ความคิดเห็นที่ 1 5 ปีสรุปได้สามบรรทัด คัดแต่เนื้อๆจริงๆ จากคุณ : นายฉิม เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 15:59:11

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้างั้นวันจันทร์นี้ผมก็ต้องปิด long แล้วซิ ดีเจียตก กราฟในคอมบอกขึ้นชัดๆ จากคุณ : เม่าก๊อตจิ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 16:01:01

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าจริงมันก็ไม่ต่างกับแทงหัวก้อยเลย ฉนั้น"ขอเนื้อหาวิจัยมายืนยันด้วยครับ" ไม่เอาแบบผลงานตัวเอนะ จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 16:05:03

ความคิดเห็นที่ 4 งั้นคุณเม่าก๊อตจิ ก็เลือกเป็นฝั่งความแม่นยำ 40%ที่เหลือน่ะสิ ว้าาาาา 555 จากคุณ : Wai-ta-min เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 16:05:29

ความคิดเห็นที่ 5 ถูกต้องครับ เป็นไปไม่ได้ ที่จะให้ทายถูก 100% ทุกครั้งครับ :-) เราเลยต้องมีการใช้ Money Management และ Risk to Reward Ratio เข้ามาบริหารการซื้อขายในแต่ล่ะครั้งครับ Money Management ก็คือบริหารยังไง ให้ได้กำไรในระยะยาว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะเทรดแล้วได้กำไรทุกครั้ง แต่ทำยังไง ให้ในระยะยาวแล้ว คุณจะได้กำไร ก่อนอื่นเลย ลองมาดูตัวอย่าง เพื่อทำความเข้าใจ ถึงการบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นกันก่อนครับ เช่น ถ้าคุณเริ่มต้นเทรดโดยมีพอร์ต 10,000 บาท ลองดูตารางการเปรียบเทียบ ระหว่างการขาดทุนครั้งล่ะ 2% กับ ครั้งล่ะ 10% โดยสมมุติ ว่าคุณขาดทุน 15 ครั้ง ติดๆ กันดูนะครับ ถ้าสมมุติว่าคุณจะยอมตัดขาดทุนที่ 2% จากเงิน 10,000 บาท ในการเทรดแต่ล่ะครั้ง ครั้งแรกคุณก็จะขาดทุนไป 200 บาท และจะเหลือทุน 9,800 บาท ถ้าขาดทุนอีก ก็จะค่อยๆ ลดลงไปทีล่ะ 2% (ตามตารางในรูป) ถ้าในแต่ล่ะครั้งของการเทรด ขาดทุนที่ 10% จากเงิน 10,000 บาท ก็จะขาดทุน ครั้งแรก 1,000 บาท และจะเหลือทุน 9,000 บาท ถ้าครั้งต่อไป ขาดทุนอีก เงินทุนก็จะค่อยๆลดลงไปครั้งล่ะ 10% (ตามตารางในรูป) ถ้ามองในตาราง จะเห็นว่า ถ้าขาดทุน 5 ครั้งติดต่อกัน ขาดทุนที่ 2% ต่อครั้ง จะเหลือทุน 9,224 ขาดทุนที่ 10% ต่อครั้ง จะเหลือทุน 6,561 และถ้าขาดทุน 15 ครั้งติดต่อกัน ขาดทุนที่ 2% ต่อครั้ง จะเหลือทุน 7,541 ขาดทุนที่ 10% ต่อครั้ง จะเหลือทุนเพียง 2,291 จะเห็นว่า ถ้าเราขาดทุนติดต่อกัน 15 ครั้ง โดยขาดทุนที่ 10% ทุนเราจะหายไปถึง 7,709 บาท หรือประมาณ 77% ในขณะที่ ถ้าขาดทุนครั้งล่ะ 2% เป็นจำนวน 15 ครั้งติดต่อกัน ทุนเราจะหายไปแค่ 2,459 บาท หรือ ประมาณ 25% ดูเหมือน ว่าเยอะแล้วใช่มั๊ยครับ แต่ความจริงที่โหดร้ายกว่านั้น คือ หากคุณขาดทุน 77% ของพอร์ต คุณจะต้องทำกำไร ให้ได้ถึง 337% จากเงินทุนที่คุณเหลืออยู่เพียง 2,291 เพียงเพื่อให้ได้เงินทุนกลับมาที่ 10,000 บาทในตอนเริ่มต้น ลองดูตารางที่อยู่ข้างล่างในรูปดูครับ เช่น หากขาดทุน 50% คุณต้องทำกำไรให้ได้ 100% เพียงเพื่อให้เงินทุนกลับไปเท่าเดิม หรือ หากขาดทุน 60% คุณต้องทำกำไรให้ได้ 150% เพียงเพื่อให้เงินทุนกลับไปเท่าเดิม ฯลฯ (ตามตารางในรูป) จุดนี้ ก็ต้องบริหารกันดีๆ ล่ะครับ ไม่งั้น แค่ทำกำไรให้ได้กลับมาเท่าเงินทุน ก็เหนื่อยแล้วครับ จากคุณ : moneymaker เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 17:34:16

