ความคิดเห็นที่ 1 เก็บ ktc ไว้ เพราะฟรีค่าธรรมเนียมตลอดชีพและคอลเซ็นเตอร์รับสายเร็วด้วย ให้บริการดี ยกเลิกกสิกรไทย คอลเซ็นเตอร์ห่วยมาก รับสายช้า แถมต้องรูดสิบสองครั้ง ถึงจะไม่เสียค่าธรรมเนียม จากคุณ : to contineus in english เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 02:42:47

ความคิดเห็นที่ 2 ยกเลิกดีมากแล้วครับ คนไทยไม่เคยรู้เลยว่าสถาบันการเงินจะกำหนดรหัสสำหรับผู้ที่ถือบัตรเครดิตเยอะๆใบ ว่า "เป็นลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง" ความเสี่ยงจะสูงเพิ่มขึ้นตามจำนวนบัตรที่ถือครับ นี่คือเรื่องจริง แต่เจ้าของบัตรเวลาให้เซลส์โทรมาจูงใจให้สมัคร กลับไม่เคยบอก "ผลข้างเคียง" ของการถือบัตรหลายใบเลย เวลาผมอ่านกระทู้สีลมหรือสินธรแล้วเสียวสุดๆแทนทุกครั้ง ที่เห็นเพื่อนๆรู้สึกภูมิใจมากเวลาได้บอกว่าตัวเองมีบัตรเครดิตเป็นสิบใบ มีของอะไรบ้าง แล้วร่ายยาวมาเลย พวกเขาไม่รู้จริงๆว่ามันอันตรายมากๆ จากการที่คะแนนเครดิตเราจะลดต่ำลงทันที ถ้าไม่เชื่อผม ให้ไปถามเพื่อนที่อยู่ธนาคารฝ่ายสินเชื่อดูเลยครับ ผมทำงานกับธนาคาร  เขายืนยันกับผมแบบนี้ทุกที่แหละครับ แต่...เขาไม่เคยบอกกับประชาชน ส่วนจะเลือกเก็บบัตรใบไหนไว้นั้นต้องดู "ผลประโยชน์ที่ได้รับ" ที่ตรงกับชีวิตของเราที่สุดครับ ถ้าคุณอยากกู้ซื้อบ้านในปีหน้า  ต้องเก็บบัตรที่มียอดชำระเต็มวงเงินและตรงเวลาทุกงวดเป็นเวลา 12 เดือน อย่าเก็บบัตรที่ไม่เคยได้ใช้ไว้  เพราะเท่ากับว่า "คุณไม่มีประวัติชำระหนี้(credit history)" ถ้าไม่คิดจะกู้อะไรเลย แต่เป็นคนช็อปปิ้งกระจาย  ก็เอาแบบ cash back ประมาณนั้นครับ อนุโมทนาสาธุที่คุณจขกท.จะปิดบัตรให้เหลือใบเดียว  คุณทำถูกต้องที่สุดแล้วครับ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 04:23:57

ความคิดเห็นที่ 3 ^ ^ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ถ้าไม่ต้องการสินเชื่อ ไม่ต้องการกู้เงิน ไม่เคยชำระผิดเวลา ชำระเต็มวงเงินตลอด การถือบัตรเครดิตหลายใบไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่หลังๆขอบัตรเครดิตทีไรก็เห็นให้วงเงินสูงขึ้นทุกที ถ้าคะแนนเครดิตไม่ดีเค้าจะอนุมัติบัตรและวงเงินเพิ่มทำไม ............. สำหรับคุณ จขกท.  เก็บเบอร์ 3 บัตร KTC ไว้ใบเดียวค่ะ ถ้ามียอดค่าใช้จ่ายมากกว่า 90000 บาทต่อปี สมัครบัตร Firstchoice ไว้อีกใบก็ไม่เลวค่ะ เพราะมี cash back ตลอด เลย 2% 5% แล้วแต่ช่วง จากคุณ : I Promise เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 06:46:27

