ความคิดเห็นที่ 1 ผมขอเริ่มยิงคำถามยอดฮิตก่อนล่ะกัน - ปัจจุบัน พี่ๆ ยังทำ DSM กันอยู่หรือเปล่าครับ (ผมไปข้างนอกแป๊บ  กลับมา จะตอบคำถามตัวเองด้วยครับ) จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 15:18:47

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณพี่ minibar มากครับ ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาแลกเปลี่ยน....... อยากให้ทุกคน โดยเฉพาะพี่ๆ ที่ทำ DSM มานาน ลองแลกเปลี่ยนกันครับ.... คำถาม ต่อจากพี่ มินิบาร์ครับ.......... - จังหวะ การซื้อหุ้นเพิ่ม เข้าพอร์ต ตัวเดิม .... พี่ๆ มีแนวคิดพลิกแพลง อย่างไรครับ       ..... เรื่อง เงินที่เอามาซื้อ       ......เรือง จังหวะ เวลาซื้อ       ......เรื่อง จำนวนหุ้นที่เหลือ ก่อนซื้อ       ......เรือง หรือเมื่อไหร่ จึงเข้าซื้อตัวใหม่ เอาตัวเดิมออกไป       อื่นๆ ที่พี่ๆ อยากฝากไว้ครับ.........ขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 15:32:04

ความคิดเห็นที่ 3 ถาม  ทำดีเอสเอ็มมานานหรือยังครับ ตอบ  ถ้าเป็นเรียนหนังสือก้อซ้ำชั้นมาหลายปีแร้วครับ  สงสัยจะโดนรีไทร์แน่เรยย์ ถาม  ดีเอสเอ็มที่ทำอยู่เป็นงัยมั่งครับ ตอบ  สงสัยไม่ใช่ดีเอสเอ็มแล้วครับ ถาม  ทำไมละครับ ตอบ  ที่ทำอยู่ไม่เหมือนกับในกล่องดำเลยครับ   ถาม  ทำไมไม่ทำให้เหมือนละครับ ตอบ  เพราะชอบเดาตลาดครับ  เดาว่าขึ้นแยะก้อซื้อแยะ  เดาว่าลงแยะก้อขายหมด ถาม  โอ้ว  ถ้างั้นก้อรวยแล้ว  มีอิสรภาพทางการเงินแล้วสิครับ ตอบ  ถามแบบนี้มาชกกันดีป่าว   จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 16:03:11

ความคิดเห็นที่ 4 ไปทำจัยมาแร้ว  มาต่ออีกหน่อย ถาม  ถ้าพี่ไม่ทำดีเอสเอ็ม  งั้นพี่ต้องเป็นเคแซดเอ็มแหง ๆ เลย ตอบ  ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปหมดแร้วครับ ถาม  ถ้างั้นพี่มาอยู่ในห้องนี้ทำไมละครับ ตอบ  นั่นนะสิ  เคยถามตัวเองเหมือนกัน   ถาม  แนวทางของพี่  น่าจะเป็นเก็งกำไรใช่มั้ยครับ  ซื้อถูก  ขายแพง ตอบ  ก้อไม่ใช่อยู่ดี  น่าจะเป็น  ซื้อผิด  ขายผิดอีกแระ   ถาม  อะไร ๆ  ก้อไม่ใช่  แล้วแนวทางของพี่เป็นงัยครับ ตอบ  ตรูก้อไม่รู้  ตรูมาววววววว  เมาหุ้น   จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 16:14:54

ความคิดเห็นที่ 5 ปล.  ถือว่าคุยกันหนุก ๆ  นะครับ   ถาม - ตอบ  เลียนแบบป๋าห่าน  กันพี่ป่าน   ระหว่างที่รอ  ผู้อาวุโส  มาตอบคำถาม   ที่ยังสิงสถิตย์อยู่ห้องนี้  ไม่ไปไหน  ก้อเพราะ  พี่ ๆ  เพื่อน  ๆ   คุยกันอบอุ่นดีครับ  เป็นความผูกพันธ์ตั้งแต่เข้าตลาด จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 16:21:27

ความคิดเห็นที่ 6 รอพี่ๆเก่ามาตอบคำถามด้วยคน ขอถามหนึ่งข้อมีพี่ๆท่านไหนตี 3-0-2-8 ออกเเล้วบ้างครับ เเนะนำรุ่นน้องด้วยครับ จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 18:53:03

ความคิดเห็นที่ 7 มาแอบนั่งอ่านคะ ส่วนตัวนู๋ไม่มีคำตอบ และไม่มีคำตอบอะไรกะเค้าคะ แอบอ่านอย่างเดียว ^^ จากคุณ : daandart เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 19:13:59

ความคิดเห็นที่ 8 เข้าแถวรอ จากคุณ : อัตโนมัติ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 19:22:28

ความคิดเห็นที่ 9 - ปัจจุบัน  ทำ DSM อยู่หรือเปล่าครับ ตอบ  ผมคิดว่า แต่ละคนมีความหมายของคำว่า  DSM  ไม่เหมือนกัน  ซึ่งผมขอแยกเป็นเรื่อง ๆ เท่าที่นึกได้ ดังต่อไปนี้ 1. DSM คือ การสะสมหุ้น    ถ้าแบบนี้ ผมไม่ได้ทำครับ  ผมยังไม่ได้เลือกหุ้นที่จะเก็บไว้ตลอดชีวิต  ดังนั้น ที่ผ่านมา ผมเลยไม่ได้คิดจะสะสมหุ้น   เห็นราคาน่าสน ผมก็ซื้อ   และหลังจากนั้น  ก็ขาย ๆๆๆ  จนบางที หมดเกลี้ยงเลย  (แต่ในอนาคต  อยากสะสมหุ้นแล้วครับ   คงจะเลือกหุ้นที่มั่นคง และคาดว่าจะอยู่ในตลาดได้ชั่วลูกหลาน) 2. DSM คือ การเล่นตามรูปแบบที่อยู่ในกล่องดำ เป๊ะ ๆ แบบนี้  ผมก็ทำไม่ได้อยู่ดี  เพราะยังมีอารมณ์ และการเดาตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ (ซึ่งก็มีทั้งเดาถูกและเดาผิด   แต่ส่วนใหญ่ จะเดาผิดมากกว่าถูก  555555555+ ) 3. DSM คือ การซื้อให้ถูกกว่าขาย แบบนี้  เป็นแนวคิดที่ผมศรัทธาและยึดถือเสมอมา   เพราะผมคิดว่า  ถ้าเราได้ กสงฝ ไปเรื่อยๆ  มันก็เหมือนเครื่องปั๊มเงิน ที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลย       แต่ถ้าถามต่อว่า  สำเร็จไหม ก็ยังครับ  เพราะถ้าหุ้นขึ้น ไปเรื่อย ๆ  สักวันหนึ่ง หุ้นมันก็อาจหมด  เครื่องปั๊มก็หยุดทำงานไปเฉยเลย   คงต้องพยายามกันต่อไป ที่ผ่านมา  ผมเล่นหุ้น คล้าย VI  ผสม DSM (ซื้อให้ถูกกว่าขาย) ซะมากกว่า     ซื้อหุ้นที่คิดว่าราคาต่ำกว่าที่เป็น เพื่อรอวันที่มันแสดงศักยภาพ แล้วไปขายราคาแพง ๆ    แต่ถ้าเกิดราคามันตำ่กว่าที่ซื้อ  ก็ต้องทำ DSM เพื่อรักษาชีวิตไปเรื่อย ๆ ไว้ก่อน ความจริง ถ้าพูดตามตรง DSM ของท่านเจ้าสำนัก   คือ การออกแบบระบบ เพื่อสะสมหุ้นเป็นหลัก  ผมบอกแล้วไงครับว่า   ผมออกนอกลู่ นอกทางไปไกล    ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังเชื่อมั่นและศรัทธา ในระบบนี้มากสุด  เพราะความที่เรียบง่าย และใช้ได้กับหุ้นทุกแบบในตลาด   (อย่างพี่ Chinn ผมก็จำได้ว่า  พี่เขาก็อาศัยแนวคิด DSM ส่วนหนึ่ง  ในการแก้ปัญหาพอร์ท   เมื่อซื้อหุ้นแล้วราคากลับไม่เป็นไปดังคาด) ผมได้ติดตามอ่านในคลับที่มีการใช้ระบบอื่น ๆ หรือ กระทั่งปามีด หรือวิธีอื่น ๆ  แต่ก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนเป้าหมายตัวเองออกไป ถือว่า ลางเนื้อชอบลางยาครับ  และก็เชื่อว่า ผมทำอย่างอื่นไม่ได้  เพราะคนเรามันเชี่ยวผิดกัน ไอ้ศร !!  และ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร มองยังไง ผมก็ยังรัก, ศรัทธา และนับถือ DSM ตลอดไป  เพราะเป็นระบบที่ผมทำแล้วสบายใจดีครับ อิอิ   จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 21:49:57

ความคิดเห็นที่ 10 ขอถามด้วยครับ คือ 1. จะรู้ได้งัยว่าถึงเวลาปล่อยส่วน 8 ออกทำงานครับ... (ขอร้อง.. อย่าตอบว่าระบบบัญชีนะครับ) 2. อืมมมม... รู้สึกว่ามีคำถามข้อหนึ่งข้อเดียวครับ... ขอบคุณครับ... จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 21:50:32

ความคิดเห็นที่ 11 อยากบอกพี่จอนฟอนว่า พี่เขียนได้ฮาดี  ชอบครับ ชอบ ๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 21:51:50

ความคิดเห็นที่ 12 หวัดดีครับพี่เกี๊ยก.. เจอกันพอดีเลย ผมก็ยังทำ dsm อยู่นะครับ แต่ปัญหาที่กังวลใจอันเดียวก็ที่ถามอันนั้นอ่ะครับ... แต่ถ้าเข้าใจได้... ผมคงยิ้มได้มากกว่านี้ครับ... หวังว่าพี่คงจะช่วยน้องคนนี้ได้นะครับ อิอิ จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 21:54:39

ความคิดเห็นที่ 13 หวัดดีครับ  พี่ยิปซี คำถามพี่ มีส่วนที่คล้ายกับคำถามของพี่ GF เลย      เราลองมองระบบก่อนในส่วนที่เป็น  3-0    ถ้าถามว่า เรารู้ได้ไงว่า  เป็นส่วน 3   ย่อมเห็นได้ว่า  เราไม่มีทางรู้ก่อนเลย  จนกว่าเราขายไปแล้วมันย้อนกลับขึ้นไปเรื่อย ๆ  มันก็เลยกลายเป็นส่วน 3 พูดง่าย ๆ เรารู้เพราะเรามองย้อนกลับไปในอดีต ไม่ใช่รู้ จากปัจจุบันที่เป็นอยู่ ที่นี้ ส่วน 8 ล่ะ  มันก็ทำนองเดียวกันครับ   เราไม่มีทางรู้เช่นกัน  สิ่งที่พวกเราคาดหวังกันทุกคน คือ  ซื้อต่ำ ๆ  และไปขายทิ้งที่ 8 ให้หมด  ซึ่งเป็นไปไม่ได้ครับ  เราไม่มีทางเดาออก ที่นี้  ลองมองสองมุม  สมมุติ เราอยู่ในโซนที่ไม่ใช่ 8  และเราขายเยอะ สุดท้าย มันกลับย้อนขึ้นไปอีก เราก็เสียดายโอกาส ในทางกลับกัน ถ้าเราเลือกขายน้อย  แต่มันดันอยู่ในโซน 8   สุดท้าย มันลงมาเยอะ เราก็เสียดายอีก ทั้งสองอย่างนี้ครับ  เป็นอารมณ์ที่เจ้ามือ เล่นกับเรา   ทางที่ถูกคือ  เราต้องมองเป้าหมายหลัก คือ การเน้นสะสมหุ้น  เราต้องวางแผนรองรับไว้ว่า  ถึงเดาผิด  เราก็ไม่เสียหาย  (เน้นนะครับ  ไม่เสียหาย  ไม่ใช่ ไม่เสียดาย) ถ้าเราจัดแบ่งสัดส่วนหุ้นไว้รองรับตลาดได้ดี   ถึงหุ้นขึ้นไปสูงแล้วลง  ถึงแม้เราไม่ได้ขายจนหมดมือ  เราต้องมองอีกมุมว่า  ดีแล้วที่มันลงมา เราจะได้เก็บหุ้นคืนมาให้หมด     ลองพิจารณาดูนะครับ ประเด็นเรื่องหุ้นที่รายย่อยโดนก็เพราะ  คำว่ามูลค่าพอร์ท (ราคาหุ้น) และกำไร นี่ล่ะครับ (เหมือนที่ อจ มัดเล่ย์เคยบอกไว้เช่นกัน)  ถ้าเราซื้อหุ้น กินปันผล ไม่สนใจอะไรเลย  เจ้ามือจะทุบหุ้นลากหุ้น รายย่อยนิ่งกันหมดทุกคน ไม่ยอมซื้อ ไม่ยอมขาย  เจ้ามือก็ซึมครับ  (ซึ่งถ้าเจ้ามือ ยังกล้าทุบราคาให้ต่ำอีก  แล้วรายย่อยส่วนอื่น ๆ  เห็นราคาถูก  ก็รีบเก็บอีก  เพราะเทียบกับปันผลแล้วคุ้มค่า  ถามว่า เจ้ามือจะทำอะไรได้ครับ  เพราะซื้อหุ้นมาแพง แล้วกดลงต่ำ  และก็มีคนรับไปหมด  ไม่มีใครยอมคายออกเลย) ดังนั้น สรุปนะครับว่า  เลิกคิดในการที่ขายได้กำไรมากสุด  แต่ออกแบบให้อยู่ในตลาดได้ตลอดไปจะเป็นไปได้มากว่าครับ    แม้แต่ ในระบบ KZM ก็ยังต้องแบ่งโซนขายไว้  ทั้งๆ ที่เราอาจซื้อหุ้นได้ต่ำมาก ๆ เช่น  เราตั้งโซน tdex ไว้ที่ 3 - 8 บาท  จากนั้น เราโชคดี ซื้อรวบทุกโซน tdex ในราคา 3 บาท  ถามว่า ทำไมเราไม่เก็บไว้ขายหมดที่ราคา 7-8 บาท  นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า เมื่อไร มันจะไปถึงราคานั้น ๆ  อาจเป็นปี ๆ หลายปี ก็ได้   ดังนั้น ระบบเลยออกแบบไว้รองรับการขายถึงราคา 8 บาท แต่ถ้ามันขึ้นไปถึงราคาหนึ่ง (3.2, 3.4, ...)  เราก็ปล่อยออกส่วนหนึ่ง  และถ้ามันถึง 5 บาท เราก็ไม่ทิ้งหมดอยู่ดี  เพราะเรากลัวว่ามันจะขึ้นไปต่ออีก (ทั้ง ๆ ที่รอบนั้น ราคา 5 บาทอาจเป็นราคาสูงสุด แล้วลงยาวไปที่ 3 บาทใหม่ก็ได้) ถามว่า ที่ราคา 5 บาท เราไม่ขายหมด  แล้วมันลงยาวล่ะ  เราเสียหายไหม  ไม่เสียหายครับ แค่กำไรน้อยลงไปเท่านั้นเอง  แต่สิ่งที่เราได้กลับมาล่ะ  คือโอกาสในการเก็บ tdex ที่ราคา 3 บาทอีกรอบแล้วครับ  แนวคิดตรงนี้ มันชัดเจนครับว่า เราไม่มีทางรู้ว่า จุดสูงสุดมันอยู่ตรงไหน   ยกเว้น  กรณีเดียว คือ เรามีอินดิเคเตอร์ที่แม่นยำ มาช่วยบอกทางเรา   ซึ่งในกรณี DSM  เราไม่มีอินดี้ แบบนี้เลยครับ เราลองถามตัวเองว่า  วันนี้ อยากให้หุ้นขึ้นหรือหุ้นลง ถ้าตอบว่า  ต้องขึ้นเท่านั้น ไม่งั้น พอร์ทเสียหายหนัก ถ้าตอบว่า  ต้องลงเยอะ ๆ ครับ  เพราะขายหมูไปหมดแล้ว นั่นแสดงว่า  ระบบเรามีปัญหาแล้ว  เรากำลังจะเดาตลาดอยู่ ที่ควรจะเป็นคือ  หุ้นขึ้นก็ดี  ฉันจะได้กำไรยิ่งขึ้นอีก  หุ้นลงก็ดี  ฉันจะไดขายหุ้นทิ้งเรื่อย ๆ  แล้วจะได้เก็บหุ้นถูก ๆ อีก     เรียกว่า  ระบบออกแบบรองรับทั้งขึ้นและลงดีเพียงพอแล้ว (ปล. สัก 6-8 เดือนก่อน ตอนที่หุ้น 800-900 จุด  หลายคนเคยคิดเสียดาย อยากให้หุ้นกลับไปต่ำเหมือนตอนเซท 400     แต่ถ้าวันนี้  หุ้นกลับไปที่ 400 จริงๆ   เราจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ครับ  ????????   ฝากลองคิดดูนะครับ) เมื่อยจริง ๆ พิมพ์บน IPAD   เฮ้อ เหนื่อย.... จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 22:53:53

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณพี่เกี๊ยกครับ  ปัจจุบันที่เทรดอยู่ไม่มีปัญหาในการที่จะพาหุ้น 8 ขึ้นไปได้เรื่อย เเต่มีปัญหาว่าเวลามันลงไม่สามารถทิ้ง 8 ไว้ที่ยอดได้ เพราะระบบจะสั่งให้ซื้อคืนในจังหวะที่มันเด้งขึ้นมาตลอด[ผมใช้ขึ้น 4 ช่องซื้อคืน]  จริง กสงฝ ที่ได้ตอนนี้ก็ OK นะครับเลยไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาครึ่งปีละ  เเต่ได้ไปอ่านกระทู้พี่เทพคุยกับพี่ทู เลยมาไฟขึ้นมาอีก ก็เลยมาลองนั่งคิดดูอยู่ว่าทำ ไง กสงฝ จะมากขึ้น :) PS กิ๊ฟหมดเเล้วครับ จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 54 23:29:44

