ความคิดเห็นที่ 1 Sent: Friday, July 29, 2011 7:33 AM Subject: สหรัฐยังไร้สัญญาณแก้หนี้ฉุดดาวโจนส์ร่วง5วันติด ขณะที่เมื่อเวลา 6 โมงเช้าวันนี้ ครบกำหนดเวลาที่สภาส.ส.ของสหรัฐเตรียมจะลงมติรับร่างกม.หั่นรายจ่ายงบประมาณและปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐตามข้อเสนอ "โบห์เนอร์" แต่จนถึงขณะนี้ยังไร้สัญญาณที่ชัดเจนหลังจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สหรัฐเริ่มมาตั้งแต่เวลา 20.00 น.ตามเวลาบ้านเราวานนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปิดไร้ทิศทาง โดยดาวโจนส์ร่วงต่อเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่หุ้นยุโรปก็มีทิศทางที่ไม่ชัดเจนเช่นกันจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อวิกฤติหนี้ที่ยังไม่บรรเทาลดลง ขณะที่ราคาทองทรงตัวแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าที่ 1,615 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังร่วงลงถึง 1,605 ดอลลาร์ในช่วงต้นชั่วโมงเทรด ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (28 ก.ค.) ปรับตัวลง 59.64 จุด หรือ 0.48% มาอยู่ที่ 12,242.91 จุด ร่วงต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ท่ามกลางความกังวลเรื่องปัญหาเพดานหนี้ที่เกาะติดตลาดอยู่ ขณะดัชนีเอส แอนด์ พี 500 ลดลง 4.00 จุด หรือ 0.31% มาอยู่ที่ 1,300.89 จุด ส่วนดัชนีแนสแด็ก ขยับขึ้นเล็กน้อย 1.57 จุด ที่ 2,766.36 จุด ส่วนทางด้าน 3 ตลาดหุ้นหลักของยุโรป มีการเคลื่อนไหวทั้งบวกและลบ โดย FT100 ลอนดอนปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย 0.28% ขณะที่CAC40 ฝรั่งเศสปรับลดลง 0.57% เช่นเดียวกับ DAX เยอรมันดิ่งลง 0.86% ทั้งนี้ การเผชิญหน้าเรื่องเพิ่มเพดานหนี้ ที่ยังไร้สัญญาณถึงทางออก ยังกดดันบรรยากาศการซื้อขายอยู่ ซึ่งแม้ตลอดทั้งวัน ตลาดจะเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก แต่เจอกับแรงเทขายในช่วงท้ายการซื้อขาย หลังแฮร์รี รีด แกนนำวุฒิสภา ออกมาระบุว่า ส.ว.เดโมแครตซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาสูง จะปฏิเสธแผนลดการใช้จ่าย ของสภาล่าง ที่มีรีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ การจับตามองสถานการณ์เพดานหนี้ เพื่อหาสัญญาณถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐ ยังเป็นแรงกดดันให้ราคาน้ำมันแทบไม่มีการเคลื่อนไหว ราคาน้ำมันดิบไลท์ สวีท ส่งมอบล่วงหน้าเดือน ก.ย. ที่ตลาดไนเม็กซ์ สหรัฐ ปิดซื้อขายปรับขึ้น 4 เซนต์ มาอยู่ที่ 97.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ส่งมอบล่วงหน้าเดือนเดียวกัน ที่ตลาดลอนดอน อังกฤษ ลดลง 7 เซนต์ ที่ 117.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส.ว.เดโมแครตต้านร่างกม.ตัดค่าใช้จ่ายมหาศาล ส.ว.เดโมแครตทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า พวกเขาไม่สนับสนุนร่างกฎหมายที่นำไปสู่การตัดค่าใช้จ่ายมหาศาล สมาชิกพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐ ได้แจ้งต่อบรรดาสมาชิกรีพับลีกัน ที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรว่า ไม่มีทางที่พวกเขาจะสนับสนุนมาตรการเพิ่มเพดานหนี้ของฝ่ายรีพับลีกัน ที่กำลังจะมีการโหวตกันในสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิกของเดโมแครตทุกคน และวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 คน ได้ลงนามในจดหมายที่มีไปถึงนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้คำมั่นว่าจะต่อต้านมาตรการของฝ่ายรีพับลีกัน เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้รัฐบาลเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ในปีหน้า และยังต้องตัดโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการด้านการรักษาพยาบาลลงด้วย จดหมายถูกส่งถึงนายโบห์เนอร์ ก่อนหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร จะโหวตร่างกฎหมายที่เขาเป็นผู้เสนอ ซึ่งจะตัดลดงบประมาณรายจ่ายมากกว่า 9 แสนล้านดอลล่าร์ ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งนายโบห์เนอร์ ได้ตั้งความหวังว่า วุฒิสภาจะเห็นชอบก่อนจะถึงเส้นตายในวันที่ 2 ส.