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อเราเห็นว่า การบริหารเงินทุน กับอัตราความเสี่ยงเบื้องต้น นั้นสำคัญแค่ไหน คราวนี้ มาดูการบริหารความเสี่ยง และผลตอบแทนที่จะได้รับ เพื่อให้คุ้มค่า กับการเสี่ยงแต่ล่ะครั้งกันครับ อัตราความเสี่ยง ต่อ ผลตอบแทน Risk to Reward ควรต้องมีอัตราอย่างต่ำที่ 1 ต่อ 3 ครับ (1:3) หมายถึงอะไร ก็ลองดู ภาพตัวอย่างในตารางด้านล่างดูครับ เช่น ถ้าเทรด 10 ครั้ง แล้วเราขาดทุน 5 ครั้ง แต่สามารถทำกำไรได้ 5 ครั้ง โดยใช้อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน ที่ 1ต่อ3 ก็จะเท่ากับว่า เราจะขาดทุน  5 ครั้ง x 1,000 บาท = 5,000 บาท และกำไร 5 ครั้ง x 3,000 บาท = 15,000 บาท หักลบกันแล้ว เราก็ยังมีกำไรถึง 10,000 บาท ดังนั้น ในการเทรดแต่ล่ะครั้ง ก็ต้องดูกันครับ ว่า Risk to Reward ของเราคุ้มหรือเปล่า ซึ่งผลตอบแทนที่จะได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ของแต่ล่ะท่านกันไปครับ :-) จากคุณ : moneymaker เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 17:36:11

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าคุณ moneymaker ลืมเรื่อง ระยะการลงทุน ไปนะครับ daytrader นักลงทุนระยะสั้น ระยะยาว ถือเป็นเดือน หรือเป็นปี ถือตามแนวโน้มส่วนใหญ่ไม่ค่อยขาดทุนนะครับ ทุกอย่างที่คุณคิดเป็นการสมมุติหมด สมมุิติ 2% 10% บ้าง 15ครั้งติด เหมือนพวกเข้าบ่อน เทรดซื้อขายทุกชม นะ อันที่2 คือ ข้อมูลคุณคือ ทุ่มลงทุน 100% แต่ของจริงพอร์ท เค้ากระจายการลงทุนในหุ้นหลายตัว ถัวเฉลี่ยออกมา ส่วนใหญ่พอร์ทเทคนิคดีๆ ยังไง บวกลบ คุณหาร แ้ล้วก็ยังกำไร มากน้อย ก็ได้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากหรอกครับ อันที่3 คือเวลาทายผิดคัททันที ส่วนหุ้นที่ทายถูก let profit run หรืออาจเอาเงินจากหุ้นตัวที่ขายเพราะทายผิด เพิ่มพอร์ท ตัวที่ทายถูกไปอีก ได้คืนทันที ลูกเล่นมีเยอะไปหมด นะ คุณคำนวนแบบไม้บรรทัด ทื่อๆ ไม่ยืดหยุ่นแบบนี้ มันไม่ค่อยตรงความจริงซะเท่าไหร่นะครับ แก้ไขด่วน!!! จากคุณ : Wai-ta-min เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 17:57:40