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากๆครับพี่เกี๊ยก... ประโยคนี้เก็ทเลยครับ "ไม่เสียหาย  ไม่ใช่ ไม่เสียดาย".............. เริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้นครับ...ติดบ่วงหลงอยู่นานเพราะคำว่า "เสียดาย" นั่นแหละครับ..... ขอตัวไปกินข้าวก่อนครับ.... จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 09:42:59

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณ ... พี่เกี๊ยก......(ขอเรียกตาม รุ่นพี่นะครับ) อธิบาย .... เห็นภาพชัดเจนเลยครับ.... แต่พี่เกี๊ยก.. ลองแชร์มุมมอง การซื้อเพิ่ม.... จากที่ผมถามไว้ คคห..2  นะครับ... อยากทราบมุมมอง ที่ใช้จริงบ้างอ่ะครับ.... ถ้าพี่มีเวลา และไม่รบกวนจนเกินไป... พี่คนอื่นๆ ก็ร่วมแชร์กันได้นะครับ.... จะมีหลากหลายมุมมองครับ... ขอบคุณครับ.... จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 09:54:29

ความคิดเห็นที่ 17 ยังไงก็ขอฝากอีก 1 คำถามครับ.... หลักการเลือกหุ้น... พี่ๆให้ความสำคัญกับแบบใหนมากสุดครับ สมมุติว่า มีหุ้นที่เรา กรองแล้วคิดว่า....................... ...... แกว่งตัว ในช่วงราคาค่อนข้างมากในแต่ละวัน พื้นฐาน ปันผล งั้นๆ... ...... แกว่งตัวน้อย ปันผลดี  พื้นฐาน งั้นๆ... ...... แกว่งตัวน้อย พื้นฐานดี  ปันผลงั้นๆ.. ...... หุ้นนำในแต่ละ กลุ่มธุรกิจ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น.. ...... ไม่ต้องวุ่นวาย เลือกหุ้นใน เซต 50 นี่ละ.. ...... เหตุผลอื่นๆ ที่พี่อยากบอก... จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 10:02:03

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาสวัสดีพี่ๆ .. แล้วก็ขออนุญาต พี่เกี๊ยก ด้วยครับ  ขอแฮปข้อควมพี่นะครับ ชอบมากๆครับ ขอบคุณคราฟฟฟฟฟ จากคุณ : SameOne เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:50:27

ความคิดเห็นที่ 19 สองวันแร้ว  ทู้อืดจัง  สงสัยไปเที่ยวกันหมด มาต่อนิดนึง  เผื่อศิษย์พี่รุ่นแรก ๆ  มาตอบคำถามอีก ก่อนอื่น  เห็นด้วยกับพี่เกี๊ยกทั้งสองกล่อง  9 + 13 .................................................................. ดีเอสเอ็มออกแบบมาเพื่ออยู่กับหุ้นไปนาน ๆ  เหมือนวีไอ  จนกว่าพื้นฐานจะเปลี่ยนแปลง ถ้าจะบอกว่าตลอดชีวิต  ก้อแหม  มันสุดโต่งไปหน่อย  ปีที่แล้วผมทำได้สูงสุดแค่หกเดือน   จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 16:53:29

ความคิดเห็นที่ 20 ทีนี้หุ้นตัวไหนที่จะอยู่กับเราไปนาน ๆ  ไม่เจ๊งออกจากตลาดไปก่อน   ก้อต้องหุ้นในเซทห้าสิบ  เจ้าสำนักพี่เด่นศรีบอกว่า  ชัวร์สุด  คนเล่นแยะ  ทั้งสถาบัน  รายย่อย  ต่างชาติ ส่วนพี่มัดแนะนำทีเด็ก  เพราะง่ายที่สุด  ไม่มีทางเจ๊ง  ถ้าตลาดไม่เจ๊งไปก่อน  อิอิ ถ้าให้ดีต้องเป็นตัวในเซทห้าสิบที่สวิงดี ๆ  รอบนึงขึ้นเยอะลงแยะ  กลับไปกลับมานี่ชอบมาก  เพราะถ้าขายผิด  ซื้อผิด  นี่จะได้แก้ไขได้ง่ายขึ้น  ถ้าทำผิดระบบ ที่ว่าแก้ไขง่าย  ก้อคงเป็น  บัญชีฟันหลอ  ขายข้างล่างแยะ  ซื้อข้างบนไว้เยอะ ต้นทุนเฉลี่ย  สูงกว่าตลาด  หุ้นหาย  เงินสดเหลือน้อย  พูดง่าย ๆ คือทำผิดระบบ  มีเวลาให้แก้ตัวได้หลายครั้ง   จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 17:13:03

ความคิดเห็นที่ 21 พูดมาเหมือนรู้  แต่ทำไมทำไม่ได้   อันนี้ต้องยืมคำพูดของพี่เอ็นโดฟินมาครับ คนเรารู้เหมือนกัน  แต่ที่ทำได้ไม่เหมือนกัน มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง  ที่พอจำได้  คือ   1.  อายุ   2.  สังคม  สิ่งแวดล้อม  ประสบการณ์ 3.  ทุน 4.  อารมณ์  3  ข้อข้างบนจะเป็นตัวกำหนดอารมณ์  ความมีวินัย  การทำตามระบบครับ รายละเอียดนี่เด๋วต้องไปค้นดูก่อน  อิอิ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 54 19:44:52 จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 17:18:39

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าจะสรุป  ก้อคง  ดีเอสเอ็ม  เป็นวิธีการสะสมหุ้นดี ๆ  ให้ได้แยะ ๆ  โดยไม่เพิ่มทุน   ที่ผมทำไม่ได้  ขอสารภาพว่าเพราะเปลี่ยนตัวเล่นไปเรื่อย ๆ   ก้อเพราะคิดว่าหุ้นตัวอื่น  พื้นฐานดีกว่า  ผลประกอบการกำไรน่าจะมากกว่า  อัพไซด์เหลือแยะกว่า ที่สำคัญราคาแพงขึ้นทุกวัน  ไม่ซื้อไม่ได้แร้วโว้ยยยยยยยยยย   ส่วนหุ้นเราสาละวันเตี้ยลงทุกวัน  ข่าวไม่ดีมีออกมาเรื่อย ๆ   งบก้อห่วย  ราคาก้อเห่ย  ไม่ไปไหนมาไหน  แรก ๆ  ก้อสวิงดี  ตอนนี้เจ้ามือไม่ว่าง  ไปใช้ตังค์ที่ได้มาจากเม่าอยู่ พอเปลี่ยนตัวปุ๊บ  ร่วงปั๊บ  ให้ได้แก้ไขปอด  โดยวิธีการดีเอสเอ็ม  ฮ่วย   เอ  คำสารภาพนี่  เขาเอาไว้พูดตอนสิ้นปีนี่นา  ห้องนี้มีกระทู้สารภาพทุกสิ้นปี   จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 17:34:53

ความคิดเห็นที่ 23     คุณminibar จากคุณ : ช้างทมิฬ เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 19:03:51

ความคิดเห็นที่ 24 พี่จอนฟอน จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 19:18:49

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณพี่เกี๊ยก ขอบคุณพี่จอนฯ ขอบคุณผู้ถาม ขอบคุณผู้ตอบ จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 20:09:29

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบ ของพี่ GF  ที่บอกว่า ปัจจุบันที่เทรดอยู่ไม่มีปัญหาในการที่จะพาหุ้น 8 ขึ้นไปได้เรื่อย เเต่มีปัญหาว่าเวลามันลงไม่สามารถทิ้ง 8 ไว้ที่ยอดได้ เพราะระบบจะสั่งให้ซื้อคืนในจังหวะที่มันเด้งขึ้นมาตลอด[ผมใช้ขึ้น 4 ช่องซื้อคืน]  เรื่อง การซื้อ การขายหุ้นเป็นอะไรที่ inverse กันเสมอ !!! ถ้าระบบรักษาส่วน 8 ไม่ดี  ระบบก็จะได้กสงฝ เยอะเมื่อหุ้นไปไม่ไกลแล้วย่อลง ถ้าระบบรักษาส่วน 8 ดีมาก ระบบย่อมมีปัญหาทิ้งหุ้นได้น้อย ตอนหุ้นถึงจุดสูงสุดแล้วย่อลง (เพราะระบบอยากจะรักษาหุ้นไว้ตลอดเวลา  ไม่มีทางรู้ว่า เมื่อไร คือจุดสูงสุดของรอบนั้น ๆ ) ยกตัวอย่าง   - เราซื้อหุ้น A ที่ 5 บาท  แล้วถูกทุบไปต่ำสุดที่ 4 บาท  จากนั้น มันเร่ิมวกกลับ ขึ้นไปเรื่อย ๆ  เรามีส่วน 8 ตามเรามาด้วย   - พอขึ้นถึงราคา 6 บาท แล้วเริ่มดิ่งลง (สมมุติ เป็นราคาที่เราตั้งจุดช็อตขายใหม่)  ลงมาได้ถึง 5.5 บาท เริ่มวกกลับขึ้นอีก  ณ จุดนี้ เราไม่ยอมเสียหุ้น  เราก็จะมีหุ้นส่วน 8 ต่อไปอีก (แต่ถ้ายอมเสียส่วน 8 ไปเรื่อย ๆ แล้วหุ้นมันขึ้นไปจริง ๆ  หุ้นเราก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ อีก   กรรม!! ) - ที่นี้ มันก็จะวนเวียน  ขึ้นแล้วลง ไปเรื่อย ๆ  (สมมุติ มันเป็นขาขึ้น)   เช่น 8 บาท แล้วทำท่าลง แล้วก็ไปต่อ  เป็น 10 บาท  แล้วทำท่าจะลงอีก ถามว่า ที่ราคาเท่าไรคือจุดสูงสุด  ซึ่งแน่นอน เราไม่มีทางรู้  แต่ด้วยการวางระบบของเราเองที่รักษาส่วน 8 ไว้แข็งแกร่ง  จะทำให้ระบบมันจะกอดหุ้นไว้แน่นตลอดเวลา (ทำให้มันถึงตามราคาขึ้นมาบน ๆ ได้)  โดยที่ ถ้าราคาเปลี่ยนเทรนด์เป็นขาลง มันก็ไม่รู้อยู่ดี  !!! จนมันลงต่ำมามาก มารู้อีกที เราก็เสียดาย เสียโอกาสในการทิ้งหุ้นไว้ที่ราคาสูง ๆ ดังนั้น จะแก้ยังไง  กำปั้นทุบดินเลยครับ  ระบบที่รักษาหุ้นได้แข็งแกร่ง  ย่อม inverse กับระบบที่คายหุ้นได้มาก  ผมลองเสนอไอเดียง่าย ๆ ดังนี้ ครับ 1. ลดความแข็งแกร่งของระบบ 8 ลง  ซึ่งคือ ยอมเสียหุ้นส่วนหนึ่ง ไม่ยอมรับกลับ  แต่แบบนี้  ก็อาจเสียดายในตอนที่ ราคาที่หุ้นเพิ่งขึ้นมาไม่มากอีก  ก็อาจผสมผสานไปว่า  ในการช็อตหุ้นที่ราคาต่ำ ๆ  ก็เน้นความแข็งแกร่งของการรักษา 8 มากหน่อย   พอขึ้นไปเยอะ ๆ  (หลายรอบแล้ว)  ก็ลดระบบรักษาหุ้นลงเรื่อย ๆ  เพราะเผื่อมันลง เราก็ทิ้งหุ้นได้มาก  แต่ก็อีกล่ะครับ ต้องยอมเสียโอกาส อย่าเสียดาย  ถ้ามันขึ้นไปอีก  (ปริมาณจำนวน 8 อาจลดน้อยลง)  เพราะมัน inverse กันเสมอ  แหะ แหะ 2. จากที่บอกว่า ระบบผมรับคืนเมื่อมันขึ้น 4 ช่อง   ตรงนี้ เราปรับเพิ่มช่องได้ใช่ไหมครับ    เพราะในข้อเท็จจริง เมื่อหุ้นลง มันจะลงเรื่อย ๆ  มันเด้งได้นิดหน่อย เพื่อหลอก  แล้วก็ลงต่อ   เราก็ปรับช่องแก้เผ็ด ซะเลยครับ อิอิ หมายเหตุ  เป็นคห ส่วนตัว  โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดสอบ และรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นโดยตัวท่านเอง  เอิ๊ก ๆๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 54 21:47:02 จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 21:43:00

ความคิดเห็นที่ 27 ตอบ ของน้อง maxtao   - จังหวะ การซื้อหุ้นเพิ่ม เข้าพอร์ต ตัวเดิม .... พี่ๆ มีแนวคิดพลิกแพลง อย่างไรครับ       ..... เรื่อง เงินที่เอามาซื้อ             - เอาแบบปลอดภัยสุด ๆ  ก็ใช้จาก กสงฝ ครับ       ......เรือง จังหวะ เวลาซื้อ             - ตั้งเป็นระบบที่แน่นอนไว้ก็ง่ายดีครับ  เช่น ตอนเปิด หรือ ปิดตลาด,  ทุกอาทิตย์ หรือ                ทุกเดือน  (หุ้นนี้ เหมือนของแถม  ก็อยู่ที่เราว่าจะขอของแถมเป็นกำลังใจให้เราเมื่อไร)       ......เรื่อง จำนวนหุ้นที่เหลือ ก่อนซื้อ             - อันนี้  ต้องเริ่มจากมีเงินเหลือก่อนครับ  ถ้ามีเหลือ ก็เก็บตัวที่เราเหลือน้อยหน่อย                (เพราะแสดงว่า หุ้นมันขึ้นมาเยอะ  เราซื้อคืนไม่ค่อยได้  เพื่อรักษาหุ้นของเราให้กลับ                คืนมา  อย่าลืมนะครับ  เราเน้นสะสมหุ้นเป็นหลัก)       ......เรือง หรือเมื่อไหร่ จึงเข้าซื้อตัวใหม่ เอาตัวเดิมออกไป             - DSM เน้นสะสมหุ้นเป็นหลัก ไม่ได้เน้นซื้อเก็งกำไร แล้วหนีไปตัวอื่นครับ จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 21:58:45

ความคิดเห็นที่ 28 อีกคำถามของน้อง maxtao หลักการเลือกหุ้น... พี่ๆให้ความสำคัญกับแบบใหนมากสุดครับ สมมุติว่า มีหุ้นที่เรา กรองแล้วคิดว่า....................... ...... แกว่งตัว ในช่วงราคาค่อนข้างมากในแต่ละวัน พื้นฐาน ปันผล งั้นๆ... ...... แกว่งตัวน้อย ปันผลดี  พื้นฐาน งั้นๆ... ...... แกว่งตัวน้อย พื้นฐานดี  ปันผลงั้นๆ.. ...... หุ้นนำในแต่ละ กลุ่มธุรกิจ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น.. ...... ไม่ต้องวุ่นวาย เลือกหุ้นใน เซต 50 นี่ละ.. ...... เหตุผลอื่นๆ ที่พี่อยากบอก... เอาแบบทฤษฎีเพียว ๆ  ก็ต้องตอบว่า - หุ้นนั้น ต้องอยู่ในตลาดตลอดไป - เราเน้นสะสมหุ้น เพราะต้องการปันผล เป็นหลักครับ - หุ้นที่มีการแกว่งบ่อย ๆ  มันก็ไม่น่าเบื่อดี (แต่บ่อยครั้ง ซื้อแล้วมันก็ไม่ยอมขยับเหมือนก่อน) - เท่าที่รู้ หุ้นในกลุ่มเซต 50 มีการซื้อขายมากสุด  ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องสภาพคล่อง ปล  หุ้นของผม ไม่ได้เข้าข่ายตามทฤษฎีเลย  ฮือ ฮือ จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 22:19:04

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากๆครับ พี่ เกี๊ยก........ ................................. ตอนนี้ที่ผมลองทำอยู่ครับ... - จังหวะ การซื้อหุ้นเพิ่ม เข้าพอร์ต ตัวเดิม .... พี่ๆ มีแนวคิดพลิกแพลง อย่างไรครับ      ..... เรื่อง เงินที่เอามาซื้อ *ผมใช้เงิน กองหลัง+กสงฝ+ปันผล ....      ......เรือง จังหวะ เวลาซื้อ *ผมซื้อ เมื่อสะสมเงินได้มากพอ ที่จะซื้อได้ครบหน่วย 10% ของพอร์ตหุ้น      ......เรื่อง จำนวนหุ้นที่เหลือ ก่อนซื้อ *หุ้นที่เหลือน้อยกว่า 50 %     ......เรือง หรือเมื่อไหร่ จึงเข้าซื้อตัวใหม่ เอาตัวเดิมออกไป *หุ้นนั้นนอนนิ่งๆ  หรือเข้ากฎการออก (แต่เก็บข้อมูลการขายไว้ รอรับกลับรอบใหม่ เมื่อมีโอกาส) -เรื่องการขายส่วน 8........ *ผมใช้ DSM เบสิค คือ ขายออก 10% ของหุ้นที่เหลือ โดยห่างจากกองหลังล่าสุด 15 ช่องเป็นตัวกำหนด ... และเริ่มขายไม้แรก เมื่อราคาผ่าน 15 ช่อง จากจุดสูงสุดและ ตกลงมา 2 ช่อง..... จากนั้นถ้าตกอีก ก็ขายอีก 10 % ทุกๆ 2ช่อง.... ทำวนลูป แบบนี้ไปเรื่อยๆ และเมื่อไหร่หุ้นในมือ เหลือน้อยกว่า 50 % ก็อาจจะซื้อเพิ่ม หรือเปลี่ยนตัวเล่นใหม่....หากคิดว่าดีกว่า ในช่วงราคาเดียวกัน... *ส่วนเรื่องการเลือกหุ้น .... ว่าจะทดลองหาหุ้นที่แกว่งตัวมากกว่า ตลาด (ค่าเบต้า>1) ตอนนี้กำลังหาอยู่ครับ ว่าจะไปดูค่านี้ได้ที่ใหนบ้าง....ผมหาได้แค่ 7 วัน อยากได้ ย้อนหลังกลับไป ซัก ปี หรือ 2 ปี.....ช่วยชี้แนะด้วยครับ แต่ยังไม่รู้ว่าทำได้หรือเปล่าครับ .... เพราะเพิ่งเริ่มจริงจังได้ 2 เดือนเองครับ... หลังจาก ทำแล้วหยุดไป 2 รอบ ....เพราะใจยังไม่มั่นพอ.... รอบนีัตั้งใจว่าจะทำ จริงๆ ซะที.................... จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 22:31:24

