Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หุ้นหลังรัฐบาลใหม่/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

แวะมาแปะยามบ่าย... beer นกดื่มชา

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=48191
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

โลกในมุมมองของ Value Investor             11 มิถุนายน 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

  การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในครั้งนี้ผมคิดว่าเป็นการเลือกตั้งที่น่าจับตามองมาก  สาเหตุก็เพราะ
ประการแรก  มันเป็นการแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาล  ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ทุ่มเทและเสนอนโยบายที่จะเอาใจผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ของประเทศ  
ประการที่สองก็คือ  นโยบายที่นำเสนอโดยพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั้น  เป็นนโยบายที่อาจจะมีผลกระทบนอกจากกับประชาชนทั่วไปแล้ว  มันยังจะมีผลกระทบไปถึงธุรกิจต่าง ๆ  เป็นการทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญขนาดที่เรียกว่าอาจจะเปลี่ยนแปลง “โครงสร้าง” ทางเศรษฐกิจหรือการทำธุรกิจของประเทศไทย  
และประการสุดท้าย  มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจหรือความน่าสนใจของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แต่ละกลุ่ม  มาดูกันว่าเป็นอย่างไร

  การเลือกตั้งครั้งนี้มีการเสนอนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งในแง่ที่ว่า  “ถ้าคุณเลือกเราแล้ว  คุณจะได้อะไร”  สิ่งที่จะได้ไม่ใช่แค่นโยบายกว้าง ๆ  อย่างที่เคยเป็นมา  แต่เป็นสิ่งที่ชัดเจนและบอกเป็นตัวเลขได้ในหลาย ๆ  ด้าน  ผมคงไม่พูดถึงนโยบายทั้งหมดแต่จะพูดเฉพาะเรื่องที่ผมคิดว่าจะมีผลกระทบรุนแรงและน่าจะเกิดได้ทันทีหรือในเวลาอันสั้นมากนั่นคือนโยบายเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำ  และนโยบายอัตราภาษีนิติบุคคล  เพราะนี่คือนโยบายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง  และนโยบายการ “รับประกันราคา” สินค้าเกษตรหลัก ๆ  เช่นข้าว เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคนจำนวนมากที่เป็นเกษตรกร

  ถ้าหากมีการดำเนินนโยบายตามที่ประกาศจริงหลังจากที่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน  ดูเหมือนว่าสิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนก็คือ  จะมีการปรับอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมากซึ่งนี่ก็น่าจะกระทบไปถึงแรงงานในระดับอื่นด้วยที่จะต้องเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย  ผลก็คือ  คนงานซึ่งมีอยู่จำนวนมากจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก  เช่นเดียวกัน  การประกันราคาพืชผลก็จะส่งผลให้เกษตรกรจำนวนมากมีรายได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน  นี่จะส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมากทันที  เงินที่มากขึ้นนี้จะถูกนำมาใช้จ่ายซื้อสินค้าทำให้การบริโภคภายในประเทศเฟื่องฟูขึ้นมาก  และสิ่งที่จะตามมาก็คือ  อัตราเงินเฟ้อก็น่าจะสูงขึ้นพอสมควรทีเดียว  อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อนี้ก็ไม่น่าจะสูงเกินกว่าค่าแรงที่ได้เพิ่มขึ้น  ผลก็คือ  คนที่มีรายได้น้อยและเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศน่าจะได้ประโยชน์  ความมั่งคั่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

  หันกลับมาดูธุรกิจและผู้ประกอบการทั้งหลายก็จะพบว่า  ต้นทุนของสินค้าและบริการของเขาจะเพิ่มขึ้น  มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณแรงงานที่พวกเขาต้องใช้  โดยทั่วไป  สัดส่วนต้นทุนแรงงานของธุรกิจขนาดเล็กจะสูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่  สัดส่วนการใช้แรงงานของธุรกิจที่ใช้เท็คโนโลยีต่ำก็จะสูงกว่าอุตสาหกรรมที่ใช้เท็คโนโลยีสูง ดังนั้น  ธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจที่ใช้เท็คโนโลยีต่ำก็จะถูกกระทบรุนแรงเพราะจะมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

  ถ้าหากว่าธุรกิจมีการแข่งขันหรือขายสินค้าหรือบริการภายในประเทศเป็นหลักและสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้อย่างจริง ๆ  จัง  แบบนี้ธุรกิจก็อาจจะไม่ถูกกระทบมาก  เพราะเมื่อต้นทุนของธุรกิจสูงขึ้นพอ ๆ  กันทุกราย  พวกเขาก็สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการ  ผลก็คือ  พวกเขาก็น่าจะยังสามารถทำกำไรได้ต่อไป    ธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศนั้น  ถึงแม้ต้นทุนค่าแรงจะเพิ่มขึ้นมาก  พวกเขาก็ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศได้  เพราะคู่แข่งของพวกเขาที่อยู่ในประเทศอื่นนั้น  ไม่ได้มีต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น  ดังนั้น  ผู้ส่งออกน่าจะมีกำไรน้อยลงหรือบางรายอาจจะขาดทุนและไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ต่อไป  ดังนั้น  สิ่งที่แน่ชัดก็คือ  การส่งออกของประเทศน่าจะชะลอตัวลง   กำไรของบริษัทส่งออกน่าจะน้อยลง  ความมั่งคั่งของผู้ส่งออกน่าจะลดลง  ผู้ส่งออกเป็นผู้ที่เสียประโยชน์อย่างชัดเจน

