7 กฎใหม่ควรทำ เพื่อการเงินยิ่งมั่นคง
|
|
7 กฎใหม่ควรทำ เพื่อการเงินยิ่งมั่นคง โดย : อุไรวรรณ ภู่วิจิตรสุทิน http://www.bangkokbiznews.com/
Fundamentals สัปดาห์นี้ หยิบเรื่อง"7 กฎใหม่เอื้อการเงินยิ่งมั่นคง"ของซีเอ็นเอ็นมันนี่ มานำเสนอ ลองดูว่ากฏใหม่ๆมีอะไรบ้าง
การเงินการลงทุนจากอดีตถึงปัจจุบัน มีพัฒนาการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา และแน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงย่อมมาพร้อมกับความผันผวน ซึ่งอาจรุนแรงส่งผลกระทบเป็นลบต่อการเงินภาคครัวเรือนได้ พัฒนาการไม่หยุดนิ่งบวกความผันผวนของโลกการเงินการลงทุน กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้คนทั่วโลก รวมถึงคนไทยทั้งในและต่างประเทศ ไม่ควรหยุดนิ่งต้องปรับตัวหาไอเดียใหม่ด้านการบริหารเงินให้ยืดหยุ่นและแตกต่างจากกฎเดิมๆ ที่ไม่สามารถเพิ่มความมั่งคั่งหรือมั่นคงทางการเงินให้กับครอบครัวได้ และเพื่อให้การปรับตัวรับมือความเปลี่ยนแปลงกับความผันผวนนั้นง่ายขึ้น Fundamentals สัปดาห์นี้ จึงหยิบเรื่อง "7 กฎใหม่เอื้อการเงินยิ่งมั่นคง" ของซีเอ็นเอ็นมันนี่ มานำเสนอหวังโน้มน้าวคนไทย ยอมปล่อยความคิดความเชื่อเก่าๆ ไป หันมาเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ ที่จะช่วยการเงินครอบครัวเข้มแข็งมั่นคงยิ่งขึ้นได้
ไร้เป้าหมายคือความเสี่ยง "หากสามารถต้านทาน ทนต่อความผันผวนของตลาดที่ปรับขึ้นปรับลง ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงได้แล้ว ในที่สุดคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีเป็นรางวัล" ข้างต้นเป็นความคิดเก่าๆ ที่ต้องเปลี่ยน ลองพิจารณากฎใหม่ข้อแรกนี้ คือความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องความอดทนหรือสามารถต้านทานความผันผวนได้ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำเป้าหมายสำคัญให้ได้ หรือไม่พลาดเพราะไม่มีเป้าหมายสำคัญให้กับการเงินการลงทุนของตัวเอง
ความคิดที่ได้ผลตอบแทนที่ดีตลอดเวลา เป็นความเสี่ยงแท้จริง โดยเฉพาะการคิดพึ่งพาการลงทุนมากเกินไปในตลาดใดตลาดหนึ่งเช่นตลาดหุ้น ซึ่งเจเรมี ซีเกิล นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยวาร์ตัน รวบรวมข้อมูลไว้ว่า ช่วงเวลายาวนานที่สุดที่หุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนติดลบนั้นอยู่ที่ 16 ปี หากผลตอบแทนของนักลงทุนดิ่งลงในช่วงเวลาที่ต้องการเงินสดไว้ใช้จ่ายในครอบครัว การรอคอยให้ความผันผวนลดลงย่อมไม่ส่งผลดีต่อการเงิน ลองพิจารณาและวิเคราะห์ตามหลักการแนวคิดของที. โรวี ไพร้ซ บริษัทจัดการบริหารการลงทุนชั้นนำของโลก ที่แสดงให้เห็นผลกระทบของภาวะตลาดย่ำแย่ในช่วง 5 ปีแรกหลังนักลงทุนเกษียณอายุ