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบนะครับ ความคิดเห็นที่ 3     ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ถ้าไม่ต้องการสินเชื่อ ไม่ต้องการกู้เงิน ไม่เคยชำระผิดเวลา ชำระเต็มวงเงินตลอด การถือบัตรเครดิตหลายใบไม่น่าจะเสียหายอะไร ^ ^ นี่คืออีก 1 ความเข้าใจผิดมหันต์ เพราะพวกเรา "ขาดความรู้ที่ถูกต้อง" ครับ (เพราะสื่อมวลชนก็ไม่เคยสอน และธนาคารก็ไม่เคยให้ความรู้) ต่อให้คุณชำระเต็มวงเงินตลอด คุณจะถูกจัดอยู่ใน "ลูกหนี้มีนิสัยการจับจ่ายสูง" ครับ ยิ่งพวกรูดเต็มวงเงินแล้วชำระตรงเวลา ยิ่งหนัก  บัตรเครดิตไม่ควรใช้จ่ายเกิน 30-50% ของวงเงินครับ เรียกว่าโดน 2 เด้งเลย ทั้งการมีบัตรเยอะ=ลูกหนี้ที่มีโอกาสก่อหนี้สูง กับ การรูดบัตรเต็มวงเงิน แต่เรากระหยิ่มใจว่าเรามีเงินชำระเต็ม = ลูกหนี้ที่มีนิสัยใช้จ่ายสูง (ผมจำศัพท์ภาษาอังกฤษทั้ง 2 คำไม่ได้  มันจะมีศัพท์ในวงการธนาคารเรียกกันเลยครับ) แต่หลังๆขอบัตรเครดิตทีไรก็เห็นให้วงเงินสูงขึ้นทุกที ถ้าคะแนนเครดิตไม่ดีเค้าจะอนุมัติบัตรและวงเงินเพิ่มทำไม จากคุณ : I Promise   ^^ พวกเราคนไทยคิดว่า "การได้รับอนุมัติบัตรเครดิตเพิ่ม" กับการ "ขอสินเชื่อบ้านหรือ SME หรือ OD" คือเรื่องเดียวกัน แต่ความจริงคือมันคนละหลักการสิ้นเชิงครับ ระเบียบการอนุมัติ และการคำนวณความเสี่ยงต่างกันฟ้ากับเหว   คนที่ได้รับอนุมัติบัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ยิ่งเยอะรายการมากเท่าไหร่(เช่นเจ้าของคำถามนี้) แปลว่า 1. ในประวัติเครดิตของคุณ ปรากฏว่า "มีหนี้สินหลายตัว" ครับ สถาบันการเงินจะรู้เลยว่าคุณต้องหมุนเงิน  และเขาต้องการดอกเบี้ยสูงๆจากลูกหนี้ที่หมุนเงินแบบนี้ที่สุด กับ... 2. คนที่มีบัตรเครดิตอยู่ 1-2 ใบ และจ่ายเต็มวงเงินตรงเวลา ที่ได้รับการอนุมัติบัตรเพิ่มอย่างง่ายๆก็เพราะคุณคือ dead beat-ลูกหนี้ไร้ค่า ในสายตาของเขาแล้วเขาไม่ได้ดอกเบี้ยจากการใช้บัตรของคุณ เขาจึงต้องเสนอบัตรให้คุณเพิ่มอีกมากๆ ทั้งนี้ก็กระตุ้นให้คุณมีวงเงินเพิ่มในการใช้จ่ายมาก ระบบ "หมุนเงินจากบัตรโน้นมาโปะบัตรนี้" จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นครับ แล้วเขาจึงจะได้ดอกเบี้ยจากการหมุนเงินไม่ทันของคุณ *นี่คือความไม่รู้ไม่เข้าใจของลูกหนี้บัตรของไทย โดยที่สถาบันการเงินก็ไม่เคยให้ความรู้พวกนี้เลย เพราะ "ตราบใดที่เรายังโง่อยู่ เขาก็จะได้ผลประโยชน์จากเรานานขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น" แก้ไขเพิ่ม font แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 08:25:26 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 08:22:21 จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 08:17:54