ค.ที่สองฝ่ายจะต้องบรรลุข้อตกลงร่วมกัน เพื่อไม่ให้สหรัฐต้องผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรใน ประวัติศาสตร์ อันจะนำไปสู่การถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงด้วย แต่ในจดหมายได้บ่งชี้ว่า แผนของนายโบห์เนอร์ จะไม่ผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภา โธมัส มานน์ นักวิเคราะห์จากสถาบันบรู้คลิน ซึ่งเป็นองค์กรอิสระด้านนโยบายสาธารณะ มองว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ ของนายโบห์เนอร์ จะพลอยสั่นคลอนไปด้วย ถ้าเขากระทำการใดๆ อันเป็นการต่อต้านความต้องการของคนในพรรคตัวเอง และที่ผ่านมา เขาก็ประสบกับความล้มเหลวในการสร้างความปรองดองระหว่างพวกหัวอนุรักษ์ในพรรครีพับลีกันและกลุ่มที ปาร์ตี้ ซึ่งมีคนในกลุ่มที ปาร์ตี้ ที่กำลังทรงอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสดงจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่สนับสนุน นายโบห์เนอร์ ด้านผู้สูงอายุชาวอเมริกัน พากันแสดงความวิตกเรื่องมาตรการตัดลบงบประมาณว่า จะนำไปสู่การตัดถูกผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น สวัสดิการสังคม , การรักษาพยาบาลทางการแพทย์ และโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาล และยังกลัวด้วยว่า ถ้ารัฐบาลนัดชำระหนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินออมของพวกเขา "Plan B"โอบามา หากสภาตกลงเรื่องเพดานหนี้ไม่ได้ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มานี้ที่ตลาดหุ้นทั่วปรับตัวลดลง โดยดเฉพาะวันพุธที่ผ่านมา ตลาดหุ้นหลายแห่งในเอเชียปรับตัวลดลง 1 ถึง 1.6% ในวันนี้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในยุโรปและสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวาน เพราะนักลงทุนต่างวิตกต่อสัญญาณที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลพรรคเดโมแครตขอ จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:46:26

ความคิดเห็นที่ 2 *นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้น สวนทิศทางตลาด           หุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่อ่อนตัวลง จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจของไทยที่แข็งแกร่ง           และผลประกอบการไตรมาส 2/54 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)มีแนวโน้มที่ดี            *ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบเป็นส่วนใหญ่ในวันพฤหัสบดี โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์           และดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง แต่ดัชนี Nasdaq ขยับขึ้น ขณะที่นักลงทุนไม่แน่ใจ           ว่าการโหวตร่างกฎหมายเพดานหนี้ในสภาคองเกรส จะส่งผลให้มีการบรรลุข้อตกลง           ที่นำไปสู่การปรับขึ้นเพดานหนี้ได้จริงหรือไม่          *ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนก.ย.ปิดวานนี้ ขยับขึ้น 4 เซนต์             หรือ 0.04% ปิดที่ 97.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้วยการซื้อขายที่ผันผวนมาก โดยราคา           น้ำมันได้แรงหนุนจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาด             และพายุโซนร้อน ที่ทำให้โรงงานน้ำมันบางแห่งต้องปิดทำการ โดยปัจจัยเหล่านี้           บดบังปัจจัยลบ กรณีความไม่แน่นอนเรื่องปัญหาเพดานหนี้ในสหรัฐ            *วันพฤหัสบดีต่างชาติซื้อสุทธิ 910.59 ลบ.