ผลการวิเคราะห์คือนักลงทุนต้องขายสินทรัพย์มีมูลค่าลดลงในช่วงไม่กี่ปีและเป็นช่วงแรกวัยเกษียณ พอร์ตการลงทุนของบุคคลนั้นๆ อาจเล็กลง เมื่อช่วงเวลาแห่งการฟื้นตัวมาถึง แต่ถึงแม้เป็นเวลาที่ดีแล้วเขาหรือเธอพร้อมทั้งสมาชิกคนอื่นในครอบครัวยังคงขาดแคลนเงิน หรือมีเงินทองใช้ไม่เพียงพอจะเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวทุกคนได้
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำ พิจารณาความเสี่ยงกับการขาดทุนมากน้อยเพียงใดที่รับได้ คำตอบที่ได้ต้องไปด้วยกันได้กับเป้าหมายการเงินพื้นฐานของตัวเอง หมายความว่านักลงทุนบางคนอาจปรับลดพอร์ตลงทุนหุ้น แม้พลาดการมีส่วนร่วมในการฟื้นตัวของตลาดครั้งต่อไปอยู่บ้างก็ตาม
พึ่งเงินสด-ออมไม่จำกัด อาจมีผู้ติดอยู่กับความคิดเดิมๆ ที่ให้เก็บรักษาเงินไว้ในบัญชีธนาคารหรือสินทรัพย์ปลอดภัยที่สุด ให้เก็บออมไว้มากพอใช้ยังชีพในยามฉุกเฉิน แต่ไม่ต้องเก็บมากไปกว่าปริมาณจำเป็นต้องใช้ แต่จากนี้ไปขอให้ลองคิดใหม่ด้วยกฎใหม่ว่าด้วยการพึ่งพาการออม ถือเงินสดมากขึ้น การทำเช่นนี้สามารถช่วยให้เจ้าของเงินอยู่รอดได้ จากการสั่งสมเงินสดไว้เป็นสินทรัพย์ยามฉุกเฉินอยู่เสมอ ความเชื่อทางการเงินจะต้องกันเงินสดสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เพื่อให้เจ้าของเงินดำรงชีวิตอยู่ได้นานไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือในกรณีไม่มีงานทำ แต่เงินจำนวนจำกัดนี้ อาจไม่ครอบคลุมสินเชื่อบ้านที่ต้องผ่อน หรือค่าอาหารของครอบครัวในระยะยาว นั่นหมายความว่าบุคคลนั้นย่อมไม่สามารถรับความเสี่ยงได้
แรนดี สปีเกิลแมน รองประธานฝ่ายวางแผนการเงินของชวาบ เซนเตอร์ ฟอร์ ไฟแนนเชียล รีเสิร์ช แนะนำให้ผู้คนทั่วไปมองไกล อาจเป็น 1-3 ปีข้างหน้า พยายามสั่งสมเงินออมให้มากเมื่อมีโอกาสทำ เพื่อเป็นทุนการศึกษา เป็นค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน และใช้เป็นทุนดาวน์บ้านใหม่หลังแรก เมื่อใดสามารถสะสมเงินออมเพื่อเป้าหมายใดๆ ได้แล้ว ขอให้เดินหน้าเพิ่มเงินทุนเงินออม เป็นเงินสดเก็บไว้ในบัญชี หรือในการลงทุนความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพสูง เพราะทุกวันนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือการลงทุนในหุ้น และหากต้องตกงานหรือไม่มีงานทำ
ในช่วงไม่กี่ปีทั้งก่อนและหลังเกษียณ เงินสดกลับยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ช่วยให้เจ้าของเงินไม่ต้องเผชิญแรงกดดันทางการเงิน ขอให้กำหนดมูลค่าเงินสักก้อน ที่ต้องใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีวิตในกรอบเวลานานสัก 2-4 ปี และให้นำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำเมื่ออยู่ในวัยใกล้เกษียณ
ศักยภาพทำเงินกำหนดพอร์ต ที่ผ่านมาเป็นเหมือนกฎการลงทุนพื้นฐาน หากผู้ลงทุนยอมรับการขาดทุนได้จำนวนปีมากขึ้น ย่อมสามารถลงทุนเชิงรุกในช่วงระยะปีมากขึ้นได้เช่นกัน แต่ความคิดเช่นนี้ต้องปรับใหม่ จากกฎใหม่ที่ว่าเวลากับวัยไม่ได้เป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาจากศักยภาพการทำเงินหรือการหารายได้และนี่คือหนทางดีกว่าที่จะคิดเกี่ยวกับการบริหารพอร์ตเชิงรุกมากน้อยเพียงใด และต้องถือหุ้นหรือถือบอนด์ไว้เท่าใด