ความคิดเห็นที่ 30 มาขอบคุณ ท่านminibar และทุกท่านด้วยครับ จากคุณ : tmcih เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 01:29:37

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณพี่เกี๊ยกครับ {เเอบเรียกตามพี่เก่าๆ:)]   รับผิดชอบตัวเองเเน่นอนครับ เทรดเองกับมือจะไปโทษคนอื่นได้ไง  มีเเต่ขอบคุณคนที่เเนะนำครับผม :) จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 03:05:14

ความคิดเห็นที่ 32 สุดยอดเลยครับพี่เกี๊ยก... ทำไมมันเหมือนเส้นผมบังภูเขา "เรื่อง การซื้อ การขายหุ้นเป็นอะไรที่ inverse กันเสมอ !!! ถ้าระบบรักษาส่วน 8 ไม่ดี  ระบบก็จะได้กสงฝ เยอะเมื่อหุ้นไปไม่ไกลแล้วย่อลง ถ้าระบบรักษาส่วน 8 ดีมาก ระบบย่อมมีปัญหาทิ้งหุ้นได้น้อย ตอนหุ้นถึงจุดสูงสุดแล้วย่อลง (เพราะระบบอยากจะรักษาหุ้นไว้ตลอดเวลา  ไม่มีทางรู้ว่า เมื่อไร คือจุดสูงสุดของรอบนั้น ๆ )" เป็นอย่างที่พี่ว่าไว้จริงๆ ผมก็รู้สึกแต่อธิบายออกมาไม่ได้แบบนี้ ............... ผมอึดกับการพาส่วน 8 ขึ้นไป ทำให้ผมแย่ในการปล่อยส่วน 8 ที่สูงๆ.... อีกประเด็น..อยากเสริมนิดๆ นะครับ สำหรับมือใหม่ที่แอบอ่าน (มือเก่าคงรู้แล้ว).... รักษาเงินสำรองให้ดี และนำมาใช้ให้ถูกจังหวะ... ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาจะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะ ผมทำพลาดมาก่อนแล้ว จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 08:16:16

ความคิดเห็นที่ 33 กิ๊ฟ หมด เอา แล้วกันนะคราฟฟ พี่ๆที่รักทุกท่าน .. จากคุณ : SameOne เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 10:27:40

ความคิดเห็นที่ 34 . วัฏจักรที่เกิดขึ้น  ในการเล่นหุ้น รอบแรก - ซื้อหุ้นราคา 10 บาท   - ถูกทุบไปเหลือ 5 บาท  (ไม่สะทกสะท้าน  เพราะมีวิชาติดตัว เฟ้ยยยย) - หุ้นวกกลับย้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ   - จำนวนหุ้น ค่อย ๆ ลดลง  (ทะยอยขายออก ตอนมันสับขาหลอก) - หุ้นกลับไปที่ 10 บาท - จึ๋ยยยยย .....   ทำไม หุ้นตรูหายไปเกือบหมด  กสงฝ ที่ได้ก็ไม่พอกับที่ขาดทุนไป สรุป  >>>>>  เจ้ามือจัดการเรา  ด้วยการให้เรา "กลัว"  ทำให้เราคายหุ้นเมื่อ หุ้นขึ้นแล้วลง ๆๆ =============================================================== รอบสอง   - ซื้อหุ้นราคา 10 บาท - ถูกทุบไปเหลือ 5 บาท   - หุ้นวกกลับย้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ - กอดหุ้นได้แน่นปึ๊กกกกกกก ..... - หุ้นขึ้นไปถึงราคา 15 บาท    ยิ้มแฉ่งงงง  พอร์ทบวกแล้วววว - หุ้นค่อย ๆ  ทะยอยลง   ระบบกอดหุ้นทำงานเต็มร้อย !! - หุ้นกลับไปที่ 10 บาท  เริ่มเหี่ยววว  เพราะกำไรในพอร์ทหายหมด - หุ้นยังลงต่อไปที่ 8 บาท    น้ำตาซึม  พอร์ทที่กำไร กลายเป็นขาดทุน .. สรุป  >>>>>  เจ้ามือจัดการเรา  ด้วยการให้เรา "โลภ"  ด้วยการที่กอดหุ้นไว้แน่นตลอดเวลา เพราะอยากกอดหุ้นเก็บไว้ขายแพงขึ้นกว่าราคาในตลาดเสมอ   ในที่สุด  เราได้นั่งรถไฟไปชมสวนดอกไม้  แต่ยังไม่ทันได้เดินเก็บดอกไม้มาเชยชม   รถไฟก็วิ่งย้อนกลับมาส่งที่เดิม =============================================================== รอบสาม (ตรูไปแก้ระบบมาแล้วเฟ้ยยย) - ซื้อหุ้นราคา 10 บาท - ถูกทุบไปเหลือ 5 บาท   - หุ้นวกกลับย้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ - กอดหุ้นได้แน่นปึ๊กกกกกกก . - หุ้นขึ้นไปถึงราคา 15 บาท    ยิ้มแฉ่งงงง  พอร์ทบวกแล้วววว - หุ้นทำท่าจะลง   รีบค่อย ๆ ปล่อยหุ้น (ปลดล็อค ระบบกอดหุ้นแย้วววว  เย้ ๆๆๆ) - หุ้นเหลือน้อยลงไปเยอะ   - แต่ไงเจ้ามือสับขาหลอกอีก ราคาไงมันวกกลับฟะ  จะหลอกให้ตรูเก็บคืนเหรอ  ไม่มีทาง  !!! - หุ้นย้อนศร  วกกลับขึ้นไป 15 บาท  แล้ววิ่งดิ่งไปเรื่อย ๆ ถึง 20 บาท - จะห่วงอะไรฟะ  ก็ขายไปเรื่อย ๆ สิ    เดี๋ยวมันก็ลง  ราคานี้  มันสูงสุดแน่นอน - หุ้นเกือบหมดมือ   ราคายังวิ่งไปเรื่อย ๆ   - จ๊ากกกกกกกก   หุ้นหมดมือแล้ว   เสียดายมาก  ปล่อยที่ราคา 15 บาทไปเพียบ  แล้วปล่อยอีกทีที่ 20 บาท จนเกือบหมด   เสียดายยยเฟ้ยยย - หุ้นทะลุ 30 บาท  แล้วยังเดินหน้าต่อ - ไม่กลัวหรอก  เดี๋ยวมันก็ลง   รอ รอ รอ ไปเรื่อย ๆๆๆ  จนผ่านไป 4 เดือน - เฮ้ยยยย  เมื่อไรมันจะลงฟะ  มันวิ่งในช่วง 30-40 มา 4 เดือนแล้วนะ  ทนไม่ไหวแล้วววโว๊ยยยย   - ตัดสินใจคิดว่า  เริ่มนับหนึ่งใหม่ (ทำบช ใหม่ไม่รวมกับข้อมูลเดิม)  โดยการ ซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ทมาที่ราคา  32 บาท  !!!! สรุป >>>>>  เจ้ามือจัดการเรา  ด้วยการให้เรา "เสียดาย" แล้วในที่สุด อารมณ์แห่งความโลภจะบดบังความกลัว   ทำให้ซื้อแพงกว่าขาย   (อีกแล้วเหรอเนี่ยยย  ฮือ ๆๆ) วิธีการจัดการ เพื่อทำลายระบบคือ  การถ่างโซนราคาต่ำสุดและสูงสุดให้กว้างขึ้นเรื่อย ๆๆๆ จากเดิมหุ้นเคยวิ่งในช่วง  5-15 บาท   ก็อาจจะถ่างโซนให้เป็น  3-30 บาท  เพราะเจ้ามือรู้ว่า  ถ้าโซนยิ่งกว้าง  การแบ่งเงินมาเล่นตามแต่ละโซน จะยิ่งน้อย  ทำให้กำไรที่ได้ยิ่งน้อย  จนไม่คุ้มค่าในที่สุด ... =============================================================== เดี๋ยว จะมาโม้ ให้ฟังอีกกระทู้  เรื่องซื้อถูกกว่าขาย  หรือ ว่า  ขายถูกกว่าซื้อ กันแน่ .... .. แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 11:10:33 แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 11:07:00 จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 10:58:43

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณครับพี่ๆทุกท่านที่ช่วยกันถามและช่วยกันตอบ รวมถึงพี่ๆที่ช่วยกันอ่านด้วย ผมคงอยู่ประเภทหลังแล้วสิ เพราะเข้ามาช้า มีทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เลยได้แต่นั่งอ่าน แล้วก็ ... ยังงงอยู่ดี ... ว่าตกลงแล้วมันต้องขายหรือมันจะต้องถือหรือมันจะต้องซื้อ สงสัยแก่แล้วแก่เลยแล้วมั่งงานนี้ ... คงต้องนั่งอ่านอีกสักหลายๆรอบเพื่อมันจะร้อง อ้อ บ้าง ...................... จากคุณ : loaw เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 11:11:41

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณมากครับพี่ๆทุกคน จากคุณ : You know me เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 11:15:45

ความคิดเห็นที่ 38 . ต่ออีกนิดครับ เริ่มต้น เป้าหมายการเล่น ต้องการขายให้แพงกว่าซื้อ หรือซื้อให้ถูกกว่าขาย เอามารวมกัน  (แต่ในที่สุด เจ้ามือจะผลักเราให้กลายเป็นซื้อแพงกว่าขายจนได้  วิธีการนี้   คลาสสิคสุด ๆ) ในช่วงหุ้นขาขึ้น   ที่วิ่งจาก   10-20 ซื้อ 10 ขาย 11    กำไร  1 ซื้อ 12 ขาย 13    กำไร  1 ซื้อ 14 ขาย 15    กำไร  1 ซื้อ 16 ขาย 17    กำไร  1 ซื้อ 18 ขาย 19    กำไร  1 ซื้อ 20  (ตั้งใจขาย 21)   อ้าวว  ขายไม่ได้  มันเริ่มลง ไม่เป็นไร กำไรมาแล้ว 5 บาท   เมื่อราคามันลง  เราก็ใช้ DSM มาจัดการน่ะสิ   สุโค่ยไหมล่ะ   อิอิ ซื้อ 20     จากนั้น เริ่มทำ DSM ขาย 18  ซื้อกลับ 17    กสงฝ 1 ขาย 15  ซื้อกลับ 14    กสงฝ 1 ขาย 12  ซื้อกลับ 11    กสงฝ 1 ขาย 10 เท่ากับหุ้นวิ่งจาก 10 ->20->10 นั่งคิดดูกำไรตอนขาขึ้น และ ก็ได้ กสงฝ ตอนขาลง  ดูการลง บช ของเรา   ขาขึ้น กำไรมา 5 บาท   ขาลง  ได้ กสงฝมา 3 บาท    ฝีมือเราเยี่ยมมาก  รวยแน่นอน !!!! แต่ถ้าเอาตัวเลขมาคิดใหม่ตามวิธีคณิตศาสตร์ประถม !! รวมเงินซื้อ = 132   รวมเงินขาย = 130   จ๊ากกกกก   ขาดทุน 2 บาท  (โดยที่ยังไม่ได้คิดค่าคอมฯ)    กรรม ..... . จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 12:40:46

ความคิดเห็นที่ 39 นี่เป็นปัญหาที่ผมเจอเลยครับ พี่ minibar จากคุณ : You know me เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 13:59:48

ความคิดเห็นที่ 40 อยากให้ GIVE พี่เกี๊ยกสุดๆๆไปเลย ... แต่ก็ให้ไม่ได้ ขอให้จู๊บๆๆๆๆๆๆ แทนแล้วกัน ..... ที่พี่เกี๊ยกอธิบายมาคิดว่ามันโจทย์ที่ใครก็ตามคิดจะเอา DSM ไปใช้ต้องแก้ให้ได้เสียก่อน ไม่งั้นมีหวังไปรวมกันอยู่เกาะดอกท้อกันหมด แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันนะ .... ถ้าไปอยู่กันเยอะ ... สักคงช่วยกันคิดและบรรลุ แล้วออกตลุยตลาดกันใหม่ได้อย่างไร้เทียมทาน ... ................. จากคุณ : loaw เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 15:07:44

ความคิดเห็นที่ 41 #38 ผมว่าโจทย์นี้แก้ไม่ยากนะครับ 1. การซื้อคืนแต่ละครั้ง ได้ กสงฝ เรื่อยๆ เพราะงั้น จากตย. ก็ได้ 8 บาทแล้วครับ มูลค่าพอร์ทอย่าไปดูครับ... ตราบใดหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ดี คงไม่เหลือ 0 บาท และหากไม่วิ่งต่อ คือนิ่งมากก็ต้องเปลี่ยนตัว... (หวังว่าถ้าเลือกหุ้นดีแล้ว คงไม่ต้องกังวลมาก) 2. การซื้อขาย ตย.นี้ คิดว่ายังไม่ได้ใช้เวลาเป็น อินฟินิตี้.... 3. จาก กสงฝ ที่ได้ จะมีทั้ง เงินลงทุนเพิ่ม และเงินสำรอง.. เอามาบริหาร.. ปัญหานี้ก็หมดไป.. อะไรต่ออีก.. คนอื่นๆ เสริมเลยนะครับ.. จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 15:50:17

ความคิดเห็นที่ 42 พี่เกี๊ยกครับ เห็นด้วยกับการที่ไม่มองมูลค่าพอร์ทเเละเมื่อเวลาเป็นอนันต์ เเบบที่พี่ยิปบอก มันจะเเก้โจทย์ได้ เเต่ก็คงต้องขอไปคิดดูอีกนิดก่อนว่าทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม คุณเด่นศรี เริ่ม 4เเสน เเละกลายเป็น 10 ล้านใน 3 ปี เพิ่มขึ้นมา 25 เท่า มันคงต้อง มีอะไรที่เรายังไม่รู้ ไม่ได้คิด จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 18:47:17

ความคิดเห็นที่ 43 #38 แชร์ความเห็นนะคะ ^^ ขาขึ้น-เป็นการเก็งกำไรส่วนต่าง(คือต้องการส่วนต่างขาขึ้น) ขาลง-เป็นการ SAP (คือต้องการส่วนต่างขาลง) ทั้ง 2 ขา ไม่ใช่ DSM มั้งคะ >,,< หัวใจสำคัญของ DSM เท่าที่เข้าใจนะคะ คือ กระแสเงินสด ค่ะ ข้อแตกต่างนี้ ยกมาจาก Rich Dad เล่ม Who took my money? (DSM) กับ (การเก็งกำไร) -กระแสเงินสด แตกต่างจาก กำไรจากส่วนต่างราคา -ชาวนารีดนมวัว กับพ่อค้าเนื้อวัว -มีเงินไหลเข้ากระเป๋าทุกเดือน กับ ไม่ขายไม่ได้เงิน -มีระบบทำงานให้ กับ ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง -สร้างท่อน้ำ กับ แบกถังน้ำ -รายได้เพิ่มขึ้นทุกเดือน กับ มีได้มีเสีย(อันนี้เติมเอง อิอิ) ทีนี้ มาดูสูตรใน DSM กันค่ะ 1 มูลค่าพอร์ต=(มูลค่าหลักทรัพย์*ราคา)+กสงสฝ+เงินสดหมุนเวียน จะเห็นว่ามูลค่าพอร์ตเปลี่ยนแปลงได้(ไม่ใช่ประเด็น) โดยปัจจัยภายนอก แต่ทุกครั้งที่มันเปลี่ยนแปลง ระบบจะมีหน้าที่ ทำให้เกิด กสงสฝ และ เงินทุนหมุนเวียนกระเด็นออกมาให้เราชื่นใจ คือรายได้ คือ เงินเก็บ คือเงินเพิ่มทุน คือเงินเก็งกำไรพอขำๆ ฯลฯ >,,< ซึ่งเจ้า กสงสฝ(25%) ค่าบริหารพอร์ตนี่แหละ ที่เราเก็บออกมาเป็น รายได้ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปีค่ะ 2 กสงสฝ=เงินลงทุนเริ่มต้น-ยอดรวมซื้อ+ยอดรวมขาย-เงินสดหมุนเวียน คิดถึงการทำธุรกิจจริงสิคะ เงินลงทุนเริ่มต้น เราจะสนใจ ในประเด็นเดียวว่า จุดคุ้มทุนใช้วลากี่ปีเท่านั้น เราไม่ได้เข้าไปเทคโอเวอร์ ธุรกิจ แล้วขายมันออกมาเสียเมื่อไร *0* สิ่งที่เราสนใจในธุรกิจคือ  กระแสเงินสด เราสนใจว่า ธุรกิจนั้น ทำ กระแสเงินสดให้เรา ต่อวัน ต่อเดือน ต่อปี เท่าไรถูกไหมคะ เพราะนั่นคือรายได้ของเราอย่างแท้จริงค่ะ ส่วนเกินนอกจากค่าบริหารพอร์ต เราก็เอาไปขยายธุรกิจ(ระบบบอกให้เสร็จแล้ว ว่าต้องทำไง) เราต้องมองว่าการลงทุนในธุรกิจ กับ DSM คือเรื่องเดียวกันค่ะ(สงสัยจะเป็นแฟรนไชน์ขายไม่ดี คนถึงไม่ทำตามระบบ อิอิ) คือ ระบบDSM เค้าบอกหมด ว่า 1 ธุรกิจคืออะไร 2 รายได้ทำอย่างไร 3 ขยายธุรกิจทำอย่างไร ฯลฯ แต่เนื่องจากระบบวิธีคิด มันฝืนความรู้สึกเบื้องต้นของมนุษย์(KZM นี่ธรรมชาติมากๆค่ะ) และมีปริศนาธรรมให้ผู้ปฏิบัติค้นหา คือ ช่องว่าง ซึ่งเจ้าของแนวคิดก็ไม่ยอมเปิดเผย ดังนั้น คนที่ค้นหาไม่พบจึง เลิกๆ กันไป เมื่อตลาดเป็นขาขึ้น(ทั้งๆที่ DSM ในขาขึ้น ได้ กสงส มากกว่า ระบบมันครอบคลุมหมดแล้วค่ะ) ด้วยเหตุผล รวมๆ กันนี้ DSM มันจึงทำยากจริงๆค่ะ --(ยิ้ม)-- แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 19:12:47 แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 54 19:12:04 จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 19:11:08

