===> SET วันนี้อย่าประมาท แต่ก็แอบน่ารักน่าลุ้น <===
|
|
ปกติก็ไม่ค่อยอยากจะเขียนกระทู้เดาหุ้นเล้ย ... กลัวเดาไปแล้วผิด เดี๋ยวเรตติ้งตก อิอิ แต่วันนี้ก็อยากเดาบ้างอะไรบ้างตามประสาคอหุ้น คนบ้าหุ้น และคนอยากรวย (ห้ามผวนคำนะจ๊ะ)
ประเด็นคือ ... ดัชนีร่วงลงมาติดต่อกัน 7 วันแล้วอะ !!! คือ ... จะลงมากไป บ่ ? นี่ถ้าวันนี้ลงอีกก็เป็นวันที่ 8 ที่มันจะลงแดงติดต่อกันทั้งๆที่ไม่ได้มีวิกฤติเศรษฐกิจอะไรเกิดขึ้น (เอ๊ะ หรือเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง) ก็คือถ้ามันลงอีกวันก็จะเข้าสู่โหมด "โคตร Mommy Over Over Sold" ก็ไม่รู้จะขายเอาโล่ห์กันหรือยังไงไม่รู้
เรามาสรุปสถิติกันก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้างที่ผ่านมา
เริ่มจากวันที่ 30 พ.ค. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1076.50 จุด (วันนี้หรั่ง -327.85 ล้าน) หลังจากนั้นมหกรรมขายหุ้นทอดตลาดจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
วันที่ 31 พ.ค. ปิดที่ 1073.83 ลดลง -2.67 จุด หรั่ง -1,535.96 ล้าน ... มันเริ่มแล้วสินะ วันที่ 1 มิ.ย. ปิดที่ 1065.63 ลดลง -8.20 จุด หรั่ง +328.36 ล้าน ... นั่นแน่ มีแอบล่อเม่าว่าหรั่งยังซื้อ วันที่ 2 มิ.ย. ปิดที่ 1059.81 ลดลง -5.82 จุด หรั่ง -1,560.35 ล้าน, กองขายอีก 1.1 พันล้าน ย่อยรับเละ 3.1 พันล้าน วันที่ 3 มิ.ย. ปิดที่ 1057.86 ลดลง -1.95 จุด หรั่ง -1,419.17 ล้าน วันที่ 6 มิ.ย. ปิดที่ 1046.16 ลดลง -11.70 จุด หรั่ง -1,148.99 ล้าน วันที่ 7 มิ.ย. ปิดที่ 1034.75 ลดลง -11.41 จุด หรั่ง -3,788.69 ล้าน, กองขายอีก 1.2 พันล้าน ย่อยรับเละ 4.4 พันล้าน วันที่ 8 มิ.ย. ปิดที่ 1014.58 ลดลง -20.17 จุด หรั่ง -6,311.84 ล้าน ย่อยรับเละ 6.4 พันล้าน
เอาง่ายแค่คิดแบบคร่าวๆแค่วันที่ 2, 7 และ 8 มิ.ย. ย่อยรับเละไปแล้วกว่า 14,000 ล้านบาท !!! (มันไปขนเงินมารับจากไหนกันเนี่ย)
ถ้าเราสรุปกันเฉพาะยอดซื้อขายในปีนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค. จนถึงเมื่อวานนี้ (8 มิ.ย.) พบว่า ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา สถาบันขายเยอะที่สุด ขายสุทธิกว่า -16,995.23 ล้านบาท (มันไปขนหุ้นมาจากไหนเยอะแยะ เดี๋ยวๆ !!! มีของปีที่แล้วอีก) โบรคเกอร์ ซื้อสุทธิ +2,205.77 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิแล้ว -1,678.61 ล้านบาท รายย่อยรับเละสุทธิ +16,468.06 ล้านบาท
ส่วนยอดของปีที่แล้ว (1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2553) สถาบันก็ยังเป็นฝ่ายขายเยอะที่สุดที่ -15,199.64 ล้านบาท ตามมาด้วยโบรค ขายนิดๆ -448.87 ล้านบาท ย่อยขายแหลกหาตังมารับปีนี้สินะ -66,075.30 ล้านบาท ส่วนหรั่งก็ซื้อแหลกแจกทุกวง +81,723.80 ล้านบาท