ขอให้เจ้าของเงินหรือผู้ลงทุนต้องคิดถึงต้นทุนมนุษย์ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำงานหาเงิน ให้คำนึงถึงศักยภาพตรงนี้ร่วมกับความปลอดภัยทางการเงิน หากโอกาสทำให้การเงินปลอดภัยมีมากขึ้น ผู้ลงทุนก็สามารถบริหารพอร์ตรับความเสี่ยงลงทุนเชิงรุกได้ ดังนั้นคำแนะนำนิยมกันว่า ให้ถือหุ้นไว้มากๆ เมื่ออายุการทำงานยังน้อย และค่อยๆ ปรับลดลงอาจเป็นคำแนะนำที่มีเหตุผลอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าคำแนะนำนี้เหมาะสมกับทุกคน เพราะ มอช มิเลฟสกี นักวิชาการการเงินจากยอร์ก ยูนิเวอร์ซิตี้ ในเมืองโตรอนโตของแคนาดา เชื่อว่าธรรมชาติของความสามารถในการทำงานของแต่ละคน อาจส่งผลต่อต้นทุนมนุษย์เป็นศักยภาพการทำงาน อาจเอื้อให้เจ้าของเงินลงทุนบอนด์มากขึ้น หรือถือหุ้นได้มากกว่าบอนด์
โธมัส อิดโซเรค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของอิบบอทสัน แอสโซวิเอตส์ แนะนำวิธีประเมินต้นทุนมนุษย์ เทียบจากคนทำงานมีรายได้โดยเฉลี่ยปานกลาง น่าจะถือบอนด์ไว้ประมาณ 70% และถือหุ้นอีกประมาณ 30% ใช้สัดส่วนนี้เป็นพื้นฐาน เพื่อประเมินช่วงปีการทำงานว่าสั้นยาวเพียงใด ดูความมั่นคงของงานที่ทำอยู่ตอนนี้ และความสามารถเปลี่ยนงานหากจำเป็นต้องทำ หากผลการประเมินต้นทุนมนุษย์ของตัวเอง สะท้อนว่าเจ้าของเงินไม่สามารถลงทุนเชิงรุกได้ เขาหรือเธอควรจะโยกเงินไปหาการลงทุน ที่จะช่วยสั่งสมสินทรัพย์ที่มั่นคงปลอดภัยมากขึ้น
มีหนี้ระวังกระทบคนอื่น การกู้ยืมอย่างสมเหตุสมผล เป็นหนทางดีที่จะสร้างความมั่งคั่ง กลายเป็นกฎการเงินเก่าล้าสมัยแล้ว เพราะมีกฎใหม่ให้ผู้ลงทุนพิจารณา คือการกู้ยืมต้องระมัดระวังรอบคอบ ไม่ให้หนี้ที่ก่อขึ้นกระทบคนอื่นในครอบครัว เช่นในสหรัฐ 25 ปีที่ผ่านมา เคยเป็นตลาดคึกคักเปิดใจรับสินเชื่ออย่างมาก ถือเป็นยุคสินเชื่อเฟื่องฟูมาก ยุคนั้นตั้งแต่ปี 2525 อัตราดอกเบี้ยบ้านปรับลดลงจนถูกมาก จาก 16% เหลือต่ำกว่า 6% และสินเชื่อเพื่อการศึกษาต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 3% คนอเมริกันตอบรับสินเชื่อกันง่ายมาก อัตราการออมส่วนบุคคลลดลงจากระดับกว่า 12% เหลือศูนย์หนี้ครัวเรือนเทียบกับรายได้สามารถใช้จ่ายได้ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์พุ่งไม่ต่ำกว่า 35% และนิยมนำสินเชื่อบ้านไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันไปขอกู้ยืม นำเงินหมุนเวียนใช้จ่ายเกินตัว
