ความคิดเห็นที่ 1 เอาเป็นว่า ใครดูภาพประกอบ  แล้วเข้าใจสมการนี้   ก็ให้อ่านต่อ + จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 08:05:30

ความคิดเห็นที่ 2 ลองตอบคำถามที่ถามไว้หลีงไมค์ดูดังนี้ เฮียจะเลือกหุ้นที่มี PE ต่ำ เป็นข้อแรกในการเลือกหุ้น  ? ผม"จำเป็น" ต้องเลือกแบบนั้น   เพราะผมจะไม่ทำอะไรที่เกินความรู้ ความสามารถของตัวเอง พอประเมินการเติบโต  ของผลประกอบการในอนาคตของบริษัทไม่เป็น   ก็ต้องเลือกหุ้นที่่มี พีอีในปัจจุบันต่ำไว้ก่อน ถ้าคาดผลประกอบการในอนาคตเก่ง ผมคงจะกล้าซื้อหุ้นที่มีพีอีปัจจุบันสูงๆ และกล้าถือหุ้นไม่กี่ตัว  โดยไม่ต้องกระจายความเสี่ยง นอกจากจะเลือกบริษัทที่มีพีอีปัจจุบันต่ำแล้ว ยังต้องเลือกที่มีหนี้สินต่ำๆ ควบคู่ไปด้วย   ส่วนใหญ่จะชอบแบบหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ประมาณ ๑ ต่อ ๒ ดังนั้น ผมจึงพลาดหุ้นที่มีพีอีต่ำแต่หนี้สินสูงบ่อยๆ   เพียงเพราะว่า   "มันอยู่นอกหลักเกณฑ์ที่เรากำหนดไว้ในใจ" เลยพลาด ส.ขอนแก่น   ตอนมันราคาแค่สิบกว่าบาทไปอย่างน่าเสียดาย เพราะบริษัทมีหนี้สินเยอะ นอกจากเลือกหุ้นพีอีปัจจุบันต่ำแล้ว ผมยังมีแนวรับสุดท้ายในการซื้อหุ้นคือ ซากของบริษัทจะขายได้ราคาเท่าไร ? ผมจะจับหนี้สินทั้งหมดที่บริษัทมี  ลบออกจากส่วนของผู้ถือหุ้น แล้วหารด้วยสอง ปรากฏว่า  หุ้นที่ผมถืออยู่ในป้จจุบัน   ซื้อไว้ตอนราคาหุ้น มันหลุดแนวรับสุดท้ายไปแล้ว มันจะเด้งกลับมาเองในที่สุดทุกตัว ไม่ว่าจะเป็น  jct   rojna  tpp  ฯลฯ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมซื้อ  TPP  ทั้งๆที่พีอีนับค่าไม่ได้ เพราะว่า   ราคาขายเลหลังซากบริษัท เท่าที่คำนวณได้   มันสูงกว่าราคาที่  คนในตลาดหุ้นให้ค่ามัน + แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 10:31:04 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 09:01:19 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 08:27:14 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 08:24:02 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 08:20:27

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นหลักการที่ดูง่าย และมีประโยชน์ในการเลือหุ้นมากครับ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 08:53:26 จากคุณ : พ่อน้องนา เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 08:52:44