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ wai-ta-min มีเทคนิคการบริหาร Port แบบ เล่น 10 - 15 ครั้ง ไหมครับ หากมีลองเอามาลงแชร์หน่อยซิครับ (ผมอยากศึกษา) ผมให้กิ๊ฟคุณ moneymaker เนื่องจากผมเข้าใจความหมายที่เค้าตั้งใจอย่างจะสื่อ ที่คุณบอกว่า เค้าสื่อมาทื่อ ๆ เหมือนไม้บรรทัดนั้น ผมมองว่า คุณ ไวตามิน เองต่างหาก ที่เข้าใจความหมายอย่างตรง ๆ ทื่อ ๆ ลองคิดให้ยืดหยุ่น หรือสมมุติเหตุการณ์ขึ้นมาเพื่ออธิบายดูซิครับ คุณไวตามิน อาจจะเข้าใจความหมายที่คุณ moneymaker ต้องการจะสื่อ ปล. หากมีสิ่งใดล่วงเกินคุณ ไวตามิน (กราบขออภัย) จากคุณ : mspaint เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 18:09:11

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบพระคุณมากครับคุณ Wai-ta-min ที่มาให้คำแนะนำ ในการซื้อขายจริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นไปตามตำราเป๊ะๆ เหมือนที่ท่านได้แนะนำมานั่นแหละครับ เพราะข้อมูลข้างต้นก็เป็นได้เพียงแค่ข้อมูลในการอ้างอิงเพื่อเป็นกรณีศึกษา แต่ในการปฎิบัติก็ต้องมีการประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไปครับ :-) จากคุณ : moneymaker (moneymaker) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 18:13:31

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบพระคุณ คุณ mspaint  ด้วยเช่นกันนะครับที่กรุณาให้กิ๊ฟ :-) จากคุณ : moneymaker เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 18:32:07

ความคิดเห็นที่ 11 ผมมีตัวอย่างของนักลงทุน (ผู้โง่เขลา) มาให้ดู หากท่านเป็นเทพ (สีชมพู) ท่านต้องทำอย่างไร เงินทุนของท่านจึงจะกลับมา ? จากคุณ : mspaint เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 18:32:52

ความคิดเห็นที่ 12 มีคนที่สามารถซื้อบนยอดแล้วขายที่ฐานถึง 6 ครั้งติดต่อกันเลยหรอครับ ถ้ามีเพื่อนแบบนี้รวยแน่นอนครับ จากคุณ : rabbitz5 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 19:17:10

ความคิดเห็นที่ 13 มีเพื่อนแบบนายชมพู งี้รักตายเลย หึหึหึหึ จากคุณ : onmine เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 19:32:44

ความคิดเห็นที่ 14 แต่ผมเดาถูกกว่าผิดมากกว่า 60% นะ..... พี่ๆอาจจะบอกว่า "รู้งี้เลิกใช้กราฟและมาเดาแทนดีกว่า" จากคุณ : GolfTJ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 19:45:51

ความคิดเห็นที่ 15 อย่าลืมว่า มี port sbl ด้วย การทำ mm บวกกับ STRG ดีๆ ในport ทั้งขึ้น ทั้งลง ... จะกันความเสียงจากการใช้เล่นเทคนิคเคิลได้ด้วย...  และ เทคนิคเคล เทรด กับเซียนๆ บางคน ใช้ indicatorแค่ 1-2 ตัว เท่านั้น นอกนั้น pattern ล้วนๆ.. เพราะเป้นการกัน bias ของ indicatorกันเองด้วย .. หัวข้อนี้ค่อนข้างกว้าง ... ไม่สามารถเหมาหมดว่า เป็นจริงตามนั้นครับ.. จากคุณ : ck (TFEX marketing) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 19:53:01