จากวันพุธซื้อสุทธิ 2.71 พันลบ.          *เช้านี้บาท/ดอลลาร์อยู่ที่ 29.72/79 เมื่อวันพฤหัสบดีอยู่ที่ 29.70/74          *นักวิเคราะห์มองแนวรับที่ 1,130 และแนวต้านที่ 1,140 และ 1,150 จุด              นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ รักษาการผู้บริหาร สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์     และกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ภาพตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่ง   เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐและภูมิภาค จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ดีและการประกาศ   ผลประกอบการของบจ.ที่ออกมาแข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะยังเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ด้วย          "วันนี้ดัชนีอาจถูกกดดันจากภาพต่างประเทศ แต่อาจไม่ปรับตัวลงเหมือนต่างประเทศ   โมเมนตัมทางบวกยังมีอยู่ เพราะในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ยังเป็นช่วงการประกาศงบการเงิน"   นายปริญทร์ กล่าว            เขา เห็นว่าปัจจัยจากผลประกอบการบจ.ที่แข็งแกร่ง และภาวะเศรษฐกิจที่ดี   ทำให้ภาพตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก จากปัจจัยความกังวลต่อการปรับเพิ่มเพดาน   หนี้ของสหรัฐและวิกฤตหนี้ยูโรโซน เนื่องจากบจ.ที่จะทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส   2/54 ออกมามีแนวโน้มที่ดีโดยเฉพาะในกลุ่มพาณิชย์ สะท้อนถึงกำลังซื้อในประเทศที่แข็งแกร่ง                      ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ            *ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันพฤหัสบดี ปิดบวก 3.67 จุด หรือ 0.32%             มาที่ 1,134.38 ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 28,900.25 ล้านบาท          *ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เมื่อวันพฤหัสบดี ปิดลบ 62.44 จุด หรือ 0.51% มาที่             12,240.11 และดัชนีแนสแดค ปิดบวก 1.46 จุด หรือ 0.05% มาที่ 2,766.25          *ตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้ มีทั้งบวกและลบ โดยตลาดหุ้นไต้หวัน ลบ 0.7%,           เกาหลีใต้ ลบ 0.33%, สิงคโปร์ บวก 0.07% ,ฮ่องกง ลบ 0.28% และญี่ปุ่น           ลบ 0.16%              จับตาหุ้น            *LHBANK หลังธ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ คาดปีนี้สินทรัพย์โตมากกว่า 20%,NIM ที่                    2.4-2.5%          *SPORT คาดรายได้-กำไร Q2/54 ใกล้เคียง Q1,คงเป้ารายได้ปีนี้โต 10%          *QH คาดกำไร-รายได้ Q2/54 ดีกว่า Q1 และ Q3 ดีต่อเนื่อง          *PTTEP เผย Q2/54 กำไรสุทธิสกุลดอลลาร์โตจากงวดปีก่อน,ปันผลหุ้นละ 2.61 บาท          *EARTH เผยเหมืองแห่งที่ 1 ในอินโดฯ มีถ่านหิน 2.12 ล้านตัน          *SORKON จะจับมือผู้ประกอบการอาหารศรีลังกา, ขยายธุรกิจสู่อินเดีย          *CENTEL หลังเซ็นทรัล เรสตอรองส์ฯ ตั้งเป้ายอดขายแตะ 1.5 หมื่นลบ.ภายใน 5 ปี          *ADVANC คาดรายได้ปีนี้โตกว่าอุตสาหกรรม,ลงทุน 3G บนคลื่นความถี่เดิม          *TSF เผยผู้บริหาร TUF ยกเลิกซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 200 ล้านหุ้น          *LOXLEY คาดยอดขายทั้งกลุ่มปีนี้โต 30% เป็น 1.3 หมื่นลบ.          *RATCH ร่วมลงทุน 20% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ห้วยบง 3          *IRPC เผย Q2/54 กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 2.98 พันลบ.            *ASP เผย Q2/54 กำไรสุทธิลดลงมาที่ 111.65 ลบ.--จบ จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:47:20

