Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ไทยพาณิชย์ตีแผ่ ทำไม? ฝรั่งทิ้งหุ้นไทย ติดต่อทีมงาน

ไทยพาณิชย์ตีแผ่ ทำไม? ฝรั่งทิ้งหุ้นไทย
วันพุธที่ 08 มิถุนายน 2011 เวลา 12:20:17 น.
บล.ไทยพาณิชย์วิเคราะห์

...ทำไม?...นักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก Neutral เป็น underweight โดยระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้

นับจากวันนี้ไปก็จะเหลือเวลาไม่ถึง 1 เดือนแล้วสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. 54 แต่หากหันมาดูตลาดหุ้นไทยดูเหมือนว่าปีนี้จะไม่เหมือนกับสถิติในอดีตที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้ง ในทางตรงข้ามดูเหมือนตลาดหุ้นจะลดลงก่อนการเลือกตั้งมากกว่า

เห็นได้จากนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิมาตั้งแต่การประกาศยุบสภาฯในวันที่ 10 พ.ค. 54 จนถึงสัปดาห์ที่แล้วมีมูลค่ารวมกัน 1.51 หมื่นล้านบาท มีแต่นักลงทุนในประเทศที่ซื้อสุทธิทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ภาพดังกล่าวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในช่วงเดือน เม.ย. 54 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเก็งกำไรในเรื่องการยุบสภาฯ โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในเดือน เม.ย.ถึง 2.7 หมื่นล้านบาท ในขณะเดียวกันปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท และ 2.5 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดฯ



เหตุผลที่นักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยสู่ระดับ Underweight

- ดัชนีฯในช่วงปี 2010-11 ได้ปรับตัวขึ้นมาสะท้อนมูลค่าหุ้น (ค่า PER) ที่เหมาะสมแล้ว หลังจากที่ดัชนีฯเคยซื้อขายที่ค่า PER ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในปี 2004-2006 รวมถึงประเมินว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้ผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้ว

- ความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อ และผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
- ปัญหาความไม่แน่นอนของการเมืองในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
- นักลงทุนต่างชาติมีสถานการณ์ถือครองในตลาดหุ้นไทยอยู่มากกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี
- ผลตอบแทนของตลาดฯที่เหลือของปี 2554 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาค

เราประเมินว่าสาเหตุเดียวกันที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นเอเชีย คือ ความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯและจีนได้แก่ ตัวเลข ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ และตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีน เดือน พ.ค.พบว่า ลดลงติดต่อกันมา 2 เดือน ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะชะลอที่แรงกว่าคาดการณ์ สื่อต่างประเทศเริ่มกลับมาใช้คำว่า Hard landing สำหรับเศรษฐกิจจีน และ Double dip สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวถือว่าเป็นตัวเลขสำคัญ เนื่องจากเป็นตัวเลขสะท้อนกิจกรรมในด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่ช่วยให้หนุนให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวในปี 2552-53 นอกจากนี้ ตัวเลขทั้ง 2 ยังถูกใช้เป็นดัชนีชี้นำ(Leading indicator) การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย

ปัจจัยดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันบรรยากาศการลงทุนต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้แต่จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกกลับมาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีทั้ง 2 ตัวมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับ SET index ด้วย ประเด็นสำคัญ คือ เมื่อไหร่ที่ดัชนีทั้ง 2 ตัวจะฟื้นตัว เราคาดการณ์โดยประมาณว่าจะเป็นช่วงเดือน ส.ค. ทั้งนี้เนื่องจาก ประเมินว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดัชนีทั้ง 2 ตัวอ่อนตัวลงเกิดจากปัจจัยในเรื่องแผ่นดินไหวญี่ปุ่นส่งผลต่อการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่หากจะให้ดีจริงๆน่าจะต้องใช้เวลาอีก 1-2 เดือน ดังนั้น หากเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้ เราคาดการณ์ต่อว่า หากการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2/54 ของสหรัฐฯในช่วงปลายเดือน ก.ค.ออกมาตามคาดการณ์ คือ 3% จะส่งผลในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ฟื้นตัวจากตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 1/54 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% ทั้งนี้รวมถึง การประกาศตัวเลข CPI ของประเทศในเอเชียหากมีสัญญาณชะลอตัวลงตามคาดการณ์ คือ ช่วงไตรมาสที่ 2-3 โดยรวมจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

เมื่อไหร่ตลาดหุ้นไทยจะกลับไป 1200 จุด เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยหลังจากผ่านพ้นบรรยากาศของการ เลือกตั้งไปประมาณ 1-2 เดือน คือ ก.ค-ส.ค.จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อไปถึง 1200 จุดตามเป้าหมายของเรา เนื่องจากเราประเมินว่าเราจะเริ่มเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ ถึงแม้ยังคงมีความเสี่ยงที่บรรยากาศการเมืองไทยอาจจะกลับมาเหมือนเดิมแต่คาดว่าจะไม่รุนแรงกว่าเดิม ประกอบกับ เราคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว ตามรูปภาพด้านบน

ความเสี่ยงด้านล่างของดัชนีฯอยู่บริเวณ 1030 จุด ทั้งนี้ ประเมินจากค่า PER 12 เท่า ซึ่งเราประเมินว่าเป็นระดับที่สามารถรองรับความเสียงได้ (เท่ากับ -1SD) โดยเราใช้สมมติฐานของ EPS ปี 2554 ที่ 86 บาท จาก Bloomberg consensus

ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร ปิโตรเคมี พลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นที่คาดว่าจะลดลงจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ โดยหุ้นเด่น ยังคงเป็น KTB KBANK SCC PTTCH TOP ส่วนในระยะสั้น แนะนำ ซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL HMPRO

 
 

จากคุณ : hifolk
เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 10:18:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com