Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ระยะเวลาลงทุน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

แวะมาแปะยามเย็น... นกหนาว ฮ่าฮ่าฮ่า

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=48271
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

โลกในมุมมองของ Value Investor         18 มิถุนายน 54 ดอกไม้
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


  การซื้อหุ้นลงทุนแต่ละตัวนั้น  นักลงทุนแต่ละคนก็มักจะมีแนวคิดคร่าว ๆ ว่าหุ้นตัวนั้นเขาจะ  “ถือยาวหรือสั้น”    แน่นอนว่าสำหรับบางคนแล้ว  เขาแทบไม่คิด  เพราะสำหรับเขา  การซื้อหุ้นลงทุนนั้น  ไม่มีคำว่ายาว  นั่นเป็นเพราะเขาเป็น  “นักเทรดหุ้น”  หรือเล่นหุ้น  “รายวัน”  สิ่งที่เขาทำก็คือ  คอยดูว่าตลาดหุ้นวันนั้นจะมีทิศทางอย่างไร  หรือหุ้นตัวนั้นจะมีทิศทางอย่างไรในแต่ละนาทีหรือชั่วโมง  เขาเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาหุ้น  และนี่คือนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์ที่มีเม็ดเงินลงทุนไม่มากและซื้อขายหุ้นเป็น  “งานอดิเรก”   นอกจากนักลงทุนรายย่อยเหล่านี้แล้ว  คนที่ซื้อขายหุ้นรวดเร็วมากยังรวมถึง  “ขาใหญ่”  หรือนักลงทุนที่มีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากที่เข้าไปซื้อขายหุ้น  “รายวัน”  ด้วยเม็ดเงินมหาศาล  คนกลุ่มนี้  นอกจากจะเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาหุ้นแล้ว  บ่อยครั้งยังเป็นคนที่  “สร้างความผันผวน”  ให้กับราคาหุ้นเองเพื่อให้ตนได้เปรียบในการเก็งกำไรจากการซื้อขายหุ้นนั้น
  กลุ่มคนที่  “เล่นสั้น”  นั้น  ถ้าเป็นรายเล็กซึ่งการซื้อขายไม่สามารถมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นได้นั้น  ในบางช่วงบางตอนที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นดีเป็นกระทิง  พวกเขาก็อาจจะมีกำไรบ้าง  แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นลงหรือขึ้น ๆ  ลง ๆ  พวกเขาก็มักจะขาดทุน  และในระยะยาวแล้ว  พวกเขาแทบจะต้องขาดทุนเสมอ  เหตุผลก็คือ  ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นจะ “กิน” ผลตอบแทนที่อาจจะทำได้จากการซื้อขายหุ้นหมด  ส่วนรายใหญ่ที่เก็งกำไรหุ้นระยะสั้นนั้น  เช่นเดียวกัน  ในช่วงที่ตลาดหุ้นดี  พวกเขาก็อาจจะมีกำไรมหาศาล  แต่ในยามที่ตลาดหุ้นแย่  หลายคนก็เสียหายหนัก  ในระยะยาวแล้ว  คนที่ทำผลตอบแทนได้มหาศาลก็น่าจะมีจำกัด
  ตัวอย่างของคนที่เล่นสั้นและประสบความสำเร็จอย่างสูงก็คือ  จอร์จ โซรอส และถ้ามองย้อนหลังไปยาวกว่านั้น  ก็อาจจะรวมถึงนักเก็งกำไรระดับโลกหลาย ๆ คนอย่าง เจสซี่ ลิเวอร์มอร์  เบอร์นาร์ด  บารูช และ เจอราลด์ เลิบ เป็นต้น  แม้ว่าบางคนจะล้มเหลวในช่วงท้าย ๆ  ของชีวิต
  กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มี Time Frame หรือช่วงระยะเวลาการลงทุนค่อนข้างสั้นแต่ไม่ถึงกับเป็น Day Trader หรือเล่นหุ้นรายวันแต่น่าจะลงทุนในระยะเวลาเป็น  “รายเดือน”  หรืออาจจะหลายเดือน  คนที่เล่นหุ้นแนวนี้มักจะมองถึง “พื้นฐาน”  ของหุ้น  ประกอบกับ  “โมเมนตัม”  หรืออาจจะเรียกว่าเป็น  “แรงส่ง”  ที่เกิดจากการเก็งกำไรของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ  รวมถึงแรงส่งที่มาจาก  “สตอรี่”  หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นของหุ้น  พูดง่าย ๆ  พวกเขาลงทุนโดยเน้นทั้งแนวพื้นฐานและแนวเท็คนิค  เพื่อที่จะซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานในเวลาที่มันกำลัง  “ร้อนแรง”   นักลงทุนหลายคนในกลุ่มนี้มี วิลเลียม โอนีล  เซียนหุ้นที่ใช้กลยุทธ์ที่มีชื่อย่อว่า  “CANSLIM” เป็นไอดอล  นักลงทุนในกลุ่มนี้มักจะทำผลตอบแทนได้น่าประทับใจมากในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคักร้อนแรงอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  อย่างไรก็ตาม  ในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำลง  พวกเขาก็อาจจะ “เจ็บตัว”  ไม่น้อยไปกว่านักเก็งกำไรกลุ่มอื่น ๆ
  กลุ่มที่ลงทุนยาวเป็นปีหรืออาจจะ 2-3 ปีที่เป็นกลุ่มใหญ่พอสมควรก็คือกลุ่มที่เรียกว่าเป็น  Value Investor  “กระแสหลัก”  นี่คือกลุ่มที่ยึดแนวทางของ เบน เกรแฮม  บิดาของการลงทุนแบบ Value Investment  กลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้มักจะเน้นที่เรื่องของราคาหุ้นว่าต้องเป็นหุ้นที่ “ถูกมาก”  เป็นหุ้นที่มี  Margin of Safety หรือมีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง  พวกเขามักเป็นนักลงทุนที่อนุรักษ์นิยมและไม่กล้าที่จะซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูงที่เขาเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพงแม้ว่าหุ้นนั้นจะเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมก็ตาม
  ผลงานการลงทุนของนักลงทุนสาย เกรแฮม นั้น  น่าจะไม่หวือหวามากนักโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมมาก ๆ  เนื่องจากหุ้นที่พวกเขาซื้อนั้นมักจะไม่ใช่หุ้นที่มีสตอรี่หรือมีเรื่องราวให้นักเก็งกำไรเข้ามาสนใจมากนัก   อย่างไรก็ตาม  ผลงานระยะยาวก็มักจะดีใช้ได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ในยามที่ตลาดหุ้นไม่ดีหรือ “ไม่ไปไหน”  เป็นเวลานาน  นักลงทุนในกลุ่มนี้น่าจะรักษาผลตอบแทนของตนเองได้ดีพอสมควรเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ
  นักลงทุนกลุ่มที่มีระยะเวลาการลงทุนไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับวัฎจักร์หรือสถานการณ์ของตัวหุ้นหรือสภาวะทางเศรษฐกิจบางอย่าง  อาจจะเรียกว่า  “นักเล่นหุ้นตามสถานการณ์”  นี่คือนักลงทุนที่น่าจะมี Time Frame ไม่เกิน 3-4 ปี  และบ่อยครั้งอาจจะน้อยกว่านั้น   ไอดอลของนักลงทุนกลุ่มนี้น่าจะเป็น  ปีเตอร์ ลินช์  ซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนที่ “เล่นหุ้นได้ทุกรูปแบบ”  โดยเน้นในด้านของพื้นฐานของตัวกิจการเป็นหลัก  การเล่นหุ้นได้ทุกรูปแบบนั้นเกิดจากการที่ลินช์จัดกลุ่มหุ้นทุกตัวตามคุณสมบัติของบริษัท  เช่น  เป็นหุ้นโตเร็ว  หุ้นที่อยู่ในกิจการที่เป็นวัฏจักร  หุ้นทรัพย์สินมาก  และหุ้นฟื้นตัวจากวิกฤติ  เป็นต้น  