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าไม่เบื่อเสียก่อน  ทำวิจัยต่ออีกสัก 6-7ปี  อาจจะได้(ตามรูป) แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 54 20:09:55 จากคุณ : keeta2 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 20:09:33

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าจะตรวจสอบเทคนิตว่า% โอกาสจะสูงไปได้อีกหรือเปล่า   จะลองลงคอร์ทฝึกฝนกันหลังไ  มล์กับผมก็ได้สัก 1-2 เดือนอาจจะทำให้คุณ มีกำลังใจที่จะเดินทางต่ออีกสัก5-6 ปี จากคุณ : keeta2 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 20:19:01

ความคิดเห็นที่ 18 วิจัยเทคนิคอาจไม่ชัวร์ วิจัยเจ้ามือดีกว่าครับ ถ้าวิจัยออกกำไรชัวร์ จากคุณ : red_devil เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 20:53:38

ความคิดเห็นที่ 19 ทำการวิจัยยังไงครับ 5 ปี มี paper ให้อ่านมั้ยครับ ถ้ามีขอหลังไมค์ด้วยครับ ขอบคุณครับ ป.ล. ถ้ามีสูตรที่กำไร 60% จริง ผมว่าใช้ได้นะ ได้กำไรแน่ๆ จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 21:12:32

ความคิดเห็นที่ 20 มีรายละเอียดเพิ่มเติมมั้นอ่าครับ แต่พูดถึงว่าถ้ามันถูกแค่ 60% จริงมันก็ยังโอเคนะครับ ส่วนต่างระหว่างถูกผิด 20% ตัวที่ถูกปล่อยให้วิ่ง ตัวผิดขายทิ้ง พอร์ตไม่ขี้เหร่เลยนะผมว่า อิอิ จากคุณ : BiX-WiZ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 21:45:58

ความคิดเห็นที่ 21 ลึกซึ้ง!!! จากคุณ : โอริสา อามิ** เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 23:05:31

ความคิดเห็นที่ 22 มีคนถามว่าทำวิจัยยังไง คำตอบก็คือนั่งทดสอบ ทดลอง และค้นคว้าอ่านหนังสือนะครับ paper ที่เป็นรูปเล่มคงยังไม่มี แต่มีไฟล์ excel ที่นั่งทดสอบมากกว่าร้อยไฟล์ แต่ถ้าสนใจจริงๆ บทวิจัยพวกนี้มีคนทำออกมาแล้วหลายฉบับ ลองอ่านจากหนังสือของต่างประเทศ หรือ google ก็น่าจะเจอนะครับ สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อแบบสั้นๆง่าย โดยไม่อยากจะร่ายยาวเป็นหน้า คือผมอยากจะสรุป และเตือนคนที่มี indicator ต่างๆที่เป็น Holy Grail ของตัวเองและมั่นใจในระบบของตัวเองมากๆว่า อย่าทุ่มสุดตัวในครั้งๆเดียว (โดยเฉพาะการใช้ leverage จากสัญญาอนุพันธ์มากๆ) เพราะว่าคุณจะมีโอกาสพลาดได้เสมอไม่ต่างอะไรจากแทงหัวก้อยจริงๆ ถ้าคุณทุ่มเกินไปมันจะทำให้คุณหมดตัว ถ้าไม่เชื่อคุณลองจดสถิติในการเข้าออกของคุณทั้งหมด 50 ครั้งหลังสุด แล้วคุณจะพบว่าสัดส่วนแต่ละครั้งที่คุณชนะต่อสัดส่วนครั้งที่คุณแพ้จะไม่เกิน 60:40 (ยกเว้นคุณจะเทรดระยะยาวจนไม่เคยเข้าออกเลย คุณก็จะไม่สามารถจดสถิติได้ และถ้าคุณทำอย่างนั้นจริง ก็ไม่ถือเป็นวิธี technical analysis เพราะวิธีนี้จะต้องเข้าออกตามสัญญาณ) วิธีแก้ปัญหา: 1. เลิกใช้ Technical analysis และลงทุนในระยะยาวโดยใช้ปัจจัยพื้นฐานแทน ซึ่งในที่สุดแล้วหุ้นที่พื้นฐานที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนราคาของมันเอง 2. ใช้ Technical analysis ต่อไปโดยเข้าใจว่าครั้งที่ชนะ = ครั้งที่แพ้ เพราะฉะนั้นต้องทำให้ครั้งที่ชนะมีขนาดมากกว่าครั้งที่แพ้ ซึ่งคือการ cut loss และ let profit run เท่านั้น ถึงจะประสบความสำเร็จในระยะยาว ตัวอย่าง: ที่จริงแล้ว technical analysis system ของผมทีใช้อยู่ มีความแม่นยำ 50% เท่านั้น (ใช่แล้วมันคือการโยนหัวก้อย) แต่ปีที่ผ่านมาได้ผลตอบแทน 120% ..ทำไมถึงเป็นไปได้คำตอบก็ได้กล่าวไปแล้วครั้งบนครับ มีคำถาม? ถ้าอยากให้ช่วยแชร์ข้อมูลอะไร หรือมีข้อสงสัยสามารถส่งมาถามหลังไมค์ได้ครับ ขอโทษนะครับถ้าข้อมูลของผมจะมีคนไม่เห็นด้วย... ตามหัวข้อครับ ผมขออนุญาตแชร์ความรู้เฉยๆ ไม่ได้ต้องการอะไร ผมติดตามห้องนี้มานานแค่อยากจะทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นกับเค้าบ้าง  :) จากคุณ : random walk เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 00:31:41

