PANTIP.COM : I10638468 เรื่องคุณบี ที่กำลังชันกับ ไททานิค (TTA) จากดูหุ้น [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 2

จาก "ศูนย์" มุ่งสู่ "หมื่นล้าน" ด้วยวิธีรุกแบบ Aggressive ตามกระแสเศรษฐกิจ และกลับสู่วัฏจักร "ตกต่ำ" ก่อนจะหาทาง "ตะกาย" จากหุบเหวขึ้นมาได้อีกครั้ง..เส้นทางนับจากนี้ ตระกูลเตชะอุบลจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร..

"ปีนี้ (2551) จะเป็นปีที่ คันทรี่ กรุ๊ป จะเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ และกลับสู่ธุรกิจอย่างเต็มตัว หลังจากวางโครงสร้างการทำงานกันลงตัวเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา” บี เตชะอุบล ทายาทคนโต ของ สดาวุธ เตชะอุบล บอก

กรรมการผู้จัดการ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แคปิตอล จำกัด (Country Group Capital) ในฐานะผู้บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ของตระกูลเตชะอุบล เล่าให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า คันทรี่ กรุ๊ป ไม่ได้หายไปกับวิกฤติยังคงดำเนินธุรกิจอย่างเงียบๆ มาตลอดโดยมีฐานธุรกิจสำคัญอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ส่วนธุรกิจในประเทศไทยเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการปรับโครงสร้างหนี้ และช่วงเวลานี้เป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดในการฟื้นธุรกิจในประเทศไทยขึ้นมาอีก ครั้ง

“คุณพ่อ คุณแม่ (อรวรรณ) มีความผูกพันกับชื่อคันทรี่ กรุ๊ปมาก เพราะท่านเริ่มใช้มาตั้งแต่บุกเบิกสร้างธุรกิจขึ้นมาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เราจึงตัดสินใจกลับมาใช้ชื่อนี้อีกครั้ง”

คันทรี่ กรุ๊ป เปรียบเสมือนโฮลดิ้งส์ ของครอบครัวเตชะอุบล มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

"ธุรกิจ ที่เราจะไปลงทุน คงไม่จำกัดว่าธุรกิจนั้นจะต้องเป็นดาวรุ่ง (Star) เสมอไป ถ้าบริษัทนั้นมีจุดอ่อนเราก็จะเสริมจุดแข็งเข้าไปให้สามารถแข่งขันได้ใน อุตสาหกรรม ในรูปแบบเดียวกับการลงทุนประเภท Private Equity เช่น เราอาจจะเข้าไปเพิ่มทุนให้ และดูว่าจะช่วยอะไรเขาให้ดีขึ้นได้บ้าง

แต่ รับรองว่าจะไม่เป็นการเข้าเทคโอเวอร์อย่างไม่เป็นมิตร หรือ Hostile Takeover แน่นอน..แต่เป็นไปได้ว่าบริษัทนั้นๆ อาจจะกำลังย่ำแย่อยู่ แล้วเราไปช่วยให้เขาดีขึ้น เพราะถ้าไปซื้อธุรกิจที่กำลังดี อาจจะได้ของแพง ไม่คุ้มค่าการลงทุนก็ได้"

นอกจาก บล.แอ๊ดคินซัน แล้ว ก้าวต่อไป บี ระบุว่า คันทรี่ กรุ๊ป มีแผนจะเข้าไปซื้อกิจการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อีก 2-3 บริษัท ภายในปีนี้ พร้อมแย้มเป็นนัยๆ ว่า บริษัทที่กำลังเจรจาอยู่นั้นมีทั้งกลุ่มธุรกิจการเงิน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และไอที ซึ่งจะเป็นบริษัทในตลาดหุ้นไทย 1 แห่ง และในตลาดหุ้นต่างประเทศอีก 1 แห่ง โดยย้ำว่า คงจะไม่มีชื่อของ บมจ.เอเวอร์แลนด์ (อย่างที่เคยเป็นข่าว)

เขายังเล่าว่า ภายในครอบครัวเตชะอุบลพี่น้อง 4 คน มีการแบ่งหน้าที่กันดังนี้ สำหรับตนเอง(บี) จะรับผิดชอบการลงทุนระยะยาว (Long Term Investment) ซึ่งเป็น "แกน" ของกลุ่มเข้าไปลงทุนในกิจการต่างๆ น้องสาว หลุยส์ ดิศกุล ณ อยุธยา (ลูกสะใภ้ ม.ร.ว.ดิศนัดดา-คุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา) บริหารงานที่ บล.แอ๊ดคินซัน จะรับหน้าที่ดูแลการลงทุนระยะสั้น (Portfolio Investment) ส่วน เบน และทอมมี่ น้องอีก 2 คน จะร่วมกันรับผิดชอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนคุณพ่อ (สดาวุธ) จะคอยดูแลภาพกว้างทั้งหมด