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาในกระทู้นี้ทีไร  ได้แต่เข้ามาให้กิ๊ฟ  = =" ไม่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น หรือ ถามคำถามใดๆ เลยซะที ป๋าห่านเคยบอกว่า  เมื่อก่อนในคลับนี้ มีวลีฮิตอยู่ 1 วลี "คำถามที่ดี ย่อมนำมาซึ่งคำตอบที่ดี"   (ประมาณนี้แหละ  จำเป๊ะๆไม่ได้ล่ะ ) แต่ตอนนี้ไม่รู้จะถามอะไรจริงๆแฮะ... สงสัยยังไม่อินพอ... พอจะนึกได้ ก็ไปตรงกับที่พี่แมกซ์ถามซะแล้ว... (เรื่องการเลือกหุ้น)    (ต้องขอบคุณพี่แมกซ์ด้วยฮับ ) - - - - อีกคำถามที่พอจะนึกออก (ตอนนี้) ก็เรื่อง รักษาส่วน 8 และก็เรื่อง เก็บเงินเข้าบัญชี ซึ่ง..อันนี้ก็มีพี่ๆ มาถาม  แล้วก็ให้คำตอบเป็นที่เรียบร้อย  (สงสัยต้องเปลี่ยนชื่อ login เป็น ช้าอีกแล้ว แทน = =" ) คนที่ทำ DSM จะต้องคิดเรื่อง รักษาส่วน 8 ให้โต และก็ เก็บเงินจากส่วน 8 เข้าบัญชี... (มีอยู่แค่นี้ วนไปวนมา...) เหมือนลอกคห. ของพี่เด่นฯ มาเลยแฮะ...  อะไรอีกน๊า... อ่อ  ทำให้ระบบเทรดเป็นระบบที่ง่าย  เข้าใจง่าย... - - - - จบไม่ลงง่ะ.... เอาเป็นจบดื้อๆ เลยดีกว่า แอบอ่านตั้งนาน  อยากเข้ามาพิมพ์ๆๆ ไรบ้าง - - - - สุดท้ายนี้ ต้องขอบคุณทั้ง ผู้ถาม และ ผู้ตอบ ทุกท่านครับ จากคุณ : ซ้ำอีกแล้ว เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 20:16:44

ความคิดเห็นที่ 45 เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ แสดงความคิดเห็น แล้ว อยากจะ Share ประกบการณ์ส่วนตัวนิดนึงครับ... ในฐานะที่เคยใกล้ชิดพี่เทพ พอจะจับแก่น ของ DSM ได้อยู่สามสี่อย่างครับ 1. หุ้นทุกตัวที่เราเลือกทำ DSM เป็นหุ้นประเภท ไม่มีวันออกจากตลาด และผลประกอบการต้องไม่เละเทะจนเกินเหตุ ทำไม >>> ก็เพราะว่า หุ้นนั้น ย่อมขึ้นมากกว่าลงเสมอครับ อยากให้ทุกคนใช้กราฟ year ไปดู SCC PTTEP Banpu ดูนะครับ แล้วจะร้องอ๋อ หรือดูหุ้นแบงค์ก็ได้ครับ BBL Kbank หุ้นใน very long run (หลัก 10 ปี) เสมอครับ แม้กระทั่งหุ้นอย่าง TTA ก็เถอะครับ ขอแค่อย่าโดน SP หรืออยู่เฉยๆก็พอ (อาจารย์พูดเสมอว่า "กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง") เรื่องนี้สำคัญมากครับ เราต้องอยากถือครองและสะสมหุ้นตัวนั้นจริงๆ ผมจำได้ว่าอาจารย์สะสมหุ้นอยู่สองตัวเมือ 6-7 ปีที่แล้วครับ นั่นคือ CPF ที่ตอนนี้ประมาณ 2.7 - 3.3 ครับ ตัวที่สองคือ JAS ตอนนั้นแกว่งอยู่ประมาณ 1 - 0.22 สตางค์ครับ ลองกลับไปดูกระดานวันนี้นะครับ ... ว่าเป็นยังไงกันบ้าง นี่คิดแค่ซื้อถือแบบ VI ไม่ต้องเพิ่มหุ้นแบบ DSM นะครับ .... ประเด็นคือ มันมีกับดักที่ใหญ่มากอันนึง ที่ผมและพวกพ้องตกกับแทบทุกคน นั่นก็คือทุกคนวันความก้าวหน้า และความสำเร็จของพอร์ต ด้วย กสงฝ ครับ อาจารย์พูดเสมอว่า สะสมหุ้น ก็ต้องนับจำนวนหุ้น .... อาจารย์เคยบอก เล่นตลาดขาขึ้น ก็ยังได้หุ้นเพิ่ม นั่นคือสุดยอดวิชา อาจารย์เปรยๆว่า "หุ้น = หุ้น" .... (นี่ก็เป็นกับดักของการแปรงร่างครับ) สิ่งที่ทำให้เรามั่งคั่ง คือจำนวนหุ้นครับ อาจารย์เปรียบเหมือน เถ้าแก่เปิดร้านทอง เค้าจะสอนลูกหลานเสมอว่า จะขายทองยังไงก็ได้ ให้มีเงินซื้อทองกลับเข้าร้าน น้ำหนักเท่าเดิม ถือว่าใช้ได้ อาจารย์ได้แนวคิด DSM จากการเปรียบหุ้นเหมือนอสังหาริมทรัพย์ครับ ที่ดิน 1 ไร่ ในกทม. หรือ นนทบุรี ก็คือที่ดิน 1 ไร่ครับ (ถึงแม้ราคาจะไม่เท่ากันก็เถอะ) ผมเองทำผิดวินัยเรื่องกระแสเงินสดแฝง แล้วก็เป็นดั่งที่อาจารย์คาด .... อาจารย์เลยต้องออก DSM Index ไม่ให้ลูกศิษย์ยึดติดกับ กสงฝ. เกินไป (ทั้งๆที่อาจารย์ไม่จำเป็นต้องใช้) แต่ผมเองก็ไปไม่รอดครับ 55555 พรุ่งนี้จะมาโม้ต่อนะครับ ...... จากคุณ : สุมาเต๊กโช เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 20:46:15

ความคิดเห็นที่ 46 . อ่าน คห ของ พี่ PrinceAlwayLate แล้ว  ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ยิ่งโดยเฉพาะสูตรที่ว่านี้ กสงสฝ=เงินลงทุนเริ่มต้น-ยอดรวมซื้อ+ยอดรวมขาย-เงินสดหมุนเวียน แสดงให้เห็นว่า  มองภาพ DSM ยิ่งใหญ่ มากกว่าการเล่นหุ้น  มองเห็นกึ๋น แก่นเนื้อแท้ของ DSM จริง ๆ  แต่รบกวนช่วยอธิบายด้วยว่า สูตรมาจากไหน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อีกส่วนหนึ่ง จากที่บอกว่า ระบบDSM เค้าบอกหมด ว่า 1 ธุรกิจคืออะไร 2 รายได้ทำอย่างไร 3 ขยายธุรกิจทำอย่างไร ช่วยอธิบายขั้นตอนของแต่ละข้อด้วยครับ และที่สำคัญ  ช่วยบอกด้วยว่า  แท้จริงพี่เป็นใครกันแน่  เอิ๊กๆๆๆๆๆๆ . จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 20:48:57

ความคิดเห็นที่ 47 แป่ว กลายเป็นงั้นเหรอคะ นึกว่าทุกคนรู้สูตรนี้ซะอีกค่ะ >,,< เป็นสูตรที่นำมาจาก บัญชี ของ คุณธีระง่า.... คือ เพิ่งหัดเล่น DSM อะ คุณ minibar อย่าคาดหวังอะไรมากเลยค่ะ >,,< (จริงๆ ก็ไม่มีอะไรใหม่ คิดว่า คนที่ทำอย่างจริงจัง น่าจะรู้ได้เอง แม้ ไม่เคยเขียนเป็นสูตร) พอร์ตจริงยังไม่ได้ลง DSM เลย ที่ผ่านมาก็เป็นเก็งกำไร+vi นี่แหละ ส่วนตัวเพิ่งหัดเล่น ไม่นาน โดยคนใกล้ตัวเพิ่งยอมสอนค่ะ(เค้าสาย vsop มั้ง--ฮา-- เป็น vi กลายพันธุ์ค่ะ) แต่รู้สึกว่าไม่เหมาะกับนิสัยตนเอง เราไม่ชอบตื่นเต้น ไม่ชอบเก็งกำไร แต่เราอยากมีรายได้ที่มั่นคง ประกอบกับส่วนตัวชอบหนังสือ rich dad มาก ชอบกระแสเงินสดมาก แต่ไม่สามารถปรับกลยุทธ์ใช้กับหุ้นได้เลย จนโชคดี อ่านไป อ่านมา เจอกระทู้ DSM โดยบังเอิญ ก็ไล่อ่านกระทู้ เกือบทุกกระทู้ ตั้งแต่ แรกๆใน คลังกระทู้เก่า (ย้ำว่า อ่านหนักมากค่ะ) รู้สึกว่าน่าจะเข้ากับนิสัยตนเองได้ อ่านจนคนใกล้ตัวใจอ่อน บอกว่า ยอมให้เปิดพอร์ต DSM ก็ได้ แต่ต้องทำการบ้านส่ง ให้เห็นผลงานก่อน เพาะเค้าเคยอ่านๆ อยู่ รู้สึกว่า ปัญหาไม่ใช่แนวคิด แต่ปัญหาอยู่ที่จิตใจมั้งคะ ถ้าล้มเลิกไปก่อน น่าเสียดายมาก อยากให้ลงพอร์ตจำลองไปก่อน ถ้าทนทำได้ตลอด จะยอมให้ลงพอร์ตจริงค่ะ(เงินที่บ้านเราช่วยกันหา แต่เค้าเป็นเจ้าของธุรกิจค่ะ ยังไงก็ต้องฟังเค้า) ทีนี้ จะลองตอบที่ถาม ตามความเข้าใจจากการอ่านอย่างหนัก ประกอบกับเคี้ยวกระดาษ ผิดถูก ก็ขอโทษนะคะ (เหมือนสอนหนังสือสังฆราชยังไงชอบกล >,,<) จริงๆ คำถามก็ตอบง่ายนะคะ... 1 ธุรกิจ คือ ธุรกิจซื้อขายหุ้นค่ะ 2-3 ตอบรวมกันเลยค่ะ รายได้เกิดจากกระแสเงินสดค่ะ ซึ่งได้เกิดการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน 2.1 ใช้ขยายงานในเวลาปกติ(ไม่สนภาวะตลาด) 50% 2.2 ใช้ขยายงานในภาวะไม่ปกติ 25 % คือ ใช้เมื่อมั่นใจว่าธุรกิจกำลังดำเนินไปได้ด้วยดีมากๆ หรือ อาจเก็บไว้ใช้เมื่อพอร์ตสะดุดได้ด้วย(ซึ่งถ้าเราไม่เร่งขยายงานก็คงไม่ต้องใช้) 2.3  รายได้ที่แบ่งไปเป็นค่าบริหารพอร์ต รายได้ส่วนนี้ มีแต่เพิ่ม ไม่มีลดลง เป็นรายได้จริง ที่เราสนใจค่ะ เพราะคือเงินเข้ากระเป๋า เราจริงทุกเดือน ถอนออกไปใช้ก็ได้ค่ะ ที่ชอบ DSM เพราะ ข้อ 3 นี่แหละค่ะ เพราะระบบ กำหนด exit strategy ให้แต่แรกเลย อ้างอิงจาก Who took my money?  หน้า 153 "นักลงทุนมืออาชีพ ต้องรู้ สามสิ่งคือ เมื่อใดที่จะเข้าสู่ตลาด เมื่อใดที่จะออกจากตลาด และ จะเอาเงินของเขาออกไปจากโต๊ะได้อย่างไร ในฐานะนักลงทุนคนหนึ่ง คุณต้องหาสัญญาณในการเข้าสู่ตลาด แผนการออกจากตลาด และ เวลาที่จะออกจากตลาด นักลงทุนสมัครเล่น มักจะวางเงินทิ้งไว้บนโต๊ะ เฉยๆ และก็เสียเงินทั้งหมด นั่นไปในที่สุด" ขอบคุณที่ฟังนะคะ --ยิ้ม-- จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 23:00:03

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณพี่สุมาเต๊กโชและพี่ๆทุกคนมากครับ กระทู้นี้ได้ความคิดเรื่อง DSM ดีจริงๆรอติดตามตอนต่อไปอยู่น่ะครับ เผื่อคนอย่างผมจะได้เข้าใจสัจธรรมเสียที่ จากคุณ : You know me เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 23:06:23

ความคิดเห็นที่ 49 #45 ขอถามย้อนความเห็นนะคะ "มันมีกับดักที่ใหญ่มากอันนึง ที่ผมและพวกพ้องตกกับแทบทุกคน นั่นก็คือทุกคนวัดความก้าวหน้า และความสำเร็จของพอร์ต ด้วย กสงฝ ครับ อาจารย์พูดเสมอว่า สะสมหุ้น ก็ต้องนับจำนวนหุ้น ...." และในทางกลับกัน  ลองถามดูเล่นๆ นะคะว่า การสะสมหุ้น ในบางครั้ง กลับกลายเป็น กับดัก ของ DSM หรือเปล่า..........(ยิ้ม) KEY WORD ที่สำคัญ คือ บางครั้ง จำนวนหุ้นน้อย แต่มีมูลค่ามาก ถ้าใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า ก็มีค่าพอๆ กับจำนวนหุ้นมาก แต่มูลค่าน้อย....อิอิ มันเป็นธรรมชาตินะคะ ว่า ที่ราคาหุ้นสูงๆ จำนวนมันก็น้อย ที่ราคาต่ำๆ จำนวนมันก็มาก สินทรัพย์มันเพิ่มและ ลดได้ ทั้งมูลค่า และ ปริมาณ จุดสำคัญ ยังอยู่ที่ว่า เราใช้มันผลิต กระแสเงินสดได้อย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง   และดึงมันออกมาจากโต๊ะ มาบ้างแล้วหรือยังค่ะ *0* จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 23:23:09

ความคิดเห็นที่ 50 ขอถามคำถามต่อเลยนะคะ 1 สิ่งสำคัญที่สุดใน DSM คืออะไร 2 เคล็ดลับ กระบวนท่า ที่สำคัญที่สุดใน DSM คืออะไร 3 การดักปลา ที่ ปลายน้ำ ต้นน้ำ และ กลางลำธารทำอย่างไร จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 23:38:10

ความคิดเห็นที่ 51 อ่านโพสท์คุณ PrinceAlwaysLate #50 แล้วทำให้นึกถึงท่านเจ้าสำนัก ขอลองตอบบ้างนะครับ 1 สิ่งสำคัญที่สุดใน DSM คืออะไร - ระบบบัญชีใช่มั้ยครับ 2 เคล็ดลับ กระบวนท่า ที่สำคัญที่สุดใน DSM คืออะไร - การซื้อให้ถูกกว่าขายครับ 3 การดักปลา ที่ ปลายน้ำ ต้นน้ำ และ กลางลำธารทำอย่างไร - 3-0-2-8 ครับ จากคุณ : อัตโนมัติ เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 09:01:42

ความคิดเห็นที่ 52 ลองตอบ #50 1.กระแสเงินสดแฝง 2. ลงเราปล่อย ขึ้นเราตามโดยยึดหลักซื้อให้ถูกกว่าขาย 3. เดี๋ยวนี้DSm ผมไม่มีปลายน้ำ ต้นน้ำ ผมเทรดไปตามแนวโน้มตลาด โดยยึดหลักแค่ ซื้อให้ถูกกว่าขาย จากคุณ : ลำชี เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 09:51:51