คำถาม? - ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ตอนมหกรรมทุบช่วง ม.ค. - ก.พ. ต่างชาติขายเละเอาการเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่คือเน้นกลุ่มแบงค์เหมือนรอบนี้ ที่ทุบ SCB ลงไป 80 กว่าเกือบๆ 90 ส่วน KBANK ก็หลุดไป 99 แป๊บนึงแล้วก็รีบาวด์ได้ โดยรวมแล้วถ้าสมมติกันว่าเม็ดเงินในรอบนี้ คือเม็ดเงินในกลุ่มเดียวกันที่ทุบๆลากๆกันมาตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงตอนนี้ จำนวนเงินตอนนี้ก็ถือว่าขายสุทธิออกไปหน่อยนึง ก็เท่ากับว่าหุ้นที่ซื้อมา และทำกำไรตอนต้นปีอาจจะได้กำไรประมาณ 10-15% เรียบร้อยแล้ว และเม็ดเงินเหล่านั้นน่าจะหยุดขายได้แล้วเพราะในวันนี้ขายออกไปเยอะสุดๆ แต่มันจะหยุดจริงหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะดูรอบนี้ต่างชาติพยายามลดพอร์ทกันจริงจังกว่าปกติ สาเหตุมันมาจากการ ลดน้ำหนักการลงทุนในไทยทั้งเรื่องของปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งปัจจัยเศรษฐกิจนอกประเทศด้วย อาจจะมีแนวโน้มว่าหลังจากนี้ไปถ้าหรั่งจะขายสุทธิ อาจจะขายได้น้อยลงแล้ว เพราะถ้านับจำนวนเงินที่เข้ามาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ตั้งแต่ 800-900 จุดเป็นต้นมา เชื่อว่าต่างชาติไม่น่าจะขายออกไปเพราะยังถือว่าอยู่ในต้นทุนที่ต่ำและคาดว่าน่าจะถือเพื่อลงทุน มากกว่าเพื่อการเก็งกำไรในระยะสั้น/หรือปานกลาง
- Worst Case ที่ตั้งเอาไว้คืออะไร? สำหรับผมแล้วกรณีเคสที่แย่ที่สุดจากการขายรอบนี้ของต่างชาติคืออาจจะลงไปลึกถึง 980-960 จุด เพราะทุนส่วนใหญ่ของเขาที่สามารถขายเพื่อลดพอร์ทการลงทุนในไทยน่าจะทำได้อีกราวๆ ไม่เกิน 10% เพราะถ้ามากกว่านี้มันน่าจะลงไปถึง ราคาทุนที่ต่ำของต่างชาติที่ถือเอาไว้ในเชิงการลงทุนมากกว่าเก็งกำไร แต่โดยรวมแล้วถ้าแรงขายน้อยลงเพราะลดพอร์ทได้สัดส่วนแล้ว คิดว่า 1000 จุด น่าจะเป็นแนวรับที่ยืนได้สำหรับการประเมิณพอร์ทลงทุนต่างชาติในครั้งนี้
- เศรษฐกิจโลกจะกลับไปเป็นวิกฤติอีกครั้งหรือเปล่า? ข้อนี้ผมไม่แน่ใจ เพราะสหรัฐเองก็ดูเหมือนมีปัญหา แน่นอนว่าวิกฤติยังไงซะเราหนีไม่พ้น อย่างไรก็ตามเรื่องปัญหาการเงินที่มีจุดบกพร่อง ยังไงก็ตามมันจะมีวงรอบของวิกฤติเกิดขึ้นได้อีก ผมเชื่ออย่างนั้น แต่ ณ เวลานี้ สถานการณ์โดยรวมทั้งยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นเองดูเหมือนมีปัญหาใหญ่จริงๆ แต่นั่นผมคิดว่ายังไม่น่าจะใช่ช่วงเวลาที่น่าจะเกิดวิกฤติในเร็วๆนี้ ถ้าถามว่าทำไมผมเชื่ออย่างนั้น ผมคิดว่าประเทศในกลุ่ม BRIC (Brazil Russia India China) น่าจะมีบทบาทสำคัญในการที่จะ เข้ามามีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น ประเทศในกลุ่มที่กำลังเริ่มเฟื่องฟูใหม่เหล่านี้มีความต้องการทุกๆอย่างเพื่อยกระดับประเทศสูงขึ้นได้ ความมั่งคั่งของประเทศเหล่านี้จะค่อยๆสะสมเพิ่มเติมขึ้นมา แม้ว่าโดยรวมประเทศเหล่านี้อาจจะดูเหมือนกำลังยากจน แต่ถ้าเริ่มพัฒนาดีขึ้น และยกระดับประเทศให้ดียิ่งขึ้น ความต้องการทั้งเรื่องพลังงาน อาหาร อุตสาหกรรม ฯลฯ (มากมาย) จะค่อยๆทำให้ประเทศกลุ่มพัฒนาแล้ว มีรายได้จากกลุ่มนี้มากขึ้น บางอุตสาหกรรมก็สร้างผลิตภัณฑ์ส่งให้กับจีนโดยตรงเลยทีเดียว (Made for China) นั่นหมายถึงความต้องการ ในประเทศกลุ่มเหล่านี้ยังสูง แต่ในขณะเดียวกันปัญหาเรื่องหนี้สินของยุโรปและปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงปัญหาภัยธรรมชาติจากญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ถึงกับทวีความรุนแรงขึ้น แต่มันกำลังค่อยๆได้รับการแก้ปัญหาและฟื้นฟูสภาพทุกอย่างให้กลับสู่ภาวะปกติ แต่เศรษฐกิจโดยรวมผมยังเชื่อว่าอาจจะกำลังชะลอตัวในระดับหนึ่ง ยังไม่น่าจะเติบโตได้มากมาย แต่ก็ไม่น่าจะถึงขนาดหดตัวไปแบบ Recession
- ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นต้องจับตามีอะไรบ้าง? อย่างแรกคือการเมืองไทย ... เท่าที่ผมคุยกับเพื่อนนักลงทุนที่เป็นต่างชาติหลายๆคน เขาบอกว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกหรือเป็นรัฐบาล เขาก็โอเคได้ทั้งนั้นเพราะมันมีนโยบายที่คล้ายๆกันอยู่แล้ว โมเดลในการบริหารงาน ใกล้เคียงกันแต่ปัญหาคือถ้าคนที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม แล้วมีม๊อบออกมาก่อความวุ่นวาย ความไม่สงบ แบบนี้มันใช้ไม่ได้ เพราะทั้งสองฝ่ายพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าใครก็ตามขึ้นมาเป็นรัฐบาล แล้วก็จะมีม๊อบออกมาแล้วก็ก่อความวุ่นวาย สุดท้ายประเทศไม่พัฒนา เศรษฐกิจไม่โต ผลประกอบการไม่ดี ... เขาก็ไม่ประทับใจ แล้วยิ่งเปลี่ยนรัฐบาลไปๆมาๆ แบบช่วงปีที่แล้ว ทำให้ต่างชาติเข็ดขยาดกันพอสมควร ปีนึงเปลี่ยนนายกตั้ง 3 คน ทำได้ไง ? (เขาถามผม ผมก็ตอบผมจะไปรู้เรอะ !!!) เขามองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนและหมุนไปแต่พื้นฐานของการเมืองไทยและสังคมไทยยังไม่เปลี่ยน ข้อนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การลงทุนของเขาเริ่มต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย
- ปัญหาเงินเฟ้อมีผลแค่ไหน? ผมถือว่าถ้าเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าปกติ คือเกินกว่า 5-6% ขึ้นไปแล้ว ถือว่าค่อนข้างอันตราย (จริงๆทางเศรษฐศาสตร์แค่ 4-5% ก็เริ่มดูมีปัญหาแล้ว แต่ในที่นี้ขอเป็น 5-6% เพราะถ้าเฉลี่ยทั้งโลกแล้วคงได้ผลกระทบราคาน้ำมันพอๆกัน) โดยรวมแล้วผมยังมองว่าปัจจัยพื้นฐานหุ้นของเรายังดีอยู่ เศรษฐกิจยังเติบโตได้แต่ในวงจำกัดเพราะเงินเฟ้อ และ Political Fear หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อก็ตัวที่มันทำเงินเฟ้อเองนั่นแหละ พวกกลุ่มโภคภัณฑ์ พลังงาน อาหาร และรวมถึงธนาคารด้วย
- สิ่งที่น่าจะเกิดต่อไปมีอะไรอีก? ผมคาดว่า ปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติอาจจะกลับมามีอะไรซ้ำอีกรอบ โดยพูดคุยกับเพื่อนที่เรียน สาขาวิทยาศาสตร์ธรณี(ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเชื่อถือได้แค่ไหนเพราะปัจจุบันกำลังเรียนโท) ซึ่งได้พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจตรงที่ว่า ปัญหาแผ่นดินไหวจะค่อยๆเกิดขึ้นเพราะโลกของเรามันมีแผ่นเปลือกโลกที่เป็นแผ่นๆหลายๆแผ่นของแต่ละทวีปวางเรียงๆกันเป็นจิ๊กซอ (ขอให้ทุกคนจินตนาการถึงลูกโลกและมีแผ่นๆธรณี) พอเวลาที่มันเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อแผ่นแรกไปกระทบกับแผ่นที่สอง แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นมันจะเคลื่อนไหวแผ่นเปลือกโลกแผ่นที่เกิดขึ้น