ความคิดเห็นที่ 5 เพิ่มเติมจากข้างบน "ผู้มีหนี้สินหลายตัว" ไม่ได้หมายถึงเรามีหนี้สินล้นพ้นตัวเลยแม้แต่น้อย แค่เราสมัครบัตรไว้หลายรายการ ธนาคารจะประทับตราเราเป็นหนี้ไปแล้ว เพราะบัตรพลาสติก = เรายืมเงินอนาคตจากสถาบันการเงินมาใช้ หลักสุขภาพหนี้ที่ดี คือเราห้ามมีหนี้เกิน 4 ตัว  4 ตัวนี่แม็กซิมั่มสุดๆแล้ว ยกตย. คนมีบ้านต้องผ่อน 1 หลัง ไม่มีหนี้รถ แต่มีบัตรเครดิต 7 ใบ ใช้จริง 1 ใบ อีก 6 ใบเราไม่ได้แตะมันเลย เราดีใจว่าเราเป็นผู้มีประวัติเครดิตดีใช่ไหมครับ   ผิดครับ! ในประวัติเครดิตของเราจะแสดงสถานะเลยว่าเราเป็นผู้มีหนี้สิน 7 รายการ!!! ทั้งที่อีก 6 บัตรเราไมได้ใช้เลยน่ะแหละ ตรงนี้แหละที่เป็นความจริงอันโหดร้ายยิ่ง ที่ธนาคารไม่เคยบอกเราเลย จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 08:40:12

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณข้อมูลจากคุณผึ้งน้อยฯครับ จากคุณ : phahurat เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 09:17:35

ความคิดเห็นที่ 7 มี KTC มานานแล้ว พอใจกับบริการและโปรโมชั่น (เอาแต้มไปซื้อกับข้าวได้ เอาไปแลกเป็นเงินเติมบัตรรถใต้ดิน และ อื่นๆ) ถืออีกใบ เป็นของห้าง เอาไว้ซื้อของ แค่นี้พอแล้วค่ะ จากคุณ : ใบโหระพา เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 10:19:53

ความคิดเห็นที่ 8 มองต่างมุมนะครับ  ผมว่ามันแล้วแต่ Lifestyle ของแต่ละคน ถ้าคนใช้บัตรเป็น ก็โอเคพอควร ส่วนลดต่างๆเยอะพอควร แต่ต้องมีวินัยในการใช้บัตร สำหรับผมพวก สินเชื่อเงินสด บัตรเงินสด ขอ OD รวมทั้งสินเชื่อต่างๆ จากธนาคารไม่เคยต้องการเลย คะแนนเครดิตจากธนาคารผมเลยไม่ค่อยสนเท่าไร   เช่น ตีกอล์ฟใช้บัตร 1000  เงินสด 1800 เป็นท่านเลือกจ่ายเงินสดเปล่า ???? สำหรับ จขกท ถ้า 4 ใบนี้ ผมเลือก KBANK กับ KTC แต่อย่างที่บอกต้องดู Lifestyle ของตัวเองเป็นหลักด้วยนะครับ จากคุณ : Toey_Playboy เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 10:36:05