  ธุรกิจที่เน้นขายให้กับผู้บริโภคภายในประเทศนั้น  บอกไม่ได้ชัดว่าเสียประโยชน์จากนโยบายเพิ่มค่าแรงและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร  เพราะถึงแม้ค่าแรงซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตจะเพิ่มขึ้น   หลาย ๆ  ธุรกิจก็สามารถเพิ่มราคาขายสินค้าและบริการได้  นอกจากนั้น  การที่ประชาชนมีรายได้มากขึ้นก็ทำให้พวกเขามีการซื้อมากขึ้น  รายได้ของธุรกิจก็สูงขึ้น  นี่ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นซึ่งก็ทำให้ธุรกิจขายสินค้าและมียอดขายสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อด้วย  นอกจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว  หากว่ารัฐบาลลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง  ต้นทุนทางด้านภาษีก็ลดลง  เมื่อประกอบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น  กำไรของบริษัทก็อาจจะไม่ลดลง  หรือบางทีอาจจะดีขึ้นด้วย   ดังนั้น  สำหรับผู้ที่ขายสินค้าหรือให้บริการภายในประเทศแล้ว  พวกเขาอาจจะไม่เสียประโยชน์  หลายบริษัทอาจได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ

  หากว่าอัตราการเพิ่มของค่าแรงสูงมากพอ   ผลกระทบรุนแรงพอ  เราก็อาจจะได้เห็นธุรกิจโดยเฉพาะที่เป็นผู้ส่งออกบางรายอยู่ไม่ได้เพราะสินค้าที่เคยผลิตไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก   การส่งออกที่เคยเป็น  “เครื่องยนต์หลัก”  ในการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะมีบทบาทน้อยลง   เราจะไม่ได้เห็นการส่งออกที่โตเอา ๆ  ต่อเนื่องมาเป็นสิบ ๆ  ปีอีกต่อไป   ในอีกด้านหนึ่ง  การบริโภคภายในประเทศจะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น   ในภาพใหญ่ของประเทศ  การกระจายความมั่งคั่งของคนไทยก็จะดีขึ้นเพราะประชาชนทั่วไปจะมีรายได้มากขึ้น   ในขณะที่ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยอาจจะมีรายได้น้อยลง  ดังนั้น  ถ้าเป็นแบบนี้ผมคิดว่านโยบายที่เสนอมาก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรมากและน่าจะเป็นผลดี

  ประเด็นปัญหาก็คือ  ถ้าหากการเพิ่มค่าแรงและรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อยนั้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากเมื่อเทียบกับผลิตภาพในการผลิตและธุรกิจและแรงงานไม่สามารถปรับตัวได้  ผลที่จะเกิดขึ้นก็อาจจะน่ากลัวและเป็นอันตรายกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว  เหตุผลก็คือ   การส่งออกของประเทศก็จะลดลงมาก  ธุรกิจก็อาจจะต้องเลิก  การจ้างงานอาจจะลดลง  คนอาจจะตกงาน  รายได้โดยรวมของผู้มีรายได้น้อยก็จะลดลง  การบริโภคภายในประเทศก็จะลดลงตาม และดังนั้น  แม้แต่ธุรกิจที่เน้นการบริโภคในประเทศเองก็อาจจะมีรายได้น้อยลง  การจ้างงานก็อาจจะลดลงไปอีก  สุดท้าย  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะลดลง  และเมืองไทยก็อาจจะกลายเป็นประเทศที่ไม่สามารถแข่งขันได้คล้าย ๆ  กับประเทศอย่างฟิลิปปินส์ที่มีค่าแรงขั้นต่ำอาจจะสูงแต่คนไม่มีงานทำ

  ผมคงไม่กล้าเดาว่าประเทศไทยหลังจากมีรัฐบาลใหม่เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร  แต่ในด้านของหุ้นนั้น  ในขั้นนี้เพื่อความปลอดภัย  ผมคงพยายามที่จะเลือกหุ้นลงทุนที่จะปลอดภัยถ้ามีการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว  และอาจจะพิจารณาหลีกเลี่ยงหุ้นของกิจการที่จะถูกกระทบรุนแรง  อย่างไรก็ตาม  โดยส่วนตัวแล้วผมก็คิดว่า  บริษัทจดทะเบียนในตลาดดูเหมือนว่าจะถูกกระทบน้อยกว่าบริษัทขนาดเล็กและบริษัทผู้ส่งออกที่ส่วนใหญ่อยู่นอกตลาดหุ้น

 
 

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 54 13:56:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com