ความคิดเห็นที่ 4 "อยากรู้ว่าถ้าเป็นเฮียเจอหุ้นตัวนึง มี EPS 0.4 PE 8 ราคาหุ้น 3.20 ถ้าเฮียเจอแบบนี้ เวลาเฮียจะตัดสินใจซื้อหรือขาย เฮียมีวิธีคิดอย่างไรครับ" ก่อนอื่นผมจะดูว่ามันเข้ากับหลักเกณฑ์ต่อไปนี้หรือเปล่า ๑  หุ้นที่มีสภาพคล่องคอสูง จะมีพีอีสูงกว่าหุ้นที่มีสภาพคล่องคอต่ำ ซื้อง่ายขายคล่อง  เป็นส่วนสำคัญสำหรับเจ้ามือที่จะทำราคาหุ้น พีอีสูงหรือต่ำ  สภาพคล่องคอของหุ้นจึงมีส่วนในการกำหนดค่าพีอี ๒  มันเป็นพีอี ของหุ้นตัวไหน ในอุตสาหกรรมไหน อย่างหุ้นที่ใช้แรงงานเข้มข้นแบบสิ่งทอและไม่สามารถเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ยังไงพีอีก็ต้องต่ำกว่า หุ้นในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานน้อยหรือมีความสามารถในการเพิ่มมูลค่าให้สินค้า อย่างเช่น วาโก้  ธนุลักษณ์ ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอเช่นกัน แต่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าที่ผลิตได้ ๓  ถ้าพีอีถูกลง  เพราะค่าอี ลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรจะเข้าไปซื้อ  เพราะในที่สุด ค่าอีที่ลดต่อเนื่อง มันจะลากเอาค่าพี ให้ต่ำตามลงมา จนค่าพีอี กลับลงมาต่ำตามในที่สุด ลองนึกถึงหุ้นเรือเทกอง  ttp psl ดู ๔  ถ้าพีอีต่ำ  มาจากหุ้นไม่มีสภาพคล่องคอ   เจ้ามือยังไม่ได้เข้ามาปั่น เพราะยังไม่มีสตรอเบอรี่ให้เล่น ทั้งๆที่ ค่าอีไม่ได้ลดลงจากอดีต  แต่ลดจากค่าพี   หุ้นที่มีพีอีต่ำในลักษณะนี้ น่าซื้อรอรับทั้งส่วนต่างจากราคาหุ้น และเงินปันผลรับ ๕  ในที่สุดแล้ว ค่าอี   จะเป็นตัวกำหนดค่าพีอีที่แท้จริงของหุ้นแต่ละตัวในอนาคต หรือที่คุณลูกอิสาน เรียกว่าเจ้ามือตัวจริง ลองนึกกันดูครับ ทำไมค่าพีอีของ ฟาร์มเฮ้าส์ เซเว่น ยังคงสูงลิบอย่างต่อเนื่อง ? คำตอบคือ  ค่าอี ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นเอง ถ้าค่าอีหยุดเติบโดเมือไร   ต่อให้หุ้นมีค่าพีอีลดต่ำเหลือแค่ หกเจ็ดเท่า  ก็คงได้เห็นดร.นิเวศน์เทขายเซเว่น ส่วนผม ก็คงจะขายหุ้นฟาร์มเฮ้่าส์เหมือนกัน ถ้าผมคาดค่าอีในอนาคตออก   ตอนที่ยังไม่มีใครสนใจหุ้นตัวนั้น ผมก็คงจะกล้าแทงหมดหน้าตัก   เหมือนกับที่เซียนวีไอสไตล์ไฟท์เตอร์ แทงเอ๊ยซื้อ jas  แบบเล่นมาร์จิ้นกันแบบตัวเดียวอันเดียว แทบจะทุกคน สรุปง่ายๆ  ก็คงแบบที่ผมพูดและได้ทำมาตลอดคือ "อย่าโลภ  เกินความรู้ ความสามารถของตัวเอง" พอผมคำนวณค่าอีในอนาคตไม่ค่อยออก ดูกราฟไม่เป็น ก็เลยต้องเน้นไปที่หุ้นที่มีค่าพีอี "ในปัจจุบัน" ต่ำที่ค่าอีไม่ได้ลดลง แล้วก็กระจายความเสี่ยงถือหลายๆตัว เพื่อรับน้ำซึมบ่อทราย  จากเงินปันผลรับ คาถากันเจ๊งหุ้นที่ผมตัดแปะไว้ในใจก็คือ "อย่าโลภ เกินความรู้ ความสามารถของตัวเอง" + แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 10:33:39 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 09:39:48 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 09:22:39 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 09:16:33 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 09:12:27 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 09:08:03 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 08:57:20

ความคิดเห็นที่ 5 มาอ่าน 1 รอบแล้ว เดี๋ยวจะมาอีกหลาย ๆ รอบค่ะ ขอมานั่งอ่านเพื่อการศึกษาด้วยค่ะ จากคุณ : Attention Please* เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 09:00:56

ความคิดเห็นที่ 6 ทำตามความรู้ ความสามารถที่เรามี ไม่ทำในสิ่งที่ไม่รู้ คาดหมายไม่ได้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ จากคุณ : nong2011 เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 09:02:12