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐ เป็นเหตุผลให้เกิดกฎการเงินใหม่ คือผู้คิดกู้ยืมจะต้องระมัดระวัง แม้มีเหตุผลดีมาอ้างอิงเสมอทั้งความจำเป็นต้องได้เงินกู้ซื้อบ้านมีหนี้เพื่อการศึกษา แต่หนี้จำเป็นต้องกู้ยืมต้องไม่ลากยาวปล่อยทิ้งไว้นาน เดวิด เอลลิสัน ประธานของเอฟบีอาร์ ฟันด์ เปรียบเทียบหนี้ภาคครัวเรือนเหมือนบริษัทแห่งหนึ่ง หากคิดกู้ยืมมาลงทุนเพื่อหวังทำกำไรเพิ่มพูนผิดพลาด ในเวลาต่อมาย่อมไม่สามารถยืมใครๆ ได้อีก ผลเสียย่อมสะท้อนกลับมาหาผลประกอบการกับราคาหุ้นบริษัทนั้นตกต่ำลง และเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นที่จะฟื้นฟูงบบัญชีตัวเอง ด้วยการขายบ้านหรือบริษัท ในเมื่อธนาคารไม่ปล่อยกู้อีก เพราะกลัวสินทรัพย์ที่ได้มาเป็นหลักประกันอาจลดลงต่อเนื่อง
ดังนั้นการระมัดระวังหนี้กู้ยืมมา จึงเป็นกฎการเงินใหม่ควรคำนึง นึกถึงคนรอบข้างในครอบครัวหรือแม้แต่เพื่อนบ้านให้มาก เพราะพวกเขาคงไม่อยากเห็นคุณจมอยู่กับกองหนี้ก้อนโตที่ไม่สามารถลดขนาดลงได้ ขอให้กู้ยืมตามความสามารถหรือศักยภาพ และต้องกำหนดสัดส่วนการก่อหนี้ไว้เสมอไม่ให้เกินหรือต่ำกว่า 20%
มีบ้านไม่ทำให้รวย ที่ผ่านมาผู้คนอาจคาดหวังให้บ้านที่ผ่อนใช้หนี้อยู่นั้น จะมีราคาสูงขึ้นตลอดไป แต่ตอนนี้สถานการณ์และสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกยังผันผวนมีแต่ความไม่แน่นอน ทำให้กฎการเงินใหม่เข้ามาแทนที่ เพราะบ้านที่อยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำให้รวย แต่เป็นเครื่องมือการออมสำคัญ โรเบิร์ต ชิลเลอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล ตามวิเคราะห์ราคาบ้านในอดีตตั้งแต่ปี 2333 ด้วยฐานข้อมูลที่เขาคิดคำนวณได้ และได้พบกับเรื่องน่าแปลกใจ เพราะหากไม่นับยุคเฟื่องฟูอย่างที่สุด 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และครั้งที่สองช่วงเริ่มตั้งแต่ปี 2541 การปรับขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่น่าประทับใจเมื่อนำเงินเฟ้อมาคำนวณ แม้ราคาบ้านปรับขึ้น แต่การปรับขึ้นไม่ได้หวือหวาหากคำนวณเอาต้นทุนต้องลงทุนไปกับบ้าน อย่างต้นทุนบำรุงรักษาคิดเป็นประมาณ 1% ของมูลค่าบ้านแต่ละปี รวมถึงค่าประกันภัยบ้านและภาษีต้องชำระด้วย หากคำนวณในรูปแบบใหม่ สิ่งที่คาดหวังกลับคืนมากที่สุดจากการลงทุนในบ้านอยู่ที่ประมาณ 80%
สิ่งที่ควรทำและคิดได้จากกฎใหม่ข้อนี้ ไม่ได้หมายความให้เช่าบ้านแทนการซื้อ แต่ขอให้คาดหวังไว้ปานกลางเกี่ยวกับการมีบ้าน และคาดหวังให้บ้านเป็นตัวสร้างความมั่งคั่ง และให้มองผลดีการเงินบางอย่างในอนาคตที่ได้จากการซื้อบ้าน อันดับแรกการมีบ้านช่วยป้องกันความเสี่ยงจากมูลค่าบ้านในชุมชนที่อยู่นั้นสูงขึ้น นอกจากนี้การมีบ้าน นอกเหนือจากมีเงินทุนบำเหน็จบำนาญหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้ใช้ยามเกษียณ ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะช่วยสร้างวินัยการเงินการออมได้ดีเท่าการซื้อและมีบ้าน