ความคิดเห็นที่ 3 Subject: วงการเผย มีเล็งปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ขึ้นอีก10% ระบุราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 0.30 ดอลล์/ปอนด์ วงการเผย มีเล็งปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ขึ้นอีก10% ระบุราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 0.30 ดอลล์/ปอนด์ บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอเปิดเผยว่า จากการคุยกับฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของ KSL คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3/54 น่าจะอยู่ที่ระดับ 700-800ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของโรงงานน้ำตาลในต่างประเทศ (ลาว และกัมพูชา) มีโอกาสที่ผลการดำเนินงานในปีนี้จะไม่ขาดทุนตามที่เราคาดไว้ราว 30 50 ล้านบาท ถ้าหากเป็นไปตามนี้ กำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนของปีงบประมาณนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.4-1.5 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีที่เราทำไว้ที่ 1.46 พันล้านบาท เราเห็นว่ามีโอกาสที่จะปรับประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปีนี้ขึ้นอีกประมาณ 10.0%.ยิ่งไปกว่านั้น ราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 0.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำตาลในระยะสั้น เนื่องจากผลผลิตจากบราซิลอาจจะต่ำกว่าที่คาด จากการที่ KSL ต้องกำหนดราคาขายล่วงหน้าก่อนเข้าสู่ฤดูการหีบอ้อยรอบใหม่ (เริ่มเดือนพฤศจิกายน) หมายความว่าราคาส่งออกน้ำตาลของ KSL ในปีงบประมาณหน้า น่าจะสูงกว่าสมมติฐานของเราที่ 25 เซนต์/ปอนด์ ซึ่งทำให้มีโอกาสที่เราจะปรับประมาณการกำไรสุทธิของปีงบประมาณหน้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย Valuation & action แนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3/54 น่าจะหนุนส่งให้ราคาหุ้น KSL ปรับเข้าใกล้ราคาเป้าหมายของเรา ดังนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำซื้อโดยมีราคาเป้=D จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:47:55

ความคิดเห็นที่ 4 บล.เกียรตินาคิน : KCE แนะนำ ซื้อเก็งกำไร มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 7.70 บาท ผู้บริหาร KCE ยอมรับในที่ประชุมนักวิเคราะห์ฯ เกี่ยวกับการผลิตของโรงงาน KCE Tech มีปัญหามากกว่าที่ประเมินไว้ เรามองว่าปัญหาของเสียจากการผลิตของโรงงาน KCE Tech ที่สูงขึ้น จะกดดัน Gross margin ปีนี้ ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ จึงปรับประมาณการปีนี้ลงจากเดิม 16% รวมทั้งคาดว่าผลประกอบการ 2Q/54 ของ KCE จะมีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท ลดลง 53% Y-O-Y และ 50% Q-O-Q ทั้งนี้แม้ผลประกอบการ 2Q/54 จะหดตัวแรงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า แต่เรามองว่าสะท้อนสู่ราคาหุ้น KCE ช่วง 2 เดือนก่อนที่ปรับตัวลงกว่า 10% ไปบางแล้ว แนวโน้มครึ่งปีหลัง 54 เราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก และคาดว่า 3Q/54 จะเป็นไตรมาสดีสุด เนื่องจาก 1) มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 7-8% Q-O-Q 2) เริ่มเห็นผลบวกจากการปรับราคาขายกับลูกค้าบางกลุ่ม และ 3) อัตราของเสียจากการผลิตมีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้แม้มูลค่าเหมาะสมใหม่ของ KCE หลังปรับประมาณการปีนี้ลง จะเหลือ upