผม pe ต่ำ ยังแดงอยู่  peสูง เขียวแล้ว ผมยึดนโยบายรับได้ทุกแนวขอให้มีกำไร "สรรพสิ่งย่อมเแลี่ยนแปลง อย่ายึดมั่นถือมั่น" จากคุณ : อริยสัจ4 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 13:11:56

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณข้อมูลดีๆ นะครับ จากคุณ : ซะ ดิบดี เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 13:24:36

ความคิดเห็นที่ 4 ไปศึกษาเพิ่มเติมครับ เรื่องPEต่ำ เป็นแค่เปลือก ของVI ครับ ต้องดูการเติบโตและคุณภาพของE ควบคู่ไปด้วย ให้ดีต้องแยกประเภทหุ้นเป็นว่า โตช้า โตเร็ว ทรัพย์สินมาก วัฏจักร หรือหันหลังกลับ ดูแค่PEต่ำอย่างเดียว อาจเจ็บตัวได้ จากคุณ : Dr.Boy เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 18:07:12

ความคิดเห็นที่ 5 ให้ดู the growth rate of EPS เป็นหลัก ถ้ามันเติบโตเร็วกว่า P มากๆ  ก้อหาจังหวะเข้าไปโลด อย่าสนใจค่า P/E , P/BV ฯลฯ ณ เวลาขณะหนึ่งมากนัก เสียโอกาส จากคุณ : tomimoto เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 20:19:17

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบยากครับ สำหรับผมนะ P/E ที่ต่ำกว่า 10 เป็นเกราะคุ้มครองการขาดทุนได้ดีระดับนึง แต่ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือเราต้องมั่นใจว่าอนาคตธุรกิจมันดี มันจะโต เพราะ E คือกำไร ถ้ากำไรน้อยลง หรือขาดทุนราคาที่ถือจะเป็น P/E ที่สูงไปเลย (หรือคำนวณไม่ได้กรณีขาดทุนเพราะ e เป็นลบ) ผมจะดูคงบคู่ไปกับ dividend yield ด้วย คือประเมินแล้วว่ากำไรที่โตมันน่าจะให้ปันผลไม่น้อยกว่า 5% เพราะถ้าน้อยกว่านั้นแสดงว่าต้นทุนที่จะถือหุ้นจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพราะปันผลที่น้อยกว่า 5% ถือว่าไม่จูงใจแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหุ้นสุดยอดบางตัวก็ไม่แค่มี PE ที่ต่ำ แต่โดยส่วนตัวผมยังชอบหุ้นที่ PE ต่ำกว่า 10 เพราะหากเราได้กิจการที่เติบโตมากในราคาที่ PE ต่ำกว่า 10 แต่ถ้าเป็นกิจการที่ฟื้นตัว PE ปัจจุบันไม่ดู แต่จะดู PE ในอนาคตแทน มันไม่มีสูตรตายตัวครับ ลองคิดแบบพ่อค้าดู ซื้อหุ้นราคานี้ ได้ส่วนแบ่งเท่านี้ โอเคมั้ย ปันผลแค่นี้โอเคมั้ย อนาคตมันจะโตขนาดนี้ ให้กำไรกลับมาขนาดนี้ เทียบกับราคาปัจจุบันโอเคมั้ย จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 20:20:27

ความคิดเห็นที่ 7 ผมมอง PE เป็นเหมือนระยะเวลาคืนทุน เหมือนว่าเราลงทุนทำธุรกิจโดยหวังผลกำไรจากการประกอบการ ไม่ได้เก็งกำไรราคาหุ้น ถ้า PE 10 ก็แปลว่าใช้เวลาคืนทุน 10 ปี, PE 5 ก็คือใช้เวลาคืนทุน 5 ปี แต่....ดูประกอบกับเงื่อนไขอื่นด้วยคือ 1. อัตราการเติบโต ถ้าธุรกิจเติบโตเร็ว เราก็ให้ค่า PE ที่สูงขึ้นได้  ถ้าเติบโตติดลบ หรือไม่โตแล้วก็ต้องใช้ค่าต่ำลงมาอีก 2. ดูประเภทธุรกิจประำกอบ ธุรกิจที่เป็นวัฎจักร หรือธุรกิจที่กำไรผันผวนมาก PE ไม่ค่อยมีความหมาย บางปีกำไรมาก บางปีกำไรน้อย บางปีขาดทุน เติบโตไม่แน่นอน,  PE เป็นภาพลวงตา อย่าไปสนใจมาก 3. ธุรกิจนั้นๆ จะมีคู่แข่งเข้ามาแข่งได้มากน้อยแค่ไหน   ถ้าธุรกิจแข็งแกร่ง คู่แข่งเข้ามาสู้ไม่ได้ง่ายๆ  แบบนี้ PE สูงหน่อยไม่เป็นไร เหมือนกับเราวางใจได้ว่าธุรกิจเราจะอยู่ต่อไปได้อีกนาน เราก็นอนรอรับกำไร แต่ถ้าเป็นธุรกิจที่คู่แข่งเข้ามาในตลาดได้ง่าย PE ก็ต้องต่ำหน่อย ไม่งั้นยังไม่ทันคืนทุนเลย มีคู่แข่งเข้ามาตัดราคาซะแล้ว อย่างนี้มีหวังเจ๊งก่อนคืนทุน ก็ต้องระวังหน่อย จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 54 21:16:43