กระจายพอร์ตต้องเลือกลงทุน ในอดีตมีกฎการลงทุนที่บอกกันต่อๆ มาว่า การกระจายพอร์ตลงทุนให้หลากหลายช่วยลดความเสี่ยง แต่ช่วงเวลากับรูปแบบการลงทุนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ทุกคนต้องคิดถึงกฎการเงินใหม่ที่ว่า การกระจายพอร์ตลงทุนโดยไม่วิเคราะห์ทำการบ้านให้ดีเสียก่อน จะไม่ช่วยให้การลงทุนปลอดภัยเสมอไป เพราะการกระจายการลงทุนไม่ได้หยุดคุณจากผลกระทบในยามตลาดตกต่ำ และในยามที่ทั้งหุ้นสหรัฐหรือหุ้นตลาดต่างประเทศดิ่งลงพร้อมกัน การถือบอนด์สร้างกันชนป้องกันการขาดทุนได้ แต่บอนด์ประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงขาลง และเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จึงเดาได้ยากว่าอะไรจะเกิดขึ้น และในภาวะเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไป พร้อมๆ กับกระแสเงินทุนเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้น เจ้าของเงินจึงไม่สามารถคิดง่ายๆ กับการกระจายพอร์ตลงทุน แต่เขาหรือเธอต้องทำงานหนักขึ้น ทำการบ้านให้มากขึ้นในการวิเคราะห์ลงทุนเชิงลึก เพื่อการกระจายพอร์ตลงทุนให้ได้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่ควรทำจากนี้ คือต้องมั่นใจว่าการกระจายพอร์ตลงทุนไม่ใช่การซื้อกองทุนใหม่ทุกกองทุนที่ออกมา แต่อันดับแรกต้องเน้นดูพื้นฐานของกองทุนก่อนว่า ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง เพื่อจะได้ลงทุนในกองทุนที่ช่วยให้เจ้าของเงินได้ประโยชน์สองต่อ เช่นเป็นกองทุนผสมทั้งลงทุน 20% ของสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ และที่เหลือลงทุนในตลาดพัฒนาแล้ว เป็นต้น
เกษียณเร็วอาจก่อปัญหา ซีเอ็นเอ็นมันนี่ให้ข้อมูลการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของคนอเมริกัน ที่ตั้งใจเกษียณก่อนถึงกำหนด และ 9 ใน 10 คนยอมออกมาก่อนถึงวัยเกษียณ พากันบังคับเงินออมให้ทำงานในตลาดที่พวกเขาเชื่อว่าอยู่ในภาวะกระทิงช่วง10ปีข้างหน้านับจากปี 2551 แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเกษียณเร็วก่อนกำหนด ก่อนที่ตลาดหุ้นปรับเปลี่ยนจากความเฟื่องฟูไปสู่ภาวะย่ำแย่และดำดิ่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องดีและไม่ได้เป็นเส้นทางโรยไปโดยกลีบกุหลาบสำหรับผู้เกษียณเร็ว และจากข้อมูลของอีบีอาร์ไอเผยว่า กลุ่มคนเคยทำงานมานานและออกมาก่อนวัยเกษียณ พบว่าเงินก้อนบำเหน็จบำนาญของพวกเขาลดลงเฉลี่ย 30% ช่วง 14 ปีที่ผ่านมา จากสถิตินี้ทำให้ผู้คิดเกษียณก่อนวัยต้องทบทวนแผนการเงินเพื่อการเกษียณเร็วให้ดีเสียก่อน
สิ่งที่ควรทำขอให้เลื่อนกำหนดเกษียณออกไป ริชาร์ด จอห์นสัน นักวิชาการอาวุโสจากเออร์บัน อินสทิทิว กล่าวว่า เพียงเลื่อนเวลาเกษียณออกไปเพียง 1 ปี ช่วยเพิ่มรายได้เพื่อการเกษียณได้ถึง 9% ต่อปี และยิ่งดีหากใช้ความพยายามหางานใหม่เพิ่มเติมทำควบคู่กับงานประจำ ถึงแม้เป็นงานนอกเวลาได้ค่าจ้างน้อยกว่า แต่เป็นเงินก้อนมากพอช่วยให้คุณเลี่ยงนำเงินเพื่อการเกษียณหรือประกันสังคมจากรัฐมาใช้เร็วเกินไป
จากคุณ |
:
มิ่งกลิ้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
22 พ.ค. 54 10:56:28
|
|
|
|