ความคิดเห็นที่ 53 ผมมองว่า   สิ่งที่สำคัญที่สุดใน DSM (รวมทั้งในการเล่นหุ้นอื่น ๆ) คือ  บัญชี ครับ    (พูดถึงความสำคัญของบัญชี   กลัวพี่ยิปฯ จะเตะเอา) ยกตัวอย่าง   เรามีหุ้น A  100000 หุ้นที่ราคา 10 บาท     จากนั้น   ถ้าหุ้นลงไป 3 ช่อง  หรือ หุ้นขึ้นไป 3 ช่อง   เราจะทำยังไง     ถ้าเราไม่มีบัญชีชี้นำ   เราก็อาจคิดจะซื้อคืน ซื้อเพิ่ม ก็ได้    แต่บัญชีจะบอกว่าเรา  ยังไงเอ็งก็ต้องขาย   เพราะเอ็งไม่มีเงินสักบาท  ... นอกจากนี้  บัญชี  ยังใช้แก้ปัญหาในการจัดการส่วน 8 ได้ด้วย  (ที่ถามกันมาข้างบน ๆ)  เช่น   เมื่อเรากอดหุ้นส่วน 8  ขึ้นไปสูง ๆ มาก    ในบัญชีย่อมจะเห็นพอร์ท อ้วนพี   ถ้าเปรียบเทียบกับธุรกิจที่ขยายตัวอย่างมาก   เราอยากลดความเสี่ยง  เราก็ควรจะแบ่งกำไรออกมาให้ผู้ลงทุนในธุรกิจบ้าง   ซึ่งในขณะที่เราเทรดหุ้น (ถึงส่วน 8) แล้วอยากได้กำไรมาบ้าง  ก็มีทางเดียว  คือ ขายออกมา   พอขายออกไปแล้ว  เราถือกำไรไว้ (สำหรับไว้ใช้จ่ายส่วนตัว หรืออะไรก็แล้ว แต่)  เมื่อถือกำไรแล้ว   หุ้นลงแล้วเด้ง  เราก็ไม่มีเงินไปซื้อคืน   ก็เป็นการแก้ปัญหาของพี่ GF ที่ถามว่า มันเด้ง 4 ช่องแล้วหลอกให้เราซื้อคืนเรื่อย ๆ ได้เลย ที่นี้  ถ้าบัญชีของเรามีกำไรหรือเงินในมือมาก ๆ เกินไป   เราจะทำไงได้     ก็ขึ้นอยุ่กับเราว่า อยากจะขยายธุรกิจต่อดีไหม   ถ้ายังคิดว่า ธุรกิจเดินต่อไปได้อีก   ก็แบ่งกำไรมาลงทุนเพิ่มสิครับ     การลงทุนเพิ่มก็ต้องคิดก่อนลงทุนเสมอว่า   ธุรกิจอาจเริ่มอิ่มตัว   ขยายสาขาไปแล้วลูกค้าไม่เพิ่มพูน   อาจเสียหายได้   แล้วเราจะรับมือไหวหรือไม่   ถ้ายังรับมือได้  ก็ค่อย ๆ ลุยต่อไปได้เลย .....  (แอบยิ้ม) สำหรับคำถามที่ว่า   การดักปลา ที่ ปลายน้ำ ต้นน้ำ และ กลางลำธารทำอย่างไร ปัญหาในการซื้อขายหุ้นคือ   เราซื้อหุ้น  มันดันลง  (เหมือนจับปลาต้นน้ำ  มันไปปลายน้ำ) พอเราขายหุ้น  มันดันขึ้น (เหมือนจับปลาปลายน้ำ มันไปต้นน้ำ) ดังนั้น   เราก็เลยต้องยอมที่จะเอาแหไปดักไว้ที่ต้นน้ำและปลายน้ำไว้ก่อน   จากนั้น  ก็ค่อย ๆ  เดินไล่จับปลากลางลำธารอย่างใจเย็นครับ  (แค่ยิ้มนิด ๆ  เพราะปลาบางตัวฤทธิ์มันเยอะ  มันไล่กัด แหที่เราดักไว้จนขาดหมดเลย  สุดท้าย ทำให้ได้ปลาไม่คุ้มค่ากับค่าแหครับ) . จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 10:07:57

ความคิดเห็นที่ 54 ต้องขอออกตัว(แรง)ก่อนนะคะ ว่า เราเป็นมือใหม่มากๆ ที่อาจจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ DSM ก็ได้ค่ะ >,,< อย่าเชื่อเรา จนกว่าจะได้เห็นแนวทางที่ชัดเจนของตนเอง ถือว่า คุยกัน สไตล์ ถามไป-ตอบมา แลกเปลี่ยนกันค่ะ(ในวันหุ้นเขียว งานน้อย)*0* และ เราไม่ใช่ เจ้าสำนัก และเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าสำนักเลย แม้แต่น้อยค่ะ ออกตัวไว้ก่อนว่า เราอาจจะแค่มองผ่าน แว่นที่ขุ่นมัว แล้วคิดว่า นั่นคือแว่นที่ใสแจ๋วก็ได้...อาจไม่มีสาระใดๆ เลยก็ได้ และคงจะไม่มีการให้คะแนน คำตอบของแต่ละคำถามนะคะ คิดว่ามาคุยกันว่า ผ่านไป 7 ปี หลังกำเนิด DSM ทุกท่านมีที่ไปกันอย่างไรบ้าง จะเป็นเพียงแนวคิด ของตนเอง ต่อคำตอบของหลายๆท่าน เพื่อให้เกิดกระทู้ที่ดี เป็นองค์ความรู้รวมต่อไปของ DSM สำหรับท่านที่สนใจ หรือจะเริ่มทำ  หรือทำมาแล้ว จะได้ปรับใช้อีกสัก 1 กระทู้นะคะ (ร่วมด้วยช่วยกันเน้อ ^^) และคงจะไม่มีบทสรุป และไม่มีเฉลยด้วยค่ะ(เพราะไม่ใช่ข้อสอบ) จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 10:50:55

ความคิดเห็นที่ 55 สิ่งที่ทุกคนตอบ ในแต่ละคำถาม คือมุมมอง ของตนเอง ต่อ DSM ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่มีถูกหรือผิด แต่อยาก ให้ลอง ฟัง คำตอบของหลายๆท่านดู แล้วลองตรวจสอบ กับสิ่งที่ตนเองได้ปฏิบัติมา อาจจะเกิด มุมมองที่ได้มองข้าม ขึ้นมาได้ เป็นมุมมอง ต่อแผนการ DSM ของทุกท่านเองค่ะ จากคำถามที่ 1 ไปถึง คำถาม ที่ 3 เป็นคำถามที่ส่งผ่าน ต่อๆ กัน คือวิธีคิด มุมมอง ของแต่ละท่าน ต่อระบบการลงทุน แบบ DSM เพื่อให้เห็นภาพที่ครอบคลุม พอควรต่อระบบ DSM ของแต่ละท่าน และการลงทุนเป็นแผนการ ที่ต้องผ่านกระบวนการคิด และกรั่นกรองอย่างดี แล้วจึงลงทุน โดยมีวินัย และจิตใจกำกับค่ะ การลงทุนนี้ แทบไม่มีความเสี่ยง เพราะควบคุม ทุกสภาวการณ์ที่ตลาดหุ้นมันมีโอกาสจะเป็นไปได้ ปรับให้อยู่ในระบบของเราให้หมดค่ะ การแสดงความเห็นนี้ อ้างอิง จากมุมมอง ของเราต่อ DSM แบบ basic เท่านั้น เพราะเป็นระบบที่เราคิดว่า ดีที่สุด ใน DSM แล้ว ถ้าสามารถ ตอบได้ว่า จับปลาที่ปลายน้ำ(ขาลง) กลางลำธาร(ไซด์เวย์) และต้นน้ำ(ขาขึ้น) ทำอย่างไร ก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไม ตลาดหุ้นถึงเป็นเครื่องปั๊มเงิน ภายใต้เงื่อนไข เวลาเป็นอินฟินิตี้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 54 11:02:10 จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:00:59

ความคิดเห็นที่ 56 ถ้าเป็นมือใหม่  ผมขออนุญาตแนะนำให้ลองเทรด กับข้อมูลเก่า ๆ ดูก่อนครับ หาราคาหุ้นเก่าๆ (ที่มีช่วงวิ่งตั้งแต่สูงมาต่ำ มาสูง)   มาลองเทรดเล่น ๆ ดูนะครับ บางที สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่ใช่ บางที สิ่งที่ใช่อาจยังไม่ได้เห็น (ยิ้มมมม) จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:10:05

ความคิดเห็นที่ 57 1 สิ่งที่สำคัญที่สุดลอง DSM ในมุมมองของเรา คิดว่าคือ ระบบบัญชีค่ะ ระบบบัญชี จะเป็นตัวกำหมด ทิศทางการลงทุนทั้งหมด เมื่อเราวางแผนแล้ว ปฏิบัติตามแผนแล้ว ระบบบัญชี คือสิ่งที่ทำให้ภาพของระบบเราชัดเจน และปฏิบัติได้จริงค่ะ เพราะว่า -เป็นตัวกำหนด ตัววัดความก้าวหน้า -เป็นตัวดึงรายได้ที่ยั่งยืนคืนมาให้เรา -เป็นตัวบอกความไม่สมดุล -เป็นตัวบอกจังหวะ เร่ง หน่วง ของระบบ (เมื่อใดควรขยายกิจการ เมื่อใดควรรอเวลา) จุดสำคัญลำดับต้นๆ ของระบบบัญชีที่หลายคนอาจะมองข้ามไป คือ ใช้บัญชี หาให้เจอว่า ทำอย่างไร ให้เรามีเงินขี้เกียจน้อย โดยที่พอร์ตไม่สะดุด แต่ไม่ใช่การเร่งมันค่ะ เพราะระบบ DSM เค้าวางอวนไว้ทุกจุดอยู่แล้ว แม้ว่าจะทำตาม Basic step ก็ตาม *0* แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 54 11:24:41 จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:19:48

ความคิดเห็นที่ 58 2 ถูกต้องเลยค่ะ DSM มีกระบวนท่าเดียว ที่สำคัญที่สุด คือ ซื้อ ต้อง ถูกกว่าขาย และ/หรือ ขาย ต้องแพงกว่าซื้อ เป็นกระบวนท่าหนึ่งเดียวที่สำคัญที่สุด และ "ไม่ควรละเมิดอย่างที่สุด" เพราะนี่คือ กระบวนท่าเดียว แห่งรายได้ของเรา ถ้าละเมิด ระบบจะรวนบ่อยๆค่ะ  *0* แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 54 13:11:33 จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 13:11:08

ความคิดเห็นที่ 59 3 มาถึงข้อที่ทำให้ DSM แตกแขนง ไปเป็นหลายสาย และทำให้ DSM ทำได้ยากที่สุด คือ เราดักจับปลาที่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำกันอย่างไร คนส่วนใหญ่ มักจับปลากันที่ปลายน้ำ ซึ่งเป็นขั้นเบื้องต้นที่สุด ง่ายที่สุดของ DSM แต่ถ้า DSM คือแค่นี้ จะเป็นระบบที่ขาดสมดุลอย่างรุนแรง และอาจไม่คุ้มค่าเวลา ปลาที่ได้ปลายน้ำ มันเป็นปลาซิวปลาสร้อย มันจึงว่ายทวนน้ำขึ้นไปไม่ได้ ไหลหล่นมาทุกที ก็เป็นปลาตัวเล็ก จับได้แค่พอประทังชีวิตเท่านั้นเองค่ะ ส่วนปลากลางลำธาร เน้นฆ่าเวลา กับไล่ปลาให้ขึ้นไปบนๆ เสียมากกว่า(ใช้เวลาช่วงปลางงไม่รู้จะไปไหน เรียกว่าหลงทางว่างั้น) เราก็ค่อยๆ ไล่มันขึ้นไปทีละนิด ละนิด  จนกว่ามันจะยอมขึ้นไปจริงๆ แต่ถ้าปลา มันเป็นประเภท ปลาเร็วจิ๊ด มันก็คงวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ต้องปรับการไล่ ไม่ต้องไล่มาก ไม่เหนื่อย เพราะมันจะขึ้นไปเอง อิอิ จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 13:28:16

ความคิดเห็นที่ 60 สวัสดีครับ ... พี่ลำชี ธุรกิจเพิ่มมูลค่ากับของเหลือใช้เป็นไงบ้างครับ .......................... จากคุณ : loaw เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 13:52:33

ความคิดเห็นที่ 61 สวัสดีครับพี่ลำชีด้วยคน  ผมอยู่สุรินทร์ครับ จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 14:19:00

ความคิดเห็นที่ 62 ทีนี้ ส่วนสำคัญ ที่ทำให้ระบบ DSM สมบูรณ์ และเป็นส่วนที่สร้าง รายได้ของเรามากที่สุด คือ การจับปลาที่ ต้นน้ำ การจับปลาที่ต้นน้ำ จะได้ปลาที่ตัวใหญ่ เพราะแกร่งมาก ว่ายขึ้นมาได้ไกล แต่ในทางกลับกัน ยิ่งปลาว่ายขึ้นสูง มาไกลเท่าใด ปริมาณของมันกับน้อยลงเท่านั้น อันนี้ คือเหตุผล ที่ทำให้หลายคน ทำ DSM ขาขึ้นไม่เป็น เพราะปลาน่ะ จับได้ตัวใหญ่จริง แต่มันเหลือน้อยเหลือเกิน แต่วิธีจับปลาที่ต้นน้ำ เราทำถูกกันแล้วแน่หรือ?....มันจบแค่การวางแหอวนแบบเดิมเท่านั้นล่ะหรือ?............ เราใช้วิธีดักอวนแบบเดียวกับปลาซิวปลาสร้อย ที่ปลายน้ำ นั่นถูกต้องแล้วค่ะ แต่มันมีส่วนต่อขยาย ซึ่ง เจ้าสำนัก กักเก็บไว้เป็นไม้ตายก้นกุฏิ ไม้ตายที่เรียกว่า  "ช่องว่าง" ค่ะ ช่องว่างในตลาดหุ้น ไม่ได้ใช้บ่อยหรอกค่ะ แต่ใช้เมื่อมันเป็นขาขึ้นสุดๆเท่านั้น และทุกครั้งที่ใช้ รายได้ของเราจะเพิ่มแบบก้าวกระโดดทันที.....(แลกกับการทำให้สินทรัพย์ของเราลดลงไปบ้าง แต่จะทำอย่างไรได้) เพราะมันเป็นธรรมชาติ ของทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว ที่ๆ ราคาสูงๆ มันย่อมมีน้อย ที่ๆ ราคาต่ำๆ ย่อมมีมาก... แต่คนทำ DSM อยากให้ ที่ๆ ราคาสูงๆ มีมาก อันนี้ มันเป็นการฝืนธรรมชาติ เพราะคิดว่า การดักอวนมีแบบเดียว จึงรักษาวิธีการดักปลาปลายน้ำ ไปจับปลาต้นน้ำ ซึ่งไม่ผิด แต่ไม่ได้ใช้ศักยภาพของ DSM เต็มที่ค่ะ ) จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 14:22:16

ความคิดเห็นที่ 63 พักเรื่อง การจับปลาไว้ก่อน พูดถึง 3-0-2-8 ส่วนตัว รู้สึกว่า 3-0-2-8 เป็นเพียงโครงสร้าง ของระบบการบริหารจัดการพอร์ตในสภาวะปกติค่ะ แต่ไม่อยากให้ยึดติดมาก เพราะ 3-0-2-8 ในความรู้สึกของเรา รู้สึกว่า มันไม่ได้รวมการจับปลาต้นน้ำไว้เลย มันเป็นเพียงรูปแบบโครงสร้าง การบริหารจัดการพอร์ต ถ้าโครงสร้าง เปลี่ยนไป ไม่ได้หมายความว่า เราจะจับปลาไม่ได้ ส่วนตัวเราเองคงไม่ยึดติดอะไร และไม่ตีความมากไปกว่านั้นค่ะ จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 14:30:11

ความคิดเห็นที่ 64 ตอบคำถามพี่PrinceAlwaysLate 1 ของผมคือ" วินัย "ครับ บัญชีก็สำคัญมากเเต่ไม่เท่าวินัย 2 "ซื้อให้ถูกกว่าขาย"  ไม่ใช่ขายให้เเพงกว่าซื้อ เพราะเราต้องจบด้วยการมีหุ้น ถ้าจบ ด้วยการมีเงินมันก็ไม่ได้สะสมหุ้น เเต่ถ้าสุดท้ายเราเอาเงินที่ขายกลับมาซื้อหุ้นที่ถูกกว่าก็ ถือว่า OK ครับ เพราะจะเป็นซื้อให้ถูกกว่าขาย  คำว่าถูกกว่าในที่นี้จะมองเป็นมูลค่าของ เงิน ดังนั้นหุ้นอาจจะมากกว่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิมก็ได้ เช่นเดียวกับราคาจะมากกว่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิมก็ได้เช่นกัน 3 "3-0-2-8 " ผมเคยเทรดเเบบเบสิคอยู่ 1 ปี มีปัญหาว่าหุ้นหมดมือในขาขึ้น เเปลว่าเรา เทรด DSM ขาขึ้นไม่ได้ จึงได้มาคิดเทรด 3-0-2-8 ปัจจุบันเป็น 3-0-8 ไม่ได้เทรดกองก ลาง จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 14:40:22

ความคิดเห็นที่ 65 ผมไม่เข้าใจตรงนี้ " กสงสฝ=เงินลงทุนเริ่มต้น-ยอดรวมซื้อ+ยอดรวมขาย-เงินสดหมุน เวียน " พี่PrinceAlwaysLate อธิบายเพิ่มหน่อยครับ เช่น ลงทุน 150,000 บาท ซื้อหุ้น 15 บาทได้ 10,000 ถ้าขายซื้อตามนี้ S 14.6 1,000  S 14.4 1,000  S 14.2 1,000 B 14.1 1,000 มีเงินในบัญชี 29,100 หุ้นเหลือ 8,000 [เเบบไม่คิดค่าคอมนะครับ] กสงฝเเบบที่ผมเข้าใจ 500 บาท[ .5 x 1,000] เเบบตามสูตรข้างบน 150,000 - 14,100 + 43,200 - 29,100[ไม่เเน่ใจว่าคือตัวนี้ไหม] = 150,000 ??? หรือว่ายอดรวมซื้อเอาที่ซื้อ 15 บาท 10,000 ด้วยก็จะกลายเป็น 150,000-150,000=0 ??????? จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 14:54:52