ทายาทรุ่นที่สอง คันทรี่ กรุ๊ป ระบุว่า ภายใต้การบริหารของครอบครัวเตชะอุบล บล.แอ๊ดคินซัน มีฐานะที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมาได้ตัดลดสาขาที่ขาดทุนลงแล้ว คาดว่าจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนภายในปีนี้ รวมทั้งได้มีพันธมิตรใหม่ กองทุน Ellerston Capital ของมหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย "เจมส์ แพ็คเกอร์" เข้ามาถือหุ้นด้วย (ปีนี้ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ 3.5-4%)

ในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริม ทรัพย์ ในปีนี้ คันทรี่ กรุ๊ป มีโครงการใหญ่ 2 โครงการในประเทศ คือ โครงการ อพาร์ทเม้นท์ 8 ชั้น ทำเลตรงข้ามกับห้างซีคอนสแควร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการคันทรี่ วิลล่า เก่า จะทำเป็นที่อยู่อาศัยระดับ “ไฮเอนด์” ในแบบไลฟ์สไตล์คอนเซปต์

อีกโครงการจะขึ้นโครงการใหญ่ โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว และ 6 ดาว บนที่ดินขององค์การสะพานปลา(เดิม) บริเวณถนนเจริญกรุง 58 ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 17 ไร่ 2 งาน (ที่ดินของ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) ทำสัญญาเช่า 30 ปี มีกำหนดการแล้วเสร็จภายใน 3 ปี มูลค่าการลงทุนในส่วนของคอนโดมิเนียม และโรงแรม รวมมูลค่าโครงการ “1-1.1 หมื่นล้านบาท”

บี บอกว่า โปรเจคบนที่ดินขององค์การสะพานปลา เบน เตชะอุบล เป็นคนเข้าไปดีลด้วยตัวเอง และขั้นตอนการเวนคืนที่ดินก็ทำอย่างถูกต้องทุกอย่าง ไม่มีการวิ่งเต้น(ใต้ดิน) อย่างที่ถูกตั้งข้อสงสัยกัน

นอกจากนี้ คันทรี่ กรุ๊ป ยังจะขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย นอกเหนือจากที่ไปปักหลักลงทุนอยู่ในประเทศออสเตรเลีย แล้ว ยังเตรียมเข้าไปลงทุนในประเทศจีน และศึกษาเวียดนามอยู่ รูปแบบอาจจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในโครงการรัฐ เมื่อรวมมูลค่าโครงการเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ ของ คันทรี่ กรุ๊ป ที่จะเริ่มลงทุนในปีนี้ จะมีมูลค่ารวมกัน เกือบๆ 40,000 ล้านบาท

โดยเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะมาจากสถาบันการเงินในประเทศ และอีกส่วนจะมาจากการออก "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์" ขนาด 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งกองทุนในต่างประเทศ เพื่อระดมเงินทุนให้ทันกาลเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้

จากคุณ : HeroLateGame

เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 11:59:14

ความคิดเห็นที่ 3

บี วางแผนว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ก้อนนี้ อาจจะจดทะเบียนในสิงคโปร์หรือไม่ก็อังกฤษ โดยครอบครัวเตชะอุบลต้องเป็นผู้บริหารกองทุน และถือหุ้นอย่างน้อย 30%

ผู้ บริหารหนุ่มวัย 33 ปี อธิบายว่า โครงสร้างธุรกิจของคันทรี่ กรุ๊ป จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 สายหลัก คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนระยะยาว (เช่น บล.แอ๊ดคินซัน) แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนข้างใดข้างหนึ่งเป็นพิเศษ ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสในเวลานั้นๆ เพียงแต่ตอนนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจจะมีมูลค่ามากกว่า เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง ส่วนหลักคิดในการลงทุนก็จะเน้นธุรกิจที่ "มีความเสี่ยงน้อย แต่กำไรมาก"