ความคิดเห็นที่ 23 คุณพอจะเอารูปตัวอย่าง Technical Analysis System ของคุณที่ใช้อยู่ ที่บอกว่า มีความแม่นยำ 50% มาลงให้ดู โดยทำคล้าย ๆ กับรูปใน คห.11 ของผม โดยให้มี Excel แนบคู่กันด้วย พอจะทำได้ไหมครับ ถ้าหากไม่ได้ขอข้อมูลที่เป็นรูปเพื่อยืนยันความเข้าใจความคิดของคุณหน่อยได้ไหมครับ ปล. ยินดีที่คุณต้องการจะทำตัวให้มีประโยชน์นะครับ แต่ข้อมูลมันมีแต่ตัวอักษร มันอธิบายความเข้าใจของเพื่อน ๆ ที่สนใจได้น้อยมากครับ ยังไงช่วยเพิ่มความกระจ่างทีครับ (อย่าท้อละ หากต้องการทำตัวเป็นประโยชน์ ขอบคุณครับ) จากคุณ : mspaint เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 01:00:02

ความคิดเห็นที่ 24 คุณเชื่อไหมว่า พวกลูกค้าที่ติดอยู่ราคาสูงๆ ตลอด 10 -20 ปีมานี้ หรือกลายเป็นคนถือยาวๆ ก็เพราะว่าเชื่อปัจจัยพื้นฐานกันนะแหละ... การใช้ เทคนิคเคิลที่ดี มันคือ การหาจังหวะ ให้เราก่อนมันจะเหลือแต่ใบหุ้นไว้ดูต่างหน้า..   ไม่เถียงเรื่องสถิติ ... แต่ยังยืนยันว่า แม้แต่กองทุนก็ ซื้อขายด้วย เทคนิคเคลเหมือนกัน..และ เค้าคงไม่คิดว่ามันเชื่อได้แค่ 50% หรอก ไม่งั้นป่านนี้ เจ้งกันหมดอ่ะ...  การคำนวญพื้นฐานในอนาคต มันก็เดาๆ นะ ไม่ใช่จะชัว  เวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน... เคยมีรุ่นพี่ที่ดูกองทุนไม่เชื่อเรื่องเทคนิคเคลเลย... port performance สู้คนอื่นๆไม่ได้ .... ลาออกไปแล้วอ่ะ.. จากคุณ : ck. (TFEX marketing) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 01:40:40