ความคิดเห็นที่ 66 #53 พี่เกี๊ยกครับ ผมไม่เก็ท ว่าทำไมพูดถึงบัญชี แล้วกลัวผมจะเตะพี่ งงครับ ??? ที่สำคัญคือ ผมไม่กล้าเตะพี่หรอกครับ... ยังไงพี่ก็รุ่นพี่มหาลัยครับ ผมมิกล้าปีนเกลียว จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 14:56:23

ความคิดเห็นที่ 67 เข้าใจเเล้วครับ ตัวเงินสดหมุนเวียนไม่ใช่ 29100 จริงๆเป็น 28600 เพราะ กสงฝที่ได้ดึงออก ดังนั้น กสงฝ ได้เท่ากันที่ 500 ครับ :) จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:02:09

ความคิดเห็นที่ 68 สรุปเป็น 150000 - 164100 + 43200 - 28600 = 500 :) จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:04:51

ความคิดเห็นที่ 69 คุณ GF เคยถามตัวเองไหมคะ ว่าเราสะสมหุ้นเพื่ออะไร? จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:09:34

ความคิดเห็นที่ 70 กสงสฝ คุณเด่นศรี เเปลมาจาก Phantom Cashflow ใน Rich Dad ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับในหนังสือเท่าไร เพราะมันเป็นค่าเสื่อมถอยของราคา อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเราเอาไปคิดเป็นค่าใช้จ่ายได้ ทำให้เสียภาษีน้อยลง[คุณซีเค อธิบายไว้ใน] http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I2987344/I2987344.html PS ไม่มีอะไรนะครับ คิดขึ้นมาได้ว่าเคยอ่านเจอเลยมาลงเฉยๆ :) จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:11:49

ความคิดเห็นที่ 71 เพื่อจะได้มี กสงฝ ที่มากขึ้นเรื่อยๆครับ เพราะเงิน 25 % ที่เราดึงออกมาเป็นเงินจริงๆที่ ออกมา โดย 50 % ใส่คืนเข้าไปในหุ้นเพื่อให้มันโตขึ้นเรื่อยๆ อีก 25 % เป็นกองฉุกเฉิน จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:13:39

ความคิดเห็นที่ 72 ไปก่อนนะครับ เรื่องช่องว่างส่วนใหญ่[รวมทั้งผมเองด้วย]คิดว่าเป็นการเปลี่ยนหุ้น ซึ่งไม่ รู้ว่าถูกรึเปล่า  ส่วนตัวถ้าบอกว่า DSM ให้ผลตอบเเทนมากในขาขึ้น ก็เเปลว่าเราน่าจะทำ อะไรไม่ตรงอยู่ เพราะเราเล่น DSM ได้เเต่ขาลง อันนี้เป็นคำพูดของคุณเด่ีนศรีเอง " DSM ถ้าเทรดเป็นเเต่ขาลงเเปลว่าเราใช้มันเเค่ 30 % เท่านั้น " จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:17:41

ความคิดเห็นที่ 73 เพราะคุณ GF เชื่อว่า การสะสม หุ้น เพื่อทำให้มี กสงฝ(รายได้) มากขึ้นใช่ไหมคะ และ DSM ทุกรุ่นพยายามอย่างหนัก ที่จะให้ เราถือหุ้นไว้ ให้มากที่สุด เพื่อการสร้างรายได้ให้มากที่สุด(กสงฝ) ซึ่งมันขัดกับธรรมชาติ อย่างที่เราพยายามบอกในความเห็นที่ผ่านๆมาค่ะ *0* แต่ถ้าเราบอกคุณ GF ว่า ในขาขึ้น เมื่อหุ้นเหลือน้อย จนใกล้หมดมือ เราสามารถมีกระแสเงินสด ออกมาได้อย่างมากมายล่ะคะ การสะสมหุ้นมากๆ เมื่อราคาขึ้นมาสูงๆ จำเป็นต่อไปหรือไม่? อย่างไร? จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:20:47

ความคิดเห็นที่ 74 ช่องว่าง ในกระทู้เก่าๆ ก็คือการแปลงร่างหุ้น.... จริงๆ ขอตอบว่า มันคือ คนละเรื่องเดียวกันเลย....(งงไหม อิอิ) พักไว้อีก จะขอพูดถึง ธรรมชาติ ของตลาดหุ้น เมื่อหุ้นลง ลงแล้วก็ลง มันไม่เกิดรายได้ที่แท้จริง จนกว่าจะเกิดการทำซ้ำ หลายๆรอบ(แต่มันคุ้มค่าการรอคอยหรือไม่ อย่างไร) หุ้นขึ้น แล้วก็ขึ้นแล้วก็ขึ้นเท่านั้น ที่ทำให้เกิดรายได้ที่แท้จริงอย่างง่ายดาย นี่คือความจริงของตลาดหุ้นค่ะ ให้เปลี่ยนระบบวิธีคิดอย่างไร แต่ความจริง คือ หุ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น เท่านั้น ที่ทำให้เกิดรายได้ที่แท้จริงค่ะ แต่ใน DSM ถ้าการอธิบายดังนี้ มันก็ไม่สามารถเข้ามาในนิยามของรายได้ของเราได้ เราจะเอา มาตราวัดใด วิธีการใด ของระบบเราไปจับให้ รายได้ของเรา(กสงฝ) มากขึ้น(ตอบแต่ว่าหุ้นขึ้น มูลค่าเพิ่มขึ้น มันไม่ใช่ ถูกไหม) เพราะกระบวนท่าสำคัญของเรา ที่ละเมิดไปมิได้ คือ ซื้อต้องถูกกว่าขายเท่านั้น เพื่อให้เกิด กสงฝ. เราจะทำอย่างไร ให้ในขาขึ้น เราเกิด กสงส. ได้แบบก้าวกระโดดคะ? ตอบตรงนี้ได้ จบหลักสูตรทันที แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 54 15:30:45 จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:29:16

ความคิดเห็นที่ 75 ตอบ  พี่ยิปซี จาก คห10 ครับ ที่ถามไว้ว่า 1. จะรู้ได้งัยว่าถึงเวลาปล่อยส่วน 8 ออกทำงานครับ... (ขอร้อง.. อย่าตอบว่าระบบบัญชีนะครับ) พอดี  ผมเอาบัญชี  มาตอบในการปล่อยส่วน 8   มันก็เลยไปขัดกับเงื่อนไขในคำถามไงครับ (แซวเล่น เฉยๆ ครับ  อิอิ) พูดถึงเรื่องเรียน   เลยอยากถามนิดครับว่า บช สาขาบัญชี  กับ  บช สาขาบริหาร (ป ตรี)   เรียนและทำงาน ต่างกันอย่างไรครับ จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:55:08

ความคิดเห็นที่ 76 ขอลองตอบบ้างนะครับที่ว่า เราจะทำอย่างไร ให้ในขาขึ้น ให้เราเกิด กสงส. ได้แบบก้าวกระโดดคะ? ตอบตรงนี้ได้ ตอบ จาการแก้สมการที่ว่า กสงสฝ=เงินลงทุนเริ่มต้น-ยอดรวมซื้อ+ยอดรวมขาย-เงินสดหมุน เพราะถ้าเราทราบ กสงสฝ. ( แบบก้าวกระโดด ) เราก็จะหายอดเงินรวมซื้อได้ครับ. ยอดรวมซื้อ = เงินสดหมุน-เงินลงทุนเริ่มต้น-ยอดรวมขาย-กสงสฝ เมื่อได้ยอดรวมซื้อแล้ว ก็น่าจะได้คำตอบแล้วครับ ........................ จากคุณ : loaw เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:57:42

ความคิดเห็นที่ 77 บช สาขาบัญชี จบมาคงต้องเป็นนักบัญชีเป็นหลัก... แต่สายบริหาร จบมาคงทำงานได้หลากหลายกว่าครับ แต่ทำบัญชีไม่ได้... เผอิญผมจบอีกอย่างอ่ะครับพี่ เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 15:59:14

ความคิดเห็นที่ 78 ตอนแรกว่าจะมาโพสต่อ แต่พอได้มาอ่านคำแนะนำของคุณ PrinceAlwaysLate แล้ว ถึงกับอึ้งในความรู้เชียวชาญ และความแตกฉานในคัมภีร์ DSM โดยเฉพาะความที่ 74 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คุณ PriceAlwaysLate ได้ค้นพบ...ช่องว่างแล้ว ... ผมในฐานะคนที่"ไม่ค้นพบ" ขอแสดงความคารวะมาไว้ ณ ที่นี่ ...นับถือ นับถือ... จากคุณ : สุมาเต๊กโช เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 16:23:02

ความคิดเห็นที่ 79 คห 73 และ 74   ชัดเจนเลยครับ   ตรงนี้ล่ะครับ เป็นปัญหา ของการที่กอดหุ้น 8 ไปได้ถึงข้างบน ๆ แล้วในที่สุด  หุ้นก็ค่อย ๆ ย่อลงต่ำ   โดยที่ไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าที่ควร เพราะลืมธรรมชาติความจริงว่า  เมื่อหุ้นมูลค่าเยอะ  ปริมาณมักจะมีน้อยลง (เป็นธรรมชาติ  ที่คนเราอยากมีหุ้นเยอะๆ ที่ราคาสูง ๆ) ถ้าพยายามกอดมันไว้แน่นทุกเวลา  ย่อมไม่มีทางแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้ ผมนั่งจินตนาการ ธรรมชาติของคนเล่นหุ้น   ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงแพ้กับหุ้น - คนขี้กลัว   เมื่อหุ้นตก ก็กลัวรีบขายหมด  เมื่อหุ้นขึ้นไปหน่อย แล้วย่อลง ก็รีบขายหมด  เพราะกลัวมันจะตกมันที่เดิม  คนกลุ่มนี้ ไม่มีทางมีหุ้นไปขายแพง ๆ - คนใจแข็ง  ไม่ว่าหุ้นจะตก  ก็รู้ว่า ถึงมันตกเดี๋ยวมันก็จะขึ้นได้   ดังนั้น เมื่อหุ้นไปที่ราคา    ไหน   จะย่อลงแค่ไหน  ก็ยังรักที่จะกอดไว้แน่น    ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะขายหุ้นแพง ๆ    คนกลุ่มนี้ ก็จะไม่มีเงินเยอะ ๆ ไปซื้อหุ้นถูก ๆ ได้ - คนอยู่ตรงกลาง ๆ  ไม่เชื่อว่า หุ้นจะตกแรง  หรือ ขึ้นแรง   กลุ่มนี้  ก็จะซื้อ ๆ ขายๆ ไป  เรื่อย ๆ   เพื่อหวังกินกำไรไปเรื่อย ๆ (แต่ระยะยาว กำไรกับขาดทุน ก็พอ ๆ กัน และก็เสียค่าคอมฯ หมด) และถ้าสังเกตุ ในช่วงที่ราคาต่ำสุดขีด  ทำไมถึงมีปริมาณคนเก็บหุ้นถูก ๆ ได้ไม่มาก เพราะ 1. คนที่เล่นหุ้นอยู่  มักซื้อหุ้นเรื่อย ๆ  (พูดง่าย ๆ ติดหุ้น อิอิ) จนตังค์หมดแล้ว 2. คนที่ไม่เคยเล่นหุ้น (แค่เล็ง ๆ ไว้นาน)  ได้แต่คิดว่า  ราคานี้ น่าจะซื้อนะ ๆๆๆ  จนแล้วจนรอด ตั้งแต่เห็นหุ้นต่ำ จนวกกลับขึ้นไปใหม่  ก็ไม่ได้ซื้ออยู่ดี  เช่น เขาได้เห็นหุ้น PTT ลงมาตั้งแต่ 440 -> 400 -> 300 -> 280  แล้วก็รู้สึกว่า ราคาถูก   แต่ก็คิดว่า มันอาจลงต่อ   แล้วมันก็ลงมาอีกจริง ๆ 280 -> 250 -> 200 -> 170   ก็คิดในใจว่า  กะแล้ว มันจะลงต่อ   จนเห็นราคาที่ต่ำสุดที่ 170 บาท  ก็ไม่ซื้ออยู่ดี ด้วยความกลัวว่า เดี๋ยวมันจะลงต่อ  จากนั้น หุ้นมันค่อย ๆ ย้อนขึ้น ก็ยิ่งไม่ซื้อ เพราะคิดว่า มันแพงกว่า 170 บาทอีก    พอผ่านไป 3 เดือน เห็นราคามันวิ่งกลับไป  250 บาท   ก็ได้แต่คุยกับคนอื่นว่า   ตอนราคา 170 บาท กะว่าซื้ออยู่เหมือนกัน  !!   (โดยที่ตัวเองลืมนึกไปว่า  ณ เวลานั้น ๆ คำว่า คิดจะซื้อ มันคิดมาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่  250, 200, 170)  แต่ใจกับฝังลึกเข้าข้างตัวเองว่า   ตั้งใจจะซื้อราคาต่ำสุดที่ 170 บาท เพียงครั้งเดียว   ฮาาาาาา ... จากคุณ : minibar เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 16:24:10

ความคิดเห็นที่ 80 ขอถามคุณ PrinceAlwaysLate เราจะดูอย่างไรว่า หุ้นเป็นขาขึ้น ขาลง ส่วนคำถามที่ว่า " เราจะทำอย่างไร ให้ในขาขึ้น เราเกิด กสงส. ได้แบบก้าวกระโดดคะ? ตอบตรงนี้ได้ จบหลักสูตรทันที " ถ้างั้นสงสัยผมจะจบหลักสูตรแล้วละครับ จากคุณ : ลำชี เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 16:24:32

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณครับ คุณ PrinceAlwaysLate สำหรับคำถามและข้อคิดดีๆ จากคุณ : ดอกเข้ม (ดอกเข้ม) เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 16:40:00

ความคิดเห็นที่ 82 ตอบคุณ ลำชีค่ะ ถ้า basic dsm แค่หุ้นขึ้นถึง 15 ช่อง ก็เป็นขาขึ้นแล้วค่ะ ^,^ ขาลง หุ้นลง 2 ช่อง ก็เป็น ขาลงแล้วค่ะ และมันเกิดพร้อมๆกันได้เสียด้วยค่ะ *0* คุณลำชี คงจบหลักสูตรนานแล้ว(ไม่น่าเอามะพร้าวห้าวมาขายเลย >,,<ค่ะ  เห็นชื่อในกระทู้ แรกๆ บ่อยเลยค่ะ จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 16:45:59

ความคิดเห็นที่ 83 #76 อ่านสมการคุณ loaw แล้วงง เลยค่ะ จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 16:50:49

ความคิดเห็นที่ 84 ก่อนจะกลับมาบ้านไป ขอมาโพสทิ้งท้ายไว้นิดนึง เป็นเรื่องต่อจาก "หุ้น = หุ้น" นะครับ ในบัญชีของอาจารย์ ทำไมถึงไม่มีชื่อหุ้นอยู่ในสมุดบัญชี ก็ม่ายรู้ เหอเหอ ... ผมคิดหัวแทบแตก ใครก็ได้ตอบผมที งือๆๆ ป.ล. ขอทิ้งท้ายด้วยวลีเด็ดของปรมาจารญ์เด่นศรี ............................................. สำหรับความเห็นที่บอกว่า   ......  “ตอนลงมันสร้าง cashflow ได้ แต่ตอนขึ้น มันจะไม่มีcashflow ครับ” คือผมไม่ได้ว่าsystemไม่ดีนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่า cashflowที่คุณได้เยอะตอนหุ้นราคาตก มันจะได้น้อยตอนหุ้นขึ้น ผมให้การบ้านนะครับ  .....  ตอนขาขึ้น  จะได้  cash flow  มากกว่าตอนขาลงหลายเท่าครับ   (  สามารถเลือกได้เลยว่า  จะเอา  cash flow  ก็เท่า   ( ยิ้ม ))     เป็นการบ้านสำหรับทุกท่านด้วยครับ   ถ้าตอบข้อนี้ได้   .....   ตลาดหุ้น   เป็นแค่สนามปั้มเงินแค่นั้นเองครับ   ......................................... จากคุณ : สุมาเต๊กโช เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 18:00:56