ความคิดเห็นที่ 7 เป็นวิธีการที่ง่ายและใช้ได้ผล   แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้เพราะ บางครั้งต้องอดทนรอผลที่เกิดขึ้นซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลารอถึงเมื่อไร ซึ่งผมเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน ได้อ่านเพื่อทบทวนความรู้ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : completer เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 09:09:43

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณมากครับ ไว้จะนำไปใช้ดูครับ ผมสงสัยนิดนึงครับตรงที่ "ซากของบริษัทจะขายได้ราคาเท่าไร ? ผมจะจับหนี้สินทั้งหมดที่บริษัทมี  ลบออกจากส่วนของผู้ถือหุ้น แล้วหารด้วยสอง ปรากฏว่า  หุ้นที่ผมถืออยู่ในป้จจุบัน   ซื้อไว้ตอนราคาหุ้น มันหลุดแนวรับสุดท้ายไปแล้ว มันจะเด้งกลับมาเองในที่สุดทุกตัว ยกตัวอย่าง Rojna http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=ROJNA&language=th&country=TH เอาตัวเลขปี 53 นะครับ หนี้สินรวม 13824.56 ส่วนของผู้ถือหุ้น 5,872.21 = 13824.56 - 5872.21 /2 = 3976.175 พอได้ตัวเลขนี้แล้วยังไงต่อนะครับไปต่อไม่ถูกหน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 09:45:38 จากคุณ : Ezlo เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 09:36:10

ความคิดเห็นที่ 9 ๑  หุ้นที่มีสภาพคล่องคอสูง จะมีพีอีสูงกว่าหุ้นที่มีสภาพคล่องคอต่ำ ----------------------------------------------------------------------- ได้ศัพท์ใหม่ๆจากเฮียเอ็นโดฯอีกแล้ว ขอบคุณสำหรับแนวคิดครับ จากคุณ : ริชแมน เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 09:38:15

ความคิดเห็นที่ 10 แจ่มครับเฮีย จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 09:44:26

ความคิดเห็นที่ 11 ถือโอกาสบอกไว้ตรงนี้ครับ น่าจะมีคนเข้าใจผิดหลายคนว่า ทำไมบางที ผมไม่ค่อยได้ตอบคำถามที่มีคนถาม ความจริงคือ บางทีผมจะเลือกตอบไปทางหลังไมค์แทนครับ เลยดูเหมือนกับเสียมารยาทเหมือนกัน อย่างคุณ Ezio  ก็คงได้รับคำตอบไปทางหลังไมค์แล้่วว่า ให้เอาจำนวนหุ้นทั้งหมดหารตัวเลขข้างต้น ก็จะได้เงินต่อหุ้น ที่เราจะจากการขายซากบริษัท ลองคำนวณของ TPP ดูครับ จะตกหุ้นละเท่าไร ? + จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 10:02:30

ความคิดเห็นที่ 12 สวัสดีครับ เฮียเอ็นโด ครับ มาศึกษาเพิ่มเติม.. ขอบพระคุณอย่างสูงครับ จากคุณ : ธราธิป เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 10:42:11

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณครับ จากคุณ : mdtech เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 11:12:31

ความคิดเห็นที่ 14 มาศึกษาด้วยครับ จากคุณ : :::GANTZ::: เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 11:17:29

ความคิดเห็นที่ 15 ... ปลิงฯ เดาว่า น้าคลายฯ เลือกจาก PE ไม่สูงเกิน 2 ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูได้ (ปันผล) เติบโตได้ (GP) เป็นบริษัททำมาหากิน และค้าขายของทำกำไร ไม่ใช่ขายหุ้นทำกำไร (เน้นที่ผู้บริหารมีธรรมภิบาล) ซื้อก่อนคนในตลาดจะเข้าไปทำให้ราคามันสูงเกินมูลค่าจริง ซื้อไว้หลาย ๆ ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยง ปลิงเดาถูกมั้ยฮับ ... แบ่ร แบ่ร จากคุณ : ปลิงไทยก้าวไกลไประดับโลก เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 11:30:47

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามานั่งเรียนครับ จากคุณ : ข้าวกระเพรา เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 11:46:58

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณคะเฮียเอ็นโดฟิน เรายังเป็นเด็กน้อย ความรู้ยังด้อย เร่งศึกษา จากคุณ : แมวเหนือ เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 11:58:32

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณทุกๆท่าน ที่เข้ามาอ่าน และร่วมออกความเห็นครับ หนุ่มปลิงฯ   ตอบได้ใกล้เคียง แต่ หุ้นพีอี ๒  ไม่เคยซื้อได้เลยนะ ส่วนใหญ่จะซื้อตอนพีอีคือ เจ็ดแปดเท่าครับ ถ้าอีโตกว่าตอนที่ซื้อ โดยที่พีอียังเท่าเก่า พีก็จะขึ้นไปเอง และก็ลากเอาพีอีสูงตามขึ้นไปในที่สุด โดยพีอีสูงขึ้นจาก ค่าอีที่ยังโตต่อเนื่อง ทำให้แจ็คพอตแตกหลายครั้งแล้วครับ + แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 12:25:03 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 12:01:55 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 12:00:38

ความคิดเห็นที่ 19 เฮียเอาหุ้น PB ออกมาขายมั่งสิครับ หุ้นขาดสภาพคล่องสุดๆเลยอะ ปล. ล้อเล่นนะเฮีย ผมรู้ว่า PB เป็นหุ้นในดวงใจเฮียเลยทีเดียว จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 12:07:43

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบคุณ venezier เมื่อไรที่ยอดขายของฟาร์มเฮ้าส์ หยุดทำเรคคอร์ดไฮอย่างต่อเนื่อง ผมก็คงขายหุ้นทิ้งครับ + จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 12:18:35

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับเฮียเคลี่ หลักการของเฮีย "ง่ายแต่พ่ายยาก ที่ยากคือทำง่าย" ปล   PE ต่ำ เพราะ E ในภายภาคหน้ากำลังจะตกต่ำเรื่อยๆ  >> จดจดจ้องจ้อง เมื่อไหร่กระเตี๊อง E แข็งแต่โตช้า  >> พอไหวเงินเย็นๆ ไอเดียไม่มี ซื้อทิ้งไว้ E แข็งมีโต แต่เหตุผลงี่เง่าบางประการทำให้ตลาดมองข้าม >>  สุดยอดช่วยหาให้หน่อยครับ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 15:23:38 จากคุณ : อมหุ้นแล้วยิ้ม เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 14:30:02

ความคิดเห็นที่ 22 เข้ามาลงชื่อนั่งอ่านครับ แวะมาทีไร ได้ความรู้เตือนสติไปทุกครั้ง จริงๆ ผมว่าการหากกำไรในตลาดหุ้นมีหลายหลายวิธี ขอแค่ให้รู้จริง ในวิธีนั้นๆ ไม่ทำเกิดความรู้ความสามารถตัวเอง รู้เขารู้เรา ยังไงก็รวยได้ครับ วิธีไหนที่ทำแล้วขาดทุน ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องมานั้งวิเคราะห์ว่าเพราะอะไร แล้วหาวิธีปรับปรุง หลีกเหลี่ยงวิธีที่ทำแล้วไม่ดีขึ้น วิธีไหนที่ทำแล้ว ได้กำไร ก็ทำต่อไป พร้อมทั้งหาวิธีปรับปรุ่งให้ได้กำไรยิ่งๆขึ้น หากทำได้หลักๆแค่นี้ผมว่าในไม่ช้าก็จะเจอสไตล์ของตัวเอง และความแน่นอนของกำไร ไม่ต้องมาเครียด ว้าวุ่นให้เป็นทุกข์ ปล ผมส่งสัยมานานแล้วครับว่า ทำไม กระทู้เฮียต้องมี 96 69 ตัวเลขพวกนี้ครับ จากคุณ : Jeonathan เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 15:29:07