เลื่อนออกไปอย่างช้าๆแล้วก็ไปชนอีกแผ่นหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม แล้วก็ค่อยๆเลื่อนอีกเรื่อยๆ จนไปชนกับแผ่นต่อๆไป ดังที่เราเห็นจากข่าวว่า ถ้าเราเอาเหตุการณ์มาเรียงต่อๆกัน เริ่มจากแผ่นดินไหวญี่ปุ่น มันก็กระเด็นมาถึงรอยเลื่อนแถวๆพม่า (ชนมาทางเอเชีย) , แล้วก็เกิดที่อเมริกาใต้ที่ชิลี (ชนไปทางฝั่งอเมริกา) แล้วก็เกิดอีกที่ แถวๆออสเตรเลียนิวซีแลนด์ (ชนลงไปทางใต้) อย่างที่ทราบกันดีคือแถวญี่ปุ่นมันเป็นแนววงแหวนไฟ ซึ่งมันสามารถชนไปในทิศทางใดๆก็ได้ เมื่อมันชนมันก็จะกระเด้งไปกระเด้งมา (แต่เด้งช้าๆนะ อย่าจินตนาการว่ามันเด้งอย่างรวดเร็ว) แล้วเมื่อมันชนไปชนมา ก็จะเกิดแรงสั่นสะเทือนทำให้มันเคลื่อนไปเรื่อยๆรอบๆแผ่นเปลือกโลกซึ่งมันก็จะเป็น Wave of quake effect ที่เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อๆกันไป สุดท้ายเรื่องปัญหาแผ่นดินไหวทำให้เกิดความเสียหาย หรือปัญหาสึนามิคลื่นยักษ์อะไร ก็อาจจะมีทางกลับมาเกิดได้ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าสนใจและมีโอกาสเป็นไปได้ทางธรณีวิทยาพอสมควร ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ว่ากันไป
- น่ารักน่าลุ้น? OPEC ออกมาแล้วผิดความคาดหมายคือยังคงอัตราการผลิตเท่าเดิม ไม่เพิ่ม ไม่ลด ซึ่งราคาน้ำมันก็ปรับตัวสูงขึ้นทันที หลังจากข่าวนี้ออกมา สรุปก็คือหุ้นพลังงานน่าจะกลับมาขึ้นใหม่ได้ หลังจากวันนี้มีการขายออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์กันมากพอสมควร
โดยส่วนตัวผมคิดว่านับจากวันนี้ไปต่างชาติน่าจะขายได้น้อยลงแล้ว เพราะเท่าที่คำนวณดูคือที่ซื้อมาในปีนี้ขายออกไปเกลี้ยงแล้วและ ยังขายของปีที่แล้วออกมาอีกด้วย แต่ถ้าถามว่าขายได้อีกหรือไม่ก็ตอบว่าได้แน่นอน เพราะถ้าขายในช่วงตั้งแต่ ก.ย. - ธ.ค. ปีที่แล้วออกมาอีกเพื่อลดพอร์ท อย่างน้อยก็ต้องขายสุทธิต่ออีกประมาณ 10,000 ล้านบาท (ไม่เกินนี้) เพราะต้นทุนเฉลี่ยของฝรั่ง น่าจะขึ้นมาอยู่แถวๆ 950-980 จุด ถ้าทุบลงไปกว่านี้สงสัยคนที่ขาดทุนก็คงจะเป็นหรั่งเองด้วยแล้วนั่นแหละ แต่โดยส่วนตัวคิดว่าขายต่ออีก 5-6 พันล้านนี่ก็ว่าเยอะแล้วนะ ถือว่าลดพอร์ทการลงทุนในหุ้นเสี่ยงบางส่วน และมีบางส่วนที่อาจจะ ไม่ต้องลดลงเพราะผลประกอบการยังคงยอดเยี่ยม รวมถึงเมื่อวานเป็นการขาย ตามกระแสข่าวที่เป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเอง การปรับลดน้ำหนักการลงทุนลง ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นการขายออกลดความเสี่ยงระยะสั้นเฉยๆ
หวังว่าทุกท่านคงจะอ่านจบนะครับ ^^ สุดท้ายนี้อย่าลืมว่ามันเป็นแค่ความเห็นหนึ่งจากผมเท่านั้น ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นจริง และไม่รับประกันความพึงพอใจ ไม่รับผิดชอบความเสียหายใดๆทั้งสิ้น ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ขอให้ร่ำรวยทุกคนครับ
ปล. เพลงนี้ผมชอบฟังก่อนเริ่มเปิดตลาด เป็นหนึ่งในเพลงคลาสสิคเพลงโปรดที่ผมชอบมากๆ
แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 01:37:02
จากคุณ |
:
venezier
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มิ.ย. 54 01:33:27
|
|
|
|