ความหมายของคำว่า "เสี่ยงน้อย..กำไรมาก" ได้รับคำอธิบายว่า คือการ ปิดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด เวลาเราจะเข้าไปลงทุนต้องดูว่าเข้าไปแล้วจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง ไม่ใช่ลงไปแค่เงินอย่างเดียว และธุรกิจนั้นต้องมีคู่แข่งน้อย หรือมีสินค้าและบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง การลงทุนเราจะมองผลตอบแทน 50-100% ขึ้นไป

ส่วนคำถามที่ว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันการแข่งขันก็สูง มาร์จิน 30-35% แทบจะหืดขึ้นคอ จะหวังผลตอบแทน 1 เท่าตัวขึ้นไป จะทำได้หรือ!!

บี ตอบว่า การจะเลือกลงทุนอะไรจะต้องพิจารณาจนรอบคอบแล้วว่ามีกำไรแน่นอน มันอาจจะหายากอยู่บ้าง แต่ขอยืนยันว่ามีอยู่จริงๆ โดยหลักการธุรกิจนั้นจะต้องมีจำนวนคู่แข่งน้อย และถ้าเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะต้องอยู่ในทำเลที่ดี

“คันทรี่ กรุ๊ป ในอดีตมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะต้องการเพิ่ม Economy of Scale เพื่อมาลดต้นทุน รวมถึงกฎเกณฑ์ของตลาดหุ้นในเวลานั้นมันเร่งรัดให้ต้องโตเร็วให้ทันคู่แข่ง แต่วันนี้เราเลือกทำเฉพาะธุรกิจที่ให้ผลกำไรที่ดี และธุรกิจที่ลงทุนไปทั้งหมดต้องเห็นภาพความสำเร็จ ภายใน 1-2 ปี และต้องให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเติบโต 30% ต่อปี"

สำหรับประวัติของ บี เตชะอุบล เขาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน วิชาเอกด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สาขา การจัดการด้านกลยุทธ์การแข่งขันและการตลาด จากสถาบัน Ecole des Haute Commerciales ประเทศฝรั่งเศส จบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโครงสร้างและการจัดการ จากออสเตรเลีย และจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขาการเงินและการตลาด จากสถาบันศศินทร์

ที่ ผ่านมาเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลเอสเตท จำกัด ดำเนินธุรกิจจัดทำเวบไซต์ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ ด้วยวัยในขณะนั้นเพียง 25 ปี รวมทั้งเป็นผู้จัดตั้งกองทุน โอปัส ไทยแลนด์ ออฟเปอร์ทูนินี้ ฟันด์ เป็นกองทุนบริหารความเสี่ยง (Hedge Fund) มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตามทั้งสองธุรกิจนี้บีได้โอนกิจการให้กับผู้อื่นไปเรียบร้อยแล้ว

ก่อน หน้านี้ บี เคยเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับต้นๆ และเข้าไปบริหาร บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) เขาบอกว่า เป็นคนดึง LG โมโตโรล่า และเบนคิว เข้ามาทำตลาดให้กับไออีซี รวมทั้งเป็นคนพาไออีซีไปซื้อ บมจ.บลิส-เทล (BLISS) ด้วย

“ต้องยอมรับว่า ไออีซีมีผู้ถือหุ้นใหญ่หลายกลุ่ม รับผิดชอบกันคนละหน้าที่ และมีการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในหุ้นซึ่งไม่ใช่ธุรกิจหลักและเกิดความเสีย หาย พอผมเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี เลยตัดสินใจขายหุ้นออกมาทั้งหมดและลาออกจากตำแหน่งกรรมการด้วย ตอนนี้ผมไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับไออีซีอีกแล้ว”

สำหรับพอร์ตลงทุน “ส่วนตัว” บี บอกว่า เดี๋ยวนี้ตนเองไม่ค่อยเทรดหุ้นสักเท่าไร ส่วนมากซื้อหุ้นแล้วจะถือยาวไปเลย และมอบหมายภาระนี้ให้คนอื่นเป็นผู้ดูแลแทน

“เรื่องเทรดหุ้นส่วนใหญ่ จะฝากน้องสาว (หลุยส์ ดิศกุล ณ อยุธยา) ให้เป็นคนจัดการไปเลย ทุกวันนี้ทำงานจนไม่มีเวลา (เล่นหุ้น) ตัวเองมีพอร์ตอยู่เท่าไรยังจำไม่ได้เลย”

จากคุณ : HeroLateGame

เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 11:59:32