ความคิดเห็นที่ 23 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 16:44:00

ความคิดเห็นที่ 24 แนวคิดขายซากนี่เหมือนกับแนวคิดของปีเตอร์ ลินช์รึเปล่าครับ? ที่ลองวิเคราะห์ว่าสรุปแล้วธุรกิจเนี่ยเป็นAsset play(มีสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้ตีราคาอยู่เยอะ เช่นที่ดิน โรงงาน แต่เรือเทกองไม่นับนะจ๊ะเพราะยังมีsupplyเรือในตลาดโลกสูงประกอบกับต่างประเทศไม่ฟื้น) แนวคิดที่เอาทรัพย์สินมาหักด้วยหนี้แล้วหารด้วยจำนวนหุ้นว่ามัน net cashเท่าไหร่ (ไม่รู้ว่าถูกรึเปล่านะครับ) พอดีผมกำลังศึกษาแนวทางVIอยู่ครับ (ไม่มีเวลาดูกราฟแล้วครับทุกวันนี้อ่านแต่งบ) ป.ล. ตอนนี้พยายามที่จะทำความเข้าใจกับการมองgrowthของธุรกิจในอนาคตซึ่งจะมีผลกับepsโดยตรง ยอมรับว่ายากเหมือนกันนะครับเนี่ย สูตรดูง้ายง่ายแต่จะนำไปใช้ยากจัง จากคุณ : นักสืบจิ๋ว เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 17:57:16

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณมากค่ะ แอบอ่านมานานแล้ว เพิ่งจะสมัครสมาชิกค่ะ จากคุณ : Tense71 เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 20:46:26

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณค่ะ สมองน้อย ๆ จะพยายามศึกษาต่อไปค่ะ เข้าสมองซ้าย ทะลุสมองขวาอยู่เรื่อยเลย จากคุณ : คนน่ารักที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 08:34:22

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน และร่วมออกความเหฺ็นอีกครั้งครับ คุณ jeonathan 9 6  6 9   ไม่ใช่ส่งซิกอะไรหรอก และก็ไม่ใช่ท่าพลิกแพลงด้วยนะ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10658187/I10658187.html ตอบคุณนักสืบจิ๋ว ผมไม่ได้จำมาจากปีเตอร์ ลินซ์หรอกครับ แต่จำมาจากชีวิตจริงนั่นแหละ ยุคฟองสบู่แตก  สินทรัพย์ทุกอย่าง ถูกเลหลังขายกันอย่างหมดทางเลือก ยิ่งกว่า เมกะแกรนด์เซล ที่เป็นเช่นนั้น  รากเหง้าจริงๆ  ก็คือ หนี้  ไงครับ ถ้าไม่มีหนี้   "ใครจะมาบังคับให้เราขายอะไรแบบเมกะแกรนด์เซลได้" ตอนซื้อแจ็คเจีย  ผมคำนวณยังไง ต่อให้เอาหนี้สิ้นทั้งหมด  มาหักออกจากส่วนผู้ถือหุ้น แล้วหารด้วยสอง ยังไงก็เลหลังขายบริษัทได้เกินยี่สิบบาทแน่ๆ โอกาสแบบมินิ เมกะแกรดน์เซล ก็เพิ่งผ่านไปเมื่อสามปีก่อน ขายหุ้นกันจนเวอร์สุดๆ ขนาดหุ้นลงไป จนได้ยีลด์เกือบยี่สิบเปอร์เซนต์ ก็ยังขาย คำถามในใจของผมตอนนั้นคือ จะมีใครขายหุ้นที่ได้ยีลด์ยี่สิบ   เพื่อเอาไปฝากธนาคารเพื่อกินยีลด์ไม่เกินสอง นอกจากคนที่ต้องจำใจขายเพื่อชำระหนี้ ? + แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 54 09:50:51 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 09:48:40

ความคิดเห็นที่ 28 ตรงนี้ล่ะครับมีประเด็นหนึ่งที่ผมสงสัย แสดงว่า เราจะสามารถเข้าซื้อหุ้นได้ โดยต้องรอให้เกิดวิกฤติก่อนงั้นหรือครับ? กฏเกณฑ์ในการลงทุนตอนนี้ผมศึกษาหลายๆเล่ม พยายามหาว่าช่วงตลาดที่มันเล่นกันที่PEตลาด11-112เท่าอย่างนี้เราจะสามารถซื้อหุ้นได้หรือไม่?และอย่างไรครับ จากคุณ : นักสืบจิ๋ว เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 13:47:30

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากครับเฮีย จากคุณ : ลงทุนด้วยใจ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 21:20:46