ความคิดเห็นที่ 25 วิธีการใช้ Technical  ถ้าทำให้เห็นภาพง่ายๆ เปลียบกับเล่นเท่นนิส  ถ้าบอล(ราคา) มาลักษณะนั้น เราต้องวางเท้า,หน้าไม้,ข้อมือ(เหล่านี้คือindi.) รับหรือตีโต้ ลักษณะไหน ราคาหรือกราฟเช่นกัน  ถ้าใครบอกว่ามีสูตรสำเร็จ( ตีเทนนิส ด้วยท่าเดียวไม่เปลี่ยนหน้าไม้,บิดช้อบ้าง ฯลฯ) เป็นแค่ขำๆ  ขาดทุนเมื่อไร ก็โทษแพะ  ว่าไม่มีบุญ  ต้องไปทำบุญ  ทั้งๆที่  ตัวเองขาดทักษะ   ถ้าเพียงรูปใน คห.11   แล้วบอกว่านี้คือทั้งหมด  ผลก็ไม่เกิน 50-60% เท่านั้น จากคุณ : keeta2 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 08:33:43

ความคิดเห็นที่ 26 ผมอาจจะเข้าใจอย่างทื่อๆไปเองอย่างที่คุณ mspaint ว่าก็ได้ครับ แต่การลงทุนทางเทคนิคแบบที่ผมเข้าใจแบบชาวบ้านๆก็คือ นอกจากใช้ indy แล้ว มันก็ขึ้นการเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ด้วย ช่วงที่ขึ้นลงชัดก็ใช้ไป พอช่วงเปลี่ยนเป็น sideway ซึ่งคุณไม่มีทางรู้จนกว่ามันจะเกิดแล้ว นี่แหละ ที่indy ตัวเดิมที่ใช้มันจะผิดพลาด ทำเอาขาดทุนได้ ซึ่งคนที่ใช้ไปสักพักจะรู้ว่าช่วงไหนต้องเปลี่ยนไปใช้อะไร ซึ่งผมก็บอกได้แค่ว่า มันต้องยืดหยุ่นในการใช้งาน บางครั้ง มันก็เป็นเซนต์ ของนักลงทุนด้วยเหมือนกัน นักลงทุน ใช้TA เหมือนกัน3คน แต่คนนึงชนะมากกว่าแพ้ คนนึงชนะเท่ากับแพ้ อีกคนแพ้มากกว่าชนะ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่ว่าใช้TA แล้วก็แปลว่าจะประสพความสำเร็จเสมอไป มันต้องอาศัยไหวพริบของผู้ใช้ด้วย. . "TA ก็เหมือนเข็มทิศ ถ้าเราให้มันนำด้วยวิธี ตาจ้องแต่เข็มแล้วเดิน คุณคงตกท่อก่อนจะถึงถนนใหญ่" . ต้องขอขอบคุณ จกท สำหรับเนื้อหาดีๆที่นำมาเผื่อแผ่และรับฟังความเห็นที่แตกต่าง อันที่จริง อ่าน คหที่22 ก็เข้าใจได้ชัดเจนดีครับ และต้องขอขอบคุณ ท่าน mspaint ที่ช่วยแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง จากคุณ : Wai-ta-min เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 08:47:50