ความคิดเห็นที่ 9 ทำให้ผมต้องคิดมากขึ้นเลย แต่ได้แง่คิดหลายอย่างดีนะครับ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากเลย ได้ความรู้เยอะขึ้นด้วย ผมจะค่อยตัดออกทีละใบ ตอนนี้พอคิดออกแล้วว่าใบแรกที่จะตัดคือ AIA เพราะใบนี้มีไว้จ่ายค่าประกันรายปีของ AIA ทำให้สะดวกมาก เพราะเค้าไม่ยอมให้จ่ายด้วยบัตรอื่น(บังคับกันสุดๆ) เลยต้องทำบัตรเค้าไว้จ่ายประกัน แต่บังเอิญว่าเพิ่งไปปิดกรมธรรม์มา ก็เลยไม่มีเหตุต้องใช้อะไร นอกจากมีโปรอะไรน่าสนใจส่งมาบ้าง(พวกซื้อของ ทานอาหาร หรือใช้บริการต่างๆ) แต่ก็ไม่เป็นไร ตัดทิ้งได้ ตอนนี้เอาคะแนนที่สะสมไว้สั่งแลกเป็นเงินกลับคืนมาได้ 2 ร้อยเจ็ดสิบกว่าบาท คงเข้ารอบบัญชีหน้า บัตรนี้พักหลังไม่ค่อยได้ใช้เลยกะว่าต้องใช้หน่อยเพื่อให้เกิดเงินในบัญชีจะได้หักลบกับเงินแลกคืนจากคะแนน AIA จึงเป็นบัตรแรกที่ตัดออกได้ง่ายสุด ส่วนบัตรอื่นๆ KTC วงเงินน้อยกว่า KBank ครึ่งนึง และให้ Cash Back 0.4% แต่บัตร KBank ให้ 0.5% และซื้อของ Super เติมน้ำมันหรือทานอาหารให้ 1% ถ้าเลือกออก 1 ใบ(ถึงแม้เสียดายเรื่องโปรโมชั่นต่างๆอยู่บ้าง แต่แนวโน้มว่าเอนเอียงไปทางชอบบัตร KBank มากกว่า) ที่สำคัญผมใช้บัญชี KBank เป็นบัญชีหลักด้วย บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ใช้ในการจ่ายเงินซื้อและรับเงินคืนจากกองทุนต่างๆ และซื้อขายหุ้นก็ผ่าน KBank และมันใช้แทนบัตร ATM ของ KBank ด้วยคือ 2 in 1 เพราะผมไม่ได้ใช้บัตร ATM แต่ใช้บัตรเครดิตแทนเลย (เหมือนจะมีแววตัด AIA ออกเป็นบัตรแรก ตามด้วย KTC) Central Card ดูเหมือนเป็นบัตรเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ เกรดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในสายตาคนทั่วไป แต่มันซื้อของต่างประเทศให้เงินคืน 1% ซื้อของ Tops Super ให้เงินคืน 2% และมีคะแนนสะสมที่วันดีคืนดีเอามาแลกเป็นส่วนลดสินค้าในเซ็นทรัล(ซึ่งผมเดินค่อนข้างบ่อยเพราะสะดวก ใกล้บ้าน)ได้ถึง 10-15%(เพิ่มจากส่วนลดปกติ) อีกครั้งมันรับจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้านอะไรเอามาจ่ายได้หมด(ตัดอัตโนมัติ) สะสมคะแนนได้ด้วย แถมยังให้เงินคืนในการจ่ายค่าน้ำค่าไฟทุกเดือนเลย(จำไม่ได้ว่ากี่%) เลยเป็นบัตรที่ถูกมองข้าม แต่ผมประหยัดได้มากกับบัตรนี้ (นี่มังที่เพื่อนๆแนะนำว่าให้ดู Life Style ซึ่งพอมองดู บัตร Central นี่ก็ Life Style ผมอยู่นะ) ตอนนี้คิดว่า เหลือ 2 ใบหลังสุดไว้ก่อนน่าจะดี คือ KBank Titanium(ATM ในตัว) กับ Central Card (ผมใช้ซื้อของจาก ebay ได้คืน 1% ด้วย) ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความคิดเห็นของทุกคนนะครับ ช่วยให้ผมคิดอะไรได้เยอะเลย จากคุณ : HyPeR MonKeY เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 11:28:55