ความคิดเห็นที่ 30 ที่คุณนักสืบจิ๋วถามไว้ว่า แสดงว่า เราจะสามารถเข้าซื้อหุ้นได้ โดยต้องรอให้เกิดวิกฤติก่อนงั้นหรือครับ? คำตอบของผมคือ ๑  สำหรับผม  ยิ่งวิกฤต  ก็ยิ่งเป็นโอกาส เพราะจะมีห้นถูกขายแบบเมกะแกรนด์เซลนับไม่ถ้วน หลับตาจิ้ม  ไปตามแนวรับสุดท้ายก็ได้เงินแล้วครับ ณ เวลานั้น อำนาจซื้อของเงินจะสูงมากๆ ส่วนอำนาจขายของหุ้นก็ต่ำติดดิน ตอนดัชนีสองร้อยจุด เงินหนึ่งร้อยบาท   อาจจะซื้อหุ้นได้ต้้งห้าร้อยหุ้น ส่่วนตอนนี้ซื้อได้แค่ร้อยหุ้นเท่านั้น เป็นต้น ๒  ลองเล่นสนุกกับสมการค่าพีอีดู จิ๊กซอที่สำคัญที่สุดคือ  ค่าอี   ถ้ามันโตต่อเนื่อง   ค่าพีจะต้องขยับตามในที่สุด แม้ว่าค่าพีอีจะเท่าเดิม ใครไม่เชื่อ  ก็ลองใส่ค่าอีที่เพิ่มขึ้น แล้วให้ค่าพีอีเท่าเดิมดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น  คนที่คาดค่าอีในอนาคตได้แม่นยำ เขาก๋คือนักลงทุนที่ จะกำไรเติบโตได้ "แบบไม่ต้องรอให้ตลาดหุ้นเกิดวิกฤตครับ" ไปๆมาๆ  มันก็วกมาที่ "อย่าโลภ เกินความรู้  ความสามารถของตัวเอง" หนังสืออ่านเยอะๆแล้ว ต้องหยิบจับเอาเฉพาะส่วนที่เหมาะกับเราที่สุดออกมาให้ได้ ผมถือว่าความรู้คือยี่สิบเปอร์เซนต์ของความสำเร็จในการลงทุน อีกแปดสิบเปอร์เซนต์  มาจากการต่อยอด ดัดแปลง ประยุกต์ใช้ ความรู้ที่เราได้รับ  ให้เป็นประโยชน์กับความสามารถของเราเอง ถ้าความรู้ที่ได้จากหนังสือคือความสำเร็จเกือบร้อยเปอร์เซนต์ ป่านนี้คงมีวอเรน บุฟเฟต์  ดร.นิเวศน์  เกลือนไปหมดแล้ว ลองใส่ค่าตัวเลขอี  ตามภาพประกอบดูครับ แล้วจะรู้ว่า  จริงๆ แล้วใครคือเจ้ามือตัวจริงในตลาดหุ้น + จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 08:24:51

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากครับ กระจ่างขึ้นเยอะเลยครับ เหมือนที่ประโยคหนึ่งที่บอกว่า "อ่านสือทั้งปีไม่เท่ากับสนทนากับผู้รู้เพียงแค่คืนเดียว" (รึเปล่าหว่า ผมยิ่งขี้ลืมอยู่ด้วย" จากคุณ : นักสืบจิ๋ว เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 09:08:18

ความคิดเห็นที่ 32 ตามมาอ่านอยู่หลังห้องครับเฮีย จากคุณ : Blur_PoDz เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 12:45:37

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณมากครับเฮีย  ได้ความรู้ทุกครั้งที่มาอ่าน  ขออนุญาตเซฟเก็บไว้นะครับ ^^ จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 18:08:32

ความคิดเห็นที่ 34 สวัสดีครับ เฮีย จาก# 27 ที่พูดเกี่ยวกับ แจ็คเจีย ว่าเอาหนี้สินหักออกจากส่วนของผู้ถือหุ้น แล้วหารด้วยสองครับ อยากจะให้ช่วยขยายความหน่อยครับ เพราะผมก็อยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นเหมือนกัน แต่ผมไม่กล้าซื้อตอน 20 กว่าบาท แล้วก็ทำไมต้องหารด้วยสองอะครับ จากคุณ : aerodynamically (aerodynamically) เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 07:46:29