ความคิดเห็นที่ 85 #84 นั่นละคะ คำตอบค่ะ คุณสุมาเต๊กโช ใน 2 บรรทัดแรก คุณได้ตอบคำถามที่คุณคิดจนหัวแตกได้เองแล้วค่ะ เอาให้หัวแตกเข้าไปอีก อิอิ >,,< ความจริง อยากบอกตรงๆ ว่า ช่องว่างคืออะไรเหมือนกัน แต่ไม่เข้าใจที่เจ้าสำนักไฉน จีงไม่ยอมบอก มันมีอะไร สำคัญที่จำเป็นต้องให้มันเป็นความลับอยู่อย่างนั้นหรือ..... เพราะความจริง มันก็ง่ายๆ เสียเหลือเกิน.... อืม ดังนั้น จึงขอเปรียบเทียบ DSM กับ กระแสธาร แทนการจับปลา เพราะภาพตรงกว่ากันมาก DSM คือแม่น้ำสายใหญ่ ที่แตกแขนงออกมาเรื่อยๆ จากแม่น้ำสายใหญ่ที่สุด แตกสาขาออกมาเป็น สายรองๆลงมา รองๆ ลงมา จนถึงสายเล็กจิ๋วที่สุด ทุกสายสัมพันธ์กับ จากใหญ่ไป น้อยตามลำดับ กระแสน้ำ พัดพาความมั่งคั่งไป พัดพาไป ทุกๆสาย มีความสำคัญ มีส่วนเกื้อหนุน ซึ่งกันและกัน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เราต้องการประโยชน์ จาก การใช้น้ำจากแม่น้ำเหล่านี้ เราจึงไปกั้นเขื่อนไว้ กั้นไปเรื่อยๆ กั้นไปเรื่อย ที่เหนือเขื่อนแต่ละเขื่อน เราก็มีน้ำใช้ไว้เหลือเฟือพอประมาณ จากแม่น้ำจิ๋วสุด ขึ้นไปจนแม่น้ำใหญ่สุด เรากั้นเขื่อนไว้ตลอดทาง จนวันหนึ่ง (อาจจะหน้าแล้ง >,,<) ลำธารกลับน้ำลดน้อยลงไป น้อยลงไป ลดลงไปเรื่อยๆ จนเราคิดว่าอาจไม่มีน้ำใช้อย่างพอเพียง เราจึงเปิดเขื่อนของแม่น้ำหมดทุกสาย อย่างพร้อมเพียง ในที่สุดสายน้ำก็ไหลมารวมกัน พัดพาความมั่งคั่งมาสู่ ผู้ใช้ DSM อย่างถ้วนหน้า จบแล้วค่ะ อิอิ ขอบคุณที่รับฟังนะคะ จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 18:42:07

ความคิดเห็นที่ 86 สวัสดีครับ......... เป็นกระทู้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ............ ..................................................... ส่วนตัวผมแล้ว.... เคยอ่านและหาคำตอบ ระบบ DSM จนเวลาเกือบ 2ปีแล้วครับ... จนทุกวันนี้..... ก็ยังคิดว่าไม่เข้าใจระบบ ถึงแก่นแท้ซะที..... สำหรับผมแล้ววิธีการ ที่จะบรรลุได้จริงๆแล้ว อาจจมีหลายแบบ หลายแนวทางแตกต่าง กันไป สำหรับแต่ละคน.....ขึ้นอยู่กับวิธีคิด และประสบการณ์ในการทำ DSM ที่ผ่านมา จนกว่าจะผ่านกระบวนการทางความคิด ...ปฎิบัติให้เกิดได้จริง ... เมื่อไหร่ก็ตาม หลังจากผ่านเวลาการทำ ซักระยะหนื่ง ตัวชี้วัดที่คุณเด่นศรีเคยให้ไว้คง เป็นคำตอบที่ดี.... ว่าบรรลุ DSM มากน้อยแค่ใหน..... ทุกวันนี้ผมก็ยังเข้าใจแค่ว่า.... ระบบ DSM เป็นระบบที่ปล่อยให้กลไกการทำงาน ไม่ฝีน แนวโน้มของตลาด...เป็นระบบ ที่เป็นธรรมชาติ... ไม่ซับซ้อน... แล้วทำไม..... เราต้องคอยหาคำตอบ ทีคิดว่าไม่มีคำตอบ... ไม่ว่า การแบ่งกอง 3-0-2-8   การแปลงร่าง จำนวนหุ้นที่สะสม มูลค่าพอร์ต หรือแม้กระทั่งเงินสดแฝง.. เพราะอะไรหรือ...... ก็เพราะ ทุกอย่างที่ผมกล่าวมา มันเป็นสิ่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์ กันแบบ ผกผันกันตลอดเวลา.... เมื่อมีสิ่งใดเพิ่มขึ้น ก็จะต้องมีบางอย่างลดลง...เป็น กฎธรรมชาติ...(กฎ DSM)... นั่นคือมันจะปรับสมดุลย์ ด้วยตัวของมันเอง... โดยเราไม่ จำเป็นต้องไปฝืนทำ...... เคยได้อ่านแล้วรู้สึกคิดได้แค่คำเดียวเท่านั้น.....ความสมดุย์....ความสมดุลย์ .... มูลค่าพอร์ต ถ้ามีมากไปก็ไม่ดี.... ..... กสงฝ มีมากไปก็ไม่ดี... ....จำนวนหุ้นมีมากไปก็ไม่ดี... ....เงินสดมีมากไปก็ไม่ดี.... ผมว่าผู้ที่จะบรรลุได้จริงๆ คงต้องรู้จักทำทุกๆ อย่างให้สมดุลย์เข้าด้วยกัน..โดยอัตโนมัติ โดยระบบ ที่วางไว้.....และระบบนั้น ต้องง่ายๆ เป็นธรรมชาติ..... ผมว่าสุดท้ายแล้ว.....ทุกสิ่งทุกความคิด ก็คงหยุดอยู่ที่ DSM Basic อีกเช่นเคย..... นั่นคือ ระบบ 3 ธรรม ค่อยๆ ลองคิดกันดูนะครับ......ระบบที่ ธรรมชาติ และธรรมดา + จิตใจที่เป็นธรรม ก็น่าจะเทรดระบบนี้ได้อย่างสบายแล้วครับ... จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 19:30:42

ความคิดเห็นที่ 87 สรุปได้ว่า...... คนที่วางระบบแล้วทำตามระบบได้ทุก เม็ด โดยไม่แหกกฎ (นั่นคือต้องเชื่อมั่น และง่าย) หุ้นขึ้น(ลง) ก็ยิ้ม  หุ้นเหลือน้อย(มาก)ก็ยิ้ม หุ้นหมดมือก็ยิ้ม กสงฝน้อย(มาก)ก็ยิ้ม มูลค่าพอร์ตเลือน้อย(มาก)ก็ยิ้ม.............. ดังน้้นวิธีการทำเราต้องค้นหาคำตอบจริงๆสำหรับการทำระบบนี้ก็คือ  หาเทคนิค หรือ วิธีการอย่างไรที่เหมาะสมกับแต่ละคน ให้เราเทรดได้ตามหมากที่วางไว้ 100 % ผมคิดว่า....เป็นสิ่งที่น่าค้นหาที่สุดครับ...... จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 20:44:17

ความคิดเห็นที่ 88 ความคลุมเครือ เป็นเหมือนม่านหมอกหนาทึบ ปกปิดเส้นทางไปสู่อิสรภาพทางการเงิน กลายเป็นทั้งเสน่ห์และแรงจูงใจ ที่ทำให้หลายๆ คน ยอมทุ่มเวลาขบคิดตีความ DSM มาตั้งแต่สมัยแรกๆ ด้วยความเชื่อมั่นว่า หากได้พบเจอเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว อิสรภาพทางการเงินก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จากวันนั้นตราบจนกระทั่งกระทู้นี้ ก็ยังแสดงให้เห็นชัดว่า เสน่ห์ของ DSM นั้นคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมไม่เสื่อมคลาย... .............................. คำถาม และคำตอบ ในกระทู้นี้มีแรงดึงดูดเหมือนกระทู้ระยะแรกๆ   ทำให้คนอ่านได้คิด และตีความ ได้ทบทวนรูปแบบและแนวทางของแต่ละคน แม้ผมจะล้มเลิกการเดินบนเส้นทาง DSM ไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดตอบตามไปด้วยทุกคำถาม และแน่นอนว่า เมื่อเทียบคำตอบแล้ว ก็ไม่ลึกซึ้งเท่ากับที่คุณ PrinceAlwaysLate ได้ตอบ คุณ PrinceAlwaysLate ตอบได้ลึกซึ้งแถมยังคงเสน่ห์ของ DSM ไว้ได้อย่างแนบแน่นอีกด้วย ............................ จากกระทู้นี้ถ้าเป็นการสอบปากเปล่า คุณ PrinceAlwaysLate นับว่าผ่านฉลุย เหมือนได้ฝ่าผ่านด่านอรหันต์ทองคำ ที่เหลือก็รอแต่การเกิดผลจริงในทางปฏิบัติ เทียบสมัยแล้วแม้คุณ PrinceAlwaysLate จะมาทีหลัง แต่แสดงออกอย่างเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเข้าใจได้แจ่มชัด และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สัจธรรมถูกยืนยันว่า ผลลัพธ์ของการเรียนรู้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับลำดับรุ่นและระยะเวลาที่ศึกษา ........................... ขอบคุณพี่ๆ รุ่นแรกๆ...พี่เกี๊ยก พี่สุมาเต็กโช พี่ลำชี ที่ช่วยตั้งประเด็นให้ตอบและสอบถาม ขอบคุณจอมยุทธ์หญิง PrinceAlwaysLate และเหล่าผู้แสวงหาทุกรุ่น ที่ช่วยตอบและทวนถาม จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 22:24:08

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณมากครับคุณPrinceAlwaysLate และพี่ๆทุกคน  สำหรับกระทู้ดีๆ ช่วงหุ้นลงนี่ DSM เป็นขาขึ้นสวนตลาดจริงๆครับ (ยิ้มบ้าง อะไรบ้าง อิอิ) จากคุณ : You know me เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 23:04:04

ความคิดเห็นที่ 90 ขอบคุณพี่PrinceAlwaysLate ครับ  เดี๋ยวขออ่านอีกหลายๆรอบก่อนนะครับ  ยังคิดไม่ออก :) จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 00:51:40

ความคิดเห็นที่ 91 อ่านทั้งหมดใหม่เเล้วก้มีคิดออกเพิ่มมาบ้าง ซึ่งจริงๆบางส่วนก็เคยผ่านเข้ามาในความคิดอยู่เเล้ว เเต่มันขัดกับเเนวความคิด อันบางอันอยู่บ้าง  คงต้องไปเรียบเรียงอีกซักที  เเต่พอจะคิดที่ว่าทำยังไงในขาขึ้นให้เกิดกระเเสเงินเเบบก้าวกระโดดออกเเล้ว เเต่มันต้องคิดต่อว่าจะเอามาเข้ากับระบบ DSM ต่อยังไง ที่คิดออกตอนนี้ 1 ขายให้เเพงกว่าซื้อ 2 เเปลงร่าง 3 มหาเวทย์ดูดดาว น่าจะอธิบายที่ไม่ต้องมีชื่อหุ้นได้ มองเป็นเเค่เรื่องตัวเลข เเล้วจับคู่ซื้อกับขาย ไปนอนเเล้วครับเเล้วเดี๋ยวมาคิดต่อ เหมือนออกบ้างเเล้วเเต่สมองมันยังถามว่า ใช่เหรอเปล่า :) จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 02:54:10

ความคิดเห็นที่ 92 ขอบคุณคุณคนล่าห่านที่ชมค่ะ ความจริง ถ้าไม่ได้คุณคนล่าห่านช่วยตาม คุณ akae นำบัญชีคุณ Teera Ver. ปรับปรุงแล้ว(แม้จะต้องปรับปรุงอีกเยอะก็ตาม เพราะล็อคข้อมูลไว้เยอะมาก) เราก็คงลำบากกว่านี้มาก ขอบคุณจากใจจริงนะคะ ที่เข้ามาตอบในกระทู้นี้ ก็เพราะได้รับความอนุเคราะห์เริ่มต้น จากพี่ๆน้องๆเพื่อนๆ DSM ก่อนค่ะ (คุณ GF ก็เป็นหนึ่งในความอนุเคราะห์เริ่มต้น) การให้=การได้ ขอบคุณทุกท่านจากใจจริงนะคะ ป ลิง: ความจริงเรา ก็ไม่ได้ คิดเองคนเดียวหรอกค่ะ เราได้รับความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวเรา  ซึ่ง เป็นศิษย์นอกรีต ของเจ้าสำนัก(ชื่อของเค้าก็มีอยู่ในกระทู้แรกเริ่มด้วย อิอิ) เค้าเอาข้อมูลการเทรด DSM ของเค้ามาให้ดู ก่อนที่จะเลิกไป(แต่บัญชี มั่วมากค่ะ 555) เค้าเลยบอกว่า ทำไม่ได้ เพราะบัญชี มั่วสุดๆ นี่แหละ ประกอบกับเค้าต้องทำธุรกิจเป็นหลัก ให้ดูตลอดคงไม่ไหว เลยไปอยู่สาย VSOP แทน กระทู้ถามมาตอบไปนี้ เค้าช่วยเราคิดจากฐานข้อมูลเดิมๆ เพราะเสมือนเป็นการรำลึกถึงอาจารย์ และตอบแทนบุญคุณอดีตเพื่อนร่วมสำนักจากเค้าค่ะ ขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 08:41:17

ความคิดเห็นที่ 93 คุณ GF คะ คห. 86# คุณ maxtao เป็นความเห็นที่เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติ DSM มากค่ะ เพราะ DSM เค้าวางรูปแบบให้ทุกอย่าง "สมดุลย์" โดยไม่ต้องไปเร่งมัน เป็นธรรมชาติ อย่างที่สุดแล้วค่ะ ธรรมชาติ ของตลาดหุ้น เวลาหุ้นขึ้นๆๆ หุ้นควรจะเหลือน้อย = ธรรมชาติ เวลาหุ้น ลงๆๆๆ หุ้นควรมีมาก= ธรรมชาติ จากสูตร กสงฝ=เงินลงทุนเริ่มต้น-ยอดรวมซื้อ+ยอดรวมขาย-เงินสดหมุนเวียน จะเห็นว่า เงินเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงค่าไม่ได้, เงินสดหมุนเวียนแปลผกผันกับ กสงฝ.(แก้ตรงๆไม่ได้ เกิดเพราะ transaction ของยอดซื้อ กับขาย) ดังนั้น ในขาขึ้น ตัวที่จะทำให้ กสงฝ เปลี่ยนแปลงจริงๆ คือ ยอดรวมขาย ต้องมากกว่า ยอดรวมซื้อมากๆ(ทำอย่างไร เห็นภาพไหม นี่คือการใบ้ ที่ตรงและง่ายที่สุดแล้วค่ะ) นี่คือธรรมชาติ ของตลาดหุ้น เมื่อมันขึ้นๆๆๆ จำนวนหุ้นมันจะลดลง แต่ เงินแฝง มันจะเยอะขึ้น (เราฝืนธรรมชาติไม่ได้ เราทำได้แค่ทำให้หุ้นมันลดลงน้อยเท่านั้นเอง และทำให้เงินแฝงมันเพิ่มตามสมควรที่มันจะได้ เพราะอุตส่าห์ปีนป่ายขึ้นมาด้วยกันทั้งที) คุณ GF ปล่อยวางซักนิด กับเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ กับเรื่อง กสงฝ. หรือแม้แต่จำนวนหุ้นนะคะ จะเห็นภาพเองว่า ธรรมชาติ จะนำทุกสิ่งคืนสู่สมดุลย์ด้วยตัวของมันเองค่ะ จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 08:55:30

ความคิดเห็นที่ 94 ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้น เราจะย้ำอยู่เสมอว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เพิ่มและลด ได้ เพราะ DSM มีธรรมชาติ ที่จะพามันเข้าสู่สมดุลย์เอง แต่สิ่งที่เราได้ คือ ข้าวปลา คือของจริง นั่นคือ ค่าบริหารพอร์ต นั่นเอง ที่ต้องมีแต่เพิ่ม ไม่มีลด ละเมิดไม่ได้ และเราจะไม่มีวันคืนไปในพอร์ตหุ้นอีกตลอดกาลค่ะ *0* จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 09:02:52

ความคิดเห็นที่ 95 แย่เลยครับ..... บริหาร กิ๊บ ไม่ได้ซักที...... ขอมอบใจให้ทุกๆ ท่าน ที่เข้ามา ถาม-ตอบนะครับ..... อ่านทบทวนทีไร.... ได้อะไรกลับมาทุกที่......... ................... จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 09:16:41

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาช่วยกันถามกันตอบนะครับ ระบบDSMนี่ผมชอบอ่านมาก  แต่ยังไม่เคยลองเทรดเลย เพราะก็ยังหาข้อสรุปให้ตัวเองเข้าใจวงจรครบถ้วนจากหุ้นต่ำสุดไปยังสูงสุดแล้วกลับลงมาต่ำสุดไม่เจอ กลัวจะทำแล้วเดี้ยงกลางทางคงเสียหายเยอะ มีแววแบบนั้นซะด้วยเพราะว่าตัวเองยังมีวินัยในเรื่องซื้อขายหุ้นไม่ดีพอ จากคุณ : อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 09:49:09