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยยย ของสอบถามเพื่อความกระจ่างนิดหนึ่งครับ "หลักสุขภาพหนี้ที่ดี คือเราห้ามมีหนี้เกิน 4 ตัว  4 ตัวนี่แม็กซิมั่มสุดๆแล้ว" คือถ้าเราไม่มีหนี้อะไรเลย บัตรเครดิตก็ควรมีแค่อย่างมากสุด 4 ใบใช่ไหมครับ แต่ถ้ามีหนี้ก้อนหนึ่ง ก็ควรมีบัตรเครดิต 3 ใบใช่ไหมครับ งั้นถ้าผ่อนบ้านผ่อนรถ ก็มีควรมีบัตรดิตแค่  2 ใบ ดีเลยครับจะได้ใช้เป็นหลักในการทำบัตรเครดิต ขอมูลเหล่านี้เซลไม่เคยเรากัน ผมก็อยากปิดบัตรเครดิตอยู่เหมือนกัน จะได้ปิดตามจำนวนเพราะมีบ้างใบไม่ใช่อ่ะครับ ตอนแรกคิดว่าจะเก็บไว้ เพราะก็ใช้กันมานาน แต่ถ้ามีผลกระทบกับเราแบบนี้ก็ไม่รู้เก็บไว้ทำไมเหมือนกัน อาจส่งผลถึงหลายๆใบ จะได้ใช้เท่าทีจำเป็นครับ Central Card ถ้าใช้เยอะก็ดีครับ เพราะพี่ที่ทำงานเค้าสมัคร แล้วจะของเวฟ ไม่ได้ซะงั้นค่าธรรมเนียมแพงมากด้วย เค้าบอกว่าต้องมียอดการใช้งานถึงเท่านั้นถึงจะ เวฟ ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 12:23:44 จากคุณ : ninjathai เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 12:20:53

ความคิดเห็นที่ 11 เซ็ลทรัลเครดิตการ์ด ผมเพิ่งขอเวฟไปสองสามเดือนก่อนได้ครับ(เวฟครั้งแรก) ปกติใช้เยอะครับ อย่างน้อยก็ตัดค่าค่าไฟ ค่าน้ำ โทรศัพท์บ้าน และเน็ต ADSL หักบัตรนี้หมด และของกินบ้านผมส่วนนึงซื้อที่ Tops ก็เลยมียอดหมุนเวียนตลอดเลยครับผม แลดูคุ้มดี ผมเคยมีบัตรเงินสดด้วยครับ ปิดไปละเพราะไม่ได้ใช้แต่พนักงานขอให้ถือไว้ และผมรู้ว่ามันคือ 1 หนี้ครับ ก็เลยปิด และใครจะให้สมัครผมก็ไม่เอาหมดเลยครับ เอาไว้เฉพาะบัตรจำเป็นจริงๆเท่านั้น จากคุณ : HyPeR MonKeY เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 12:30:26

ความคิดเห็นที่ 12 เจ้าเซ็นทรัลเครดิตการ์ดนี่ ผมใช้บัตรทองอะครับ ถ้าเป็นพวก White Gold หรือแพลตตินั่มอะไรพวกนั้นจะแพงมาก ถือไม่ไหวอะครับ บัตรทองตอนนี้กลายเป็นบัตรเกือบล่างสุด ทำเกือบง่ายที่สุดไปแล้วละครับ เห็นส่งเอกสารมาชวนอัพเกรดหลายครั้งแล้วผมไม่เอาครับ สิทธิประโยชน์มากขึ้น จ่ายรายปีแพงขึ้นเลยครับ ไม่ไหวหรอก ผมไม่อยากมีค่าใช้จ่ายพวกนี้ ถ้าเวฟไม่ได้ ผมอาจจะต้องคำนวณสิ่งที่ได้ สิ่งที่เสีย หักลบแล้วคุ้มไหม ถ้าไม่คุ้มก็ไม่เอา แต่ตอนนี้คุ้มเลยครับ รายปีไม่เสียเพราะเวฟได้ครับ จากคุณ : HyPeR MonKeY เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 12:32:43