ความคิดเห็นที่ 27 ขออนุญาต แชร์ บางข้อมูล ผมไม่เคยถึงขั้น วิจัยนะ แต่เคยทำข้อมูลวิเคราะห์ ซึ่งการทำข้อมูลตรงนั้น "ใช้เพียง 1 เครื่องมือทางเทคนิค" หรือถ้าเป็น indy ก็ 1 ตัว และ ผลสรุปก็ออกมาอยู่ในด้านบวกถ้าเปรียบมาเป็น % ก็พอๆ กับ จขกท. แต่ถ้าหากเข้าใจไม่ผิด "นักเทคนิคที่สำเร็จ" ไม่ได้ใช้เครื่องมือตัวเดียว และเชื่อ จะไม่ใช้เครื่องที่ทับซ้อนกัน นั่นทำให้ % ความแม่นยำเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ในตอนทดลองต้องทดลองกับหุ้น 1 ตัว แต่ในการเทรดจริงเชื่อว่านักเทคนิค จะมอง set ควบคู่ไปด้วย อีกประการ นักเทคนิค คงไม่เลือกจมกับหุ้นตัวเดียว แต่เชื่อว่าเลือกหุ้นที่มีสัญญาณชัดที่สุดต่างหาก นั่นทำให้นักเทคนิคหลีกเลี่ยงหุ้น ที่มัน side way ตรงนี้ก็เพิ่ม % ความถูกต้อง ทั้งนี้ ไม่ได้จะแย้ง ท่าน จขกท. เพราะผมก็ไม่ใช่เซียนเทคนิค แต่อยากเห็น ขอบเขตและตัวแปรการวิจัย จริงๆ ครับ จากคุณ : Untrue เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 09:32:12

ความคิดเห็นที่ 28 เขียนเสร็จเพิ่งเห็นบทสรุป คห 22 เป็นอันว่าเข้าใจและเห็นด้วยครับ จากคุณ : Untrue เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 09:35:14

ความคิดเห็นที่ 29 กระทู้นี้ เรียกเซียนออกมาได้เพียบเลย ฮา ๆๆๆๆๆๆๆ    เยี่ยมมมมมมมมม.......... จากคุณ : khunphookhao เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 10:28:06

ความคิดเห็นที่ 30 ชอบความเห็นของทุกท่าน ตั้งแต่ คห.24 ลงมา สุดท้ายขอจบที่ว่า " สองคนยลตามช่อง ................................" ละกันนะครับ จากคุณ : mspaint เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 11:49:33

ความคิดเห็นที่ 31 สอบถามคุณ moneymaker เรื่อง risk & reward หน่อยซิครับ ทื่ว่าสัดส่วนควรจะเป็น 1:3 ถึงจะน่าสนใจ ผมเข้าใจว่าในฝั่ง risk คือดูจุดstop loss แต่ฝั่งreward เนี่ยเราควรต้องดูจากตรงไหนว่ามันจะได้ในสัดส่วนเท่าไหร่ ขอบคุณที่แชร์คำตอบนะครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (FMBAY) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 14:39:01

ความคิดเห็นที่ 32 ถูก 60% ผิด 40% นี่ผมถือว่าใช้ได้แล้วนะครับ เพราะถ้าเล่นระยะยาวแบบทื่อๆ ก็คือกำไรแน่ๆ (ลองคิดถึงเหรียญที่เบี้ยวๆ ออกหัว 6 ออกก้อย 4 ถ้าเราทายข้างหัวไปเรื่อยๆ ก็จะกำไร) ยิ่งถ้ามีการทำ money management ด้วยก็ยิ่งดีขึ้นครับ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 54 06:14:15

ความคิดเห็นที่ 33 เรียนคุณ FMBAY ก็ใช้ TA นั่นล่ะครับ เช่น Trend line, Pattern, Fibonacci, ฯลฯ ซึ่งก็แล้วแต่สถานการณ์ กับลักษณะของกราฟกันไปครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น กราฟที่กำลังทำ pattern ที่เรามองแล้ว มีโอกาส เป็น Inverted Head&Shoulder มันก็จะมีเป้าหมาย คือ เด้งขึ้นไปเพื่อทำแขนอีกข้าง เมื่อเบรก neck line ไปได้ พร้อม volume หรือ อีกตัวอย่าง คือหุ้นที่กำลังทำ pattern เป็น สามเหลี่ยม ถ้าเบรกกรอบไปได้ พร้อม volume ก็มีเป้าหมาย คือ เท่ากับ ขนาดฐานของสามเหลี่ยมครับ จากคุณ : moneymaker เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:59:11