ความคิดเห็นที่ 97 ขออนุญาตเอาอันนี้มาแปะนะครับ เซฟเก็บไว้อ่าน เป็นคคห.เมื่อครั้งคุณเด่นศรีเข้ามาเขียนอะไรยาวพอสมควรเมื่อเดือนกันยาปีที่แล้ว   สวัสดีครับ     ขอเข้ามาขัดจังหวะนิดนะครับ   คห.เมื่อเช้า   อาจจะเป็นเพราะผมใช้เครื่องดูหนังมาโพสต์     เลยเกิดปัญหา    เพราะตอนล็อกอิน  ก็พยายามหลายรอบ     เลยอาจจะทำให้  คห.ที่โพสต์เสร็จ   เกิดปัญหาหายไปเลย เลยเข้ามาอธิบายเสริมให้ครับ คือเรื่องระบบ   DSM   ที่ผมทำตอนนี้     ผมปรับรูปแบบให้ใช้สำหรับรุ่นลูกหลาน     โดยเฉพาะลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้เพิ่งจะ   3  ขวบกว่า เรื่องของเรื่องคือ    ตั้งแต่ตอนที่เค้าเกิดมา    ผมกับแฟนก็มาคิดกันว่า       ถ้าเค้าอายุถึง   10   ขวบ    เราจะเลิกให้เงินเค้า       ดังนั้นเค้าต้องหาเงินเอง สิ่งที่จะให้เค้าคือ     วิธีเทรดหุ้น แต่ระบบเทรดในตอนนั้น    แม้จะเบสิคแค่ไหน   ก็ยังมีรูปแบบที่ซ้อนกัน    เช่น   พอถึงสถานการณ์นี้  ต้องเริ่มทำแบบนี้     พอมาสถานการณ์นี้ต้องเริ่มแบบนี้ ผมมองดูแล้ว    ถ้าให้ลูกสาวอายุ   10   ขวบเทรด    ต้องเกิดปัญหาแน่นอน    เพราะต้องอาศัยการตัดสินใจแบบผู้ใหญ่เข้าช่วย ดังนั้น  ตั้งแต่ตอนที่เค้าเริ่มเกิดมา   ผมใช้เวลาเกือบ  2  ปี  ในการสร้างระบบเทรด   DSM   ที่ต้องง่ายที่สุด   และ  ทำรูปแบบเดียวกัน   ตั้งแต่เซตต่ำ  ถึงเซตสูงสุด   โดยไม่ต้องมีรูปแบบอื่นเข้ามาแทรกเลย เช่น   ถ้าเซตต่ำสุดอยู่ที่   100   แล้วไปสูงสุดที่   2000   ( ยกตัวอย่างนะครับ  )    ระบบนี้จะออกแบบแค่รูปแบบเดียว   แล้วใช้เทรดได้ตั้งแต่เซต   100  จนถึง   2000    และ   จาก   2000  มาถึง   100   ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบเลย สิ่งที่เค้าต้องทำ   คือ   เมื่อกลับมาบ้าน  ต้องคิดบัญชี   ( ใช้เครื่องคิดเลขเป็นก็ได้แล้ว )    และ  ปรับข้อมูลให้อัพเดต    แค่นั้น อย่างที่ผมทำ   ผมใช้เวลาทำบัญชี  จากหุ้นหลายตัวในพอร์ต   ใช้เวลาสรุปบัญชีไม่เกิน   5   นาที   ซึ่งเวลาเท่านี้   เด็กก็ไม่เบื่อที่จะทำบัญชี จากระบบ   DSM   ที่ผมปรับให้ง่าย    ผมเองก็ใช้อยู่ทุกวันนี้     หลายคนอาจจะแย้งว่า     มันจะเป็นไปได้อย่างไร    เซตจาก  100  ไป   2000  ( หรือมากกว่า )  แล้วจาก   2000   กลับมา   100     โดยใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทาง  ตั้งแต่ต้นจนจบรอบแล้วรอบเล่า ผมก็ต้องตอบว่า   ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ตลาดหุ้น   ไม่มีอะไรเลย   มีแค่หุ้นขึ้น    แล้วก็  หุ้นลง ถ้าเพื่อน ๆ  เทรดกันมานาน   แล้วมีข้อมูลที่เกิดปัญหา     ลองกลับไปดูครับ    จะเห็นกับตาตัวเองอย่างไม่ต้องมาค้านเรื่องนี้กับผมเลย ถ้าหุ้นมันขึ้น    มันจะขึ้น   ขึ้น   ขึ้น    จนกว่ามันจะลง ถ้าหุ้นมันลง   มันจะลง   ลง   ลง   จนกว่ามันจะขึ้น มีแค่   2   แบบแค่นั้นเองครับ   ตลาดหุ้น เมื่อย้อนกลับไปดูข้อมูลที่ค้างปัญหาไว้     จึงมีปัญหาเกิดขึ้นแค่   2  แบบ 1.  ตอนหุ้นขึ้น     จะมีข้อมูลขายแล้วซื้อคืนไม่ได้ตลอดทาง 2.  ตอนหุ้นลง    จะมีข้อมูลซื้อแล้วขายไม่ได้ตลอดทาง   หรือใครค้านครับ    ( ยิ้มแย้ม  ) ดังนั้นผมสรุปธรรมชาติของตลาดหุ้นไว้เลยว่า    มันมีแค่   หุ้นขึ้นกับหุ้นลง  แค่นั้น และย้ำอีกทีเลยว่า     .........ถ้าหุ้นมันขึ้น   มันก็จะขึ้น   ขึ้น   และ  ขึ้น  จนกว่ามันจะลง .........ถ้าหุ้นมันลง   มันก็จะลง  ลง   และ ลง  จนกว่ามันจะขึ้น ผมอธิบายง่าย  ๆ    ไม่มีคำศัพท์สวยหรู   ไม่มีคำศัพท์ยาก  ๆ   นะครับ   เอาแบบ    บ้านนอกกันเลย    ง่าย  ๆ   ใช้คำพื้น  ๆ   ) เพราะผมชอบทำทุกอย่างให้มันง่าย     เพราะมันทำเงินง่ายดี   ( ยิ้มแย้ม  ) ถ้ารูปแบบตลาดหุ้นมีแค่   2   ทาง     การทำเงินโดยเข้าใจธรรมชาติตลาด  ก็ง่ายแล้วครับ นั่นคือเหตุผลว่า   ทำไม    vi   จึงทำเงินได้ดี    ยามที่ตลาดดิ่งแล้ว  ตลาดกลับสูงขึ้นมา     และนี้คือเหตุผลที่ว่า   เมื่อตลาดสูงแล้ว    vi  จึงขายหุ้นแล้วออกไปพักผ่อน   รอตลาดตกรอบต่อไป ที่ผมกล่าวถึง   vi    เพื่ออธิบายให้เห็นภาพโดยรวมของ    DSM     ผมเคยบอกแล้วว่า    DSM   มาจากการมีแบบอย่างคือ    วอเรนต์  บัฟเฟต    เป็นรูปแบบที่สร้างมาจากพื้นฐานของ   vi 3 - 0 - 2 - 8    เป็นสิ่งที่เห็นชัด ส่วนของ   3   คือการ  ซ้อทอะเกนพอร์ต      แล้วสร้างเขื่อนกั้นขอบล่างสุดไว้     ซึ่งไม่มีอะไรจะต่ำกว่าเขื่อนนี้แล้ว ส่วนของ   0   คือส่วนที่อยู่เหนือ   3     คุณจะทำอย่างไรกับมันก็ได้    มันเป็นแค่ทางผ่าน ส่วนของ   2   นี่คือการเก็งกำไร    ซึ่งจะเก็งกำไรไปตลอดทาง   ด้วยรูปแบบ   ซื้อเพื่อขาย    หากจะค้านก็คิดให้ดี   มองให้ออกนะครับว่า    ส่วนนี้อยู่เหนือ   3   นั่นแสดงว่า     ถ้าหุ้นมันขึ้น  มันก็จะขึ้น  ขึ้น  ขึ้น      การซื้อแล้วขายจึงทำได้ตลอดทาง  ได้กำไรตลอดทาง     ทั้งยังขายแล้วซื้อคืนได้อีกด้วย   หากมันย่อตัว ส่วนของ   8    นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด    เป็นส่วนของการเก็บเงินเข้าบัญชี    เก็บกำไรเข้าบัญชี   และส่วนนี้คือรูปแบบของ     vi      นั่นคือ   เป็นหุ้นที่กวาดมาจากราคาต่ำ   แล้วรักษาหุ้น  มาปล่อยที่ราคาสูง ปัญหาของคนที่ทำ   DSM   คือ     1.  ไม่สามารถรักษาส่วน   8   ให้ยาวตลอดการเทรดได้  ( อย่างที่ผมบอกว่า   ระบบเทรด  10  ขวบที่ออกแบบให้ลูกสาว   ยังสามารถรักษาหุ้นได้ยาวแม้หุ้นจะไปเซตสูงแค่ไหนก็ตาม  ) 2.   เมื่อส่วน   8   ทำงานแล้ว    เพื่อนกลับไม่สามารถรักษามูลค่าของส่วน  8  เข้าสมุดบัญชีได้     แต่กลับปล่อยให้มันตกมาพร้อมตลาด   จนกลายเป็นส่วน  3   ในที่สุด สิ่งที่ควรจะได้เต็มไม้เต็มมือ    จึงเสียเวลาไปหมด แต่เรื่องพวกนี้   เพื่อน  ๆ   ที่ยังคงทำ   DSM   ต้องหากันเองนะครับ    มันไม่ยากหรอกครับ    แต่ง่ายขนาดว่า    เด็ก   10   ขวบก็ทำได้ ที่ผมเอาเรื่องระบบ   DSM   ที่ออกแบบมารอให้ลูกสาวอายุ   10   ขวบเทรด    เพื่อให้รู้ถึงธรรมชาติของตลาดหุ้นว่า     มันมีแค่  หุ้นลง  กับ  หุ้นขึ้น  แค่นั้นเอง มีแค่   2   ทาง ดังนั้น   การออกแบบระบบ   จึงมีแค่   2   ฝั่ง  คือ  ฝั่งซื้อ  กับ  ฝั่งขาย ทำอย่างไร   รูปแบบที่ออกมา   จึงจะใช้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ    จาก   เซตติดดิน --->>>  เซตสูงสุด  --->>>  เซตติดดิน  ---->>>   เซตสูงสุด    (  วนเวียนอยู่แค่นี้เอง  ) โดยรูปแบบของระบบ    จะมีรูปแบบแบบเดียวกันตลอด   ไม่ต้องเดา    ไม่ต้องเก็งกำไร    แค่เคาะไปตามที่ถึงจุดกำหนดในกระดาษ ถ้าถามว่า  ทำไมผมไม่บอกให้หมดเลย    ผมคงต้องตอบด้วยความจริงใจว่า    ....   นี่คือสมบัติของครอบครัว    ที่มีค่าสำหรับผมอย่างมหาศาล     ซึ่งการจะมอบให้ใคร    ผมต้องเลือก    สรุปคือ  .......  หวงมากเลยครับ   (   ยิ้มแย้ม   แฮ่  แฮ่  ) ถึงเวลาที่ผมคงต้องสรุปสิ่งที่อยากเน้น   1.  ตลาดหุ้นมีแค่   2   ทาง    ขึ้น  ขึ้น  ขึ้น    กับ   ลง  ลง  ลง 2.  ปัญหาของผู้ทำ   DSM   มีแค่  2  อย่างคือ  รักษาหุ้นส่วน  8  ให้โต   และ   เก็บมูลค่าส่วน  8  เข้าบัญชีให้ได้   (  วนไปวนมาอยู่แค่นี้   รักษาหุ้น   เก็บเงิน  รักษาหุ้น   เก็บเงิน  ......   ) 3.  รูปแบบการเทรด   ที่แม้แต่เด็ก  10   ขวบ   ยังเข้าใจและทำได้   ด้วยรูปแบบเพียงแบบเดียวตลอดชีวิตการเทรด ผมเข้ามาสรุปครั้งนี้   เพื่อมาบอกลา   ขอตัวไปปั้มเงินแบบเงียบ  ๆ   กับครอบครัว  ด้วยครับ     บะบายครับ   ทุกคนเล้ยยยยยยยยยยย ( ยิ้มแย้ม  ) ผมว่าจะให้ คห.นั้นเป็น  คห.บอกลาแล้วเชียวนา ผมชอบมากเลยครับ  เวลาใครเรียกผมว่า   .....   คุณเด่นศรี แต่ผมจะเคืองมาก   หากมาเรียกผมว่า    ....  อาจารย์เด่นศรี   เพราะทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมแก่มากกกกกกกกกกก แต่ถ้าใครเรียกผมว่า   ....   น้องเด่น    ผมแทบอยากจะโทรไปคุยด้วยเลย แฮ่  แฮ่  แฮ่ ผมตอบให้เสริมก่อนลาปลีกวิเวกนะครับ ตอบคุณ   daandart   ก่อนนะครับ    .....   แบบนั้นเลยครับ   นั่นเป็นโอกาสรอบใหญ่ของตลาดหุ้นเลย    ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคน   ต้องศึกษาที่จะคว้ามันไว้ในมือให้ได้    .....    มีแต่รวย  กับ  รวย เลยครับ ตอบคุณ  Mongkon/Pong  ครับ   ...... กสงฝ.   เป็นรายละเอียดที่อยู่ในนั้นครับ ส่วนใหญ่   การทำ  กสงฝ.   เพื่อน  ๆ   มักจะเห็นชัดตอนตลาดลง   เพราะ  ขายแล้วซื้อได้     คำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ทันที แต่จริง  ๆ   แล้ว   ตลาดขาขึ้นนี่ละครับ     ได้  กสงฝ.   เต็ม  ๆ  ก้อนใหญ่  ๆ  ตลอดทาง   ยิ่งขึ้นยิ่งได้เยอะ ตรงนี้ให้คิดเองนะครับ     แล้วมันจะไปบรรจบกับที่ผมบอกว่า    ระบบมันจะมีรูปแบบเดียวกันตลอดทาง อย่างวันนี้ผมคุยกับพี่ท่านหนึ่ง   เลยนึกบวก  กสงฝ.  ของเดือนนี้เล่น  ๆ     กสงฝ.เฉพาะ ของเดือนนี้  ( ตั้งแต่วันที่  1  จนถึงวันที่   14  )    ผมได้มาจริง  ๆ  แล้วคือ .............   เกือบ   30   เปอร์เซนต์ของพอร์ต ......... เพียงแต่   ผมเรียกมันว่า    กสงฝ.อนาคต   เพราะว่า   มันจะถูกแบ่งไปใช้งาน   เป็น   2   ส่วนคือ   ใช้งานปัจจุบัน   และ  ใช้งานในอนาคต ส่วนใช้งานปัจจุบัน   จะเป็นแค่   1  ใน  4   ของกสงฝ.รวมนั้น   และอีก   3  ใน  4    จะไว้เป็นกระสุน   สำหรับอนาคต ดังนั้น  คำถามที่คุณ  Mongkon/Pong   ถามว่า  .......... ...........   อยากถามเรื่อง ตอนหุ้น sideway หรือ swing ว่าระบบ DSM แบบง่ายๆ รูปแบบเดียวนี้ สามารถทำ กสงฝ ออกมาได้เหมือนเดิมไหม  .......... ผมก็ต้องตอบว่า     ทำได้แม้แต่ตอนไซค์เวย์  ( อย่างเช่นตอนนี้  )    เพียงแต่ว่า  ถ้าไซค์เวย์ลง   จะได้  กสงฝ.น้อย   ตามสเต็ป แต่ถ้าไซค์เวย์ขาขึ้น    ได้เป็นกอบเป็นกำเลยครับ   แต่อย่างที่บอกครับว่า  ผมเรียกมันว่า   กสงฝ.อนาคต   เพราะมันต้องใช้ส่วนใหญ่ในอนาคต    ใช้แค่    1  ใน  4  ส่วนในปัจจุบัน อย่าเรียกผมว่า   น้องเด่น  นะครับ   ผมไม่อยากเผลอใจ     มาตอบอีก    กลัวจะว่าผมว่า      บอกลาแล้วทำไมยังไม่ไปอีก    ชิ้ว  ชิ้ว   ไป๊  ไป๊   ( ทำนองเนี่ยะครับ  ) (  ยิ้มแย้ม  ) เด่นศรี  ครับผม ส่วนของ   3   คือการ  ซ้อทอะเกนพอร์ต      แล้วสร้างเขื่อนกั้นขอบล่างสุดไว้     ซึ่งไม่มีอะไรจะต่ำกว่าเขื่อนนี้แล้ว ส่วนของ   0   คือส่วนที่อยู่เหนือ   3     คุณจะทำอย่างไรกับมันก็ได้    มันเป็นแค่ทางผ่าน ( ยิ้มแย้ม  ) จากคุณ : ทำให้ง่ายเข้าไว้ เงินจะมาเอง (เด่นศรี)     เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 22:33:58 จากคุณ : อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 09:52:04

ความคิดเห็นที่ 98 กิ๊ฟหมดไปเเล้วเลยให้ใครไม่ได้เลย น่ามีปุ่มกดlikeเหมือนFB ขอบคุณพี่PrinceAlwaysLate  มากๆครับ :)  เเล้วก็เเอบอยากรู้ เเฟนพี่ login อะไรครับ จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 10:59:15

ความคิดเห็นที่ 99 คุณพี่PrinceAlwaysLate--ขนาดไม่เคยลงทุนหุ้น---เพิ่มมาศึกษาแนวนี้--ติดตามอ่าน--ยังสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้--วิธีการ--ช่องว่าง--โดยไม่ต้องคอยมาถามพี่ๆเพื่อนๆในนี้ให้แนะนำเลย เก่งมากเลยครับ--บ่างท่านเริ่มตั้งแต่แรกยัง--พิศวง--งง--งวยอยู่เลย---ต่อยอกไม่ถูก--หาช่องว่าง--ไม่เจอ--(ผมเป็นต้น--จนกลายพันไปละ--555) ถ้าคุณพี่PrinceAlwaysLate---ไม่มีเทรนเนอส่วนตัวที่เก่ง--ให้คำแนะนำถึงข้อข้องใจต่างๆ---ก็สแดงว่าพี่นี่สุดยอด---มากกกก---อ่านและเข้าใจ---ตีความได้หมด--นับถือครับ ถ้าเข้าใจไม่ผิด--แฟนพี่อนุญาตให้เปิดพอร์ตและลงทุนในแนว--DSM---แล้วใช่ไหมครับ นานเท่าไหร่แล้วเอ่ย--จนถึงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง--เป็นไปตามแนวทางที่พี่คิดไว้และเข้าใจไหม----ตอนเริ่มพี่ติดขัดตรงไหนไหม---อยากทราบแนวคิดแนวทางของพี่อะครับ อยู่แนะนำพี่ๆเพื่อนๆก่อนนะครับ---อย่างเพิ่งหายไป--(ยิ้ม) จากคุณ : packboy เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 11:40:22

ความคิดเห็นที่ 100 100!! จะมีรูปมั้ยเนี่ย จากคุณ : ยิปซีร่อนเร่ เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 12:17:42

ความคิดเห็นที่ 101 ผมขอ ร้อยเอ็ด แล้วกัน .................... จากคุณ : loaw เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 12:26:21