ความคิดเห็นที่ 13 คิดต่าง ผมกลับทำบัตรเพิ่ม ถ้าคิดว่าจะได้ใช้ แล้วได้ประโยชน์มากกว่าจ่ายเงินสด เช่น ในชีวิตประจำวัน ต้องเติมน้ำมันอยู่แล้ว ผมทำบัตรธนชาติ ลด 3.5 เปอร์เซ็นต์ทุกปั้ม  ซื้อของในโลตัสอยู่แล้ว ทำบัตรเทสโก้ ลด 2.5 เปอร์เซ็นต์  ซื้อของในแมคโคร ทำบัตรแม็คโครวีซ่า จะพกเงินสดไปทำไม  ใช้จ่ายอื่น ๆ ใช้ Family+ คืน 1 เปอร์เซ็นต์ทุกยอดใช้จ่าย ไม่มีกำหนดว่าต้องซื้อครบ 500 800  แฟร์ดี ส่วนบัตรอื่นที่มีส่วนลดไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่มีโปรอะไรเลย ก็ไม่รู้จะถือไปทำไม จากคุณ : ฉลาดหน้าตาดีมีเงินใช้ เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 13:27:09

ความคิดเห็นที่ 14 ผมสงสัยประเด็นของ คุณ ผึ้งน้อยพเนจร อ่ะครับ เพราะตอนผมทำบัตรใบแรกเนี่ยได้วงเงินต่ำเตี้ยมาก แค่ประมาณ 2 เท่าของเงินเดือน ใบต่อๆมาที่มำวงเงินที่แบงค์ให้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีอยู่ 4 สถาบันการเงิน กับบัตร 6 ใบ  ใบสุดท้ายที่ทำเนี่ยวงเงินเยอะสุด เกือบ 4 เท่าของเงินเดือน ถ้าเป็นอย่างที่คุณ ผึ้งน้อยพเนจร บอกจริงทำไมแบงค์ถึงให้วงเงินเยอะขึ้นทั้งๆที่มีความเสี่ยงล่ะครับ ปล.ช่วงที่ทำตั้งแต่ใบแรกถึงใบสุดท้ายประมาณปีกว่าๆ เงินเดือนก็ไม่ได้ต่างกันเยอะ ใช้แบบจ่ายเต็มวงเงินตลอดไม่เคยค้างหนี้ ------------- อ้อ เพิ่งอ่านเจอคำตอบใน คห. 4  ขอบคุณครับ พอเข้าใจมากขึ้น แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 13:50:23 จากคุณ : vacuum_car เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 13:42:02

ความคิดเห็นที่ 15 kbank กับ AIA เอาออกก่อนเลยครับ มีเงื่อนไขเยอะไม่ฟรีตลอดหรอก ช่วงที่ทำตั้งแต่ใบแรกถึงใบสุดท้ายประมาณปีกว่าๆ เงินเดือนก็ไม่ได้ต่างกันเยอะ ใช้แบบจ่ายเต็มวงเงินตลอดไม่เคยค้างหนี้ เงินเดือนเพิ่มวงเงินก็เพิ่มด้วยครับ จากคุณ : Pu121 เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 17:26:44