  ผลงานการลงทุนในแบบของปีเตอร์ ลินช์ นั้น  ผมคิดว่าคนที่ทำได้ดี  นั่นคือ  สามารถซื้อขายหุ้นได้ถูกต้องตามคุณสมบัติของบริษัท  น่าจะได้กำไรหรือผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ  เฉพาะอย่างยิ่งหุ้นวัฏจักร์และกลุ่มฟื้นตัว  อย่างไรก็ตาม  การที่จะทำเช่นนั้นได้ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ศึกษาหรือมีความรู้ความสามารถพอ  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ  ถ้าเป็นการเข้าไปซื้อขายหลังจากที่หุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว  นักลงทุนก็อาจจะขาดทุนได้  และนี่ทำให้การลงทุนแบบนี้ก็มีความเสี่ยงไม่น้อย
  กลุ่มสุดท้ายก็คือ  นักลงทุนที่ลงทุนยาวมากคือ ประมาณตั้งแต่ 3-4 ปีขึ้นไป  ไอดอลของกลุ่มนี้ก็คือ  ฟิลลิป ฟิสเชอร์ และ วอเร็น บัฟเฟตต์  นี่คือนักลงทุนที่เน้นลงทุนในกิจการที่ดีเยี่ยมที่สุดในประเทศ  พวกเขาจะไม่ใคร่สนใจหุ้นของกิจการที่  “หาจุดเด่นไม่ค่อยได้” แม้ว่าจะมีราคาถูก  หรืออาจจะมีสตอรี่ที่น่าสนใจ  เป็นบริษัทที่กำลังอยู่ในวัฏจักร  “ขาขึ้น”  หรือแม้แต่บริษัทที่ “กำลังฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด”  สิ่งที่พวกเขามองก็คือ  ความสามารถในการแข่งขันหรือความได้เปรียบที่ยั่งยืนที่บริษัทมีต่อคู่แข่ง  ความเข้มแข็งทางการเงิน  การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมและบริษัท เหล่านี้เป็นต้น  ส่วนราคาหุ้นนั้นก็สนใจว่าต้องไม่แพง  แต่ราคาหุ้นที่ถูกมากนั้นไม่ใช่ประเด็นหลักในการเลือกหุ้น
  นักลงทุนที่เน้นในหุ้นแบบซุปเปอร์สต็อคและถือหุ้นยาวนานนั้น   น่าจะมีน้อยมาก  เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่  “น่าเบื่อ”  นอกจากนั้น  กิจการที่เป็น “ซุปเปอร์” จริง ๆ ในประเทศไทยและอยู่ในตลาดหุ้นก็อาจจะมีไม่มาก  เหนือสิ่งอื่นใด  การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นก็มักจะไม่หวือหวาในระยะเวลาอันสั้น  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  หุ้นซุปเปอร์สต็อคก็มีผลงานค่อนข้างดี  ทำให้ผลตอบแทนของนักลงทุนก็โดดเด่นพอสมควรโดยที่ความเสี่ยงไม่สูงนัก
  เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนคนหนึ่งจะมี Time Frame หรือกลยุทธ์แน่นอนเพียงแนวเดียว  อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนที่มุ่งมั่นและมีประสบการณ์มากแล้วก็มักจะมีจุดเน้นของตนเองที่พอบอกได้ว่าเขาเป็นนักลงทุนแนวไหน  การเลือกตำแหน่งของตนเองผมคิดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลงานระยะยาวของการลงทุน   เพราะมันเป็น “ยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดสิ่งต่าง  ๆ  ที่เราจะเดินไป

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 18:29:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com