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 10     ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยยย ของสอบถามเพื่อความกระจ่างนิดหนึ่งครับ "หลักสุขภาพหนี้ที่ดี คือเราห้ามมีหนี้เกิน 4 ตัว  4 ตัวนี่แม็กซิมั่มสุดๆแล้ว" คือถ้าเราไม่มีหนี้อะไรเลย บัตรเครดิตก็ควรมีแค่อย่างมากสุด 4 ใบใช่ไหมครับ แต่ถ้ามีหนี้ก้อนหนึ่ง ก็ควรมีบัตรเครดิต 3 ใบใช่ไหมครับ งั้นถ้าผ่อนบ้านผ่อนรถ ก็มีควรมีบัตรดิตแค่  2 ใบ ดีเลยครับจะได้ใช้เป็นหลักในการทำบัตรเครดิต ขอมูลเหล่านี้เซลไม่เคยเรากัน จากคุณ : ninjathai   ^ ^ ถามมาแบบนี้ผมชื่นใจมากๆจริงๆครับ   ตอบนะครับ ในหลักข้อเท็จจริงต้องเป็น หนี้บ้าน 1 หนี้รถ 1 หนี้ธุรกิจ 1 (หรือหนี้การศึกษาก็ได้) หนี้บัตร 1 ถึงจะสุขภาพดีครับ  เนื่องจากเราต้องนับ "หนี้ดี VS หนี้เลว" ด้วย บัตรเครดิตกับรถยนต์ หลักการเงินถือว่าเป็น bad debts ครับ ไม่ควรมีเยอะ (เช่น ผ่อนรถทีเดียว 2 คัน หรือมีบัตร 4 ใบ เป็นต้น) เพราะมันไม่ใช่หนี้ที่สร้างรายได้หรือกำไร และไม่ใช่ทรัพย์สินเพิ่มค่า(valuable assets) ยิ่วบัตรเครดิตนี่ ยิ่งเป็นหนี้เลวโพดๆๆๆ ดังนั้น หากเราไม่มีหนี้อื่นใดเลย  แต่เรามีบัตรเครดิต ก็ไม่ควรมี 4 ใบ เพราะถือว่าเป็นหนี้ซ้ำซ้อนครับ แถมเป็น bad debt อีกตะหาก ความรู้เรื่องหนี้ห้ามเกิน 4 ตัวนี่ ผมได้รับความรู้มาจากผจก.ศูนย์ข้อมูลเครดิตบูโรโดยตรงเลยครับ คือคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผจก.คนปัจจุบัน  เขาสอนผมแบบนี้เองเลย ถ้าผู้บริหารที่คุมเรื่องประวัติเครดิตบูโรซึ่งคนไทยเรากลัวบ.นี้กันนัก เป็นคนพูดแบบนี้เอง (คุณสุรพลทำงานสายธนาคารมาก่อนและเป็นอจ.สอนเศรษฐศาสตร์และการเงินด้วยครับ) แสดงว่า..ข้อมูลต้องชัวร์แน่ๆ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 17:33:39 จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 17:31:32

ความคิดเห็นที่ 17 ขออนุญาตเพิ่มเพื่อเป็นประโยชน์กับคุณจขกท.และเพื่อนๆนะครับ เพราะผมไปค้นข้อมูลได้แล้ว ลูกหนี้มีความเสี่ยงสูง เรียกว่า High risk loan ครับ โดยวัดจาก Capacity-ความสามารถในการชำระหนี้ ตัว C-แคเพซิตี้นี้ เขาดูจาก "รายได้พอชำระหนี้ไหม"  กับ "มีโอกาสก่อหนี้เยอะไหม" การมีบัตรหลายใบ หรือหนี้หลายตัวมันเลยไปตัดทอน C ตัวนี้ ส่วนประวัติการชำระหนี้ดีหรือไม่ เป็นมาตรวัด C อีกตัว คือ Character ครับ ว่าลูกหนี้คนนี้มีนิสัยการเงินเป็นไง เบี้ยวบ่อยไหม หรือจ่ายหนี้ไม่คิดชีวิต การเป็นผู้ที่มีบัตรแล้วรูดเต็มแม็กซ์ลิมิตวงเงินตลอด (แม้จะจ่ายเงินครบและตรงก็ตาม) มันไปทำร้ายตัว C-แคแรคเตอร์นี้ครับ ความคิดเห็นที่ 6   ขอบคุณข้อมูลจากคุณผึ้งน้อยฯครับ จากคุณ : phahurat ^^ ยินดีมากๆครับ ผมเสียใจมากที่ทำไมแบงก์ไม่เคยบอกเรา หรือสื่อไม่เคยให้ความรู้เราเลย ตอนผมไปรู้เอาจากนักการเงิน หรือจากคนในแบงก์เอง..บอกตรงๆ ผมเคืองจริงๆครับ นี่เขาล่อให้เราไปโดดหน้าผาโดยไม่ให้คู่มือเอาชีวิตรอดมาเลยหรือนี่  ใจร้ายเฟ้ย! ปล.แก้พิมพ์ผิดเยอะคอด แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 17:40:28 จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 17:39:16

ความคิดเห็นที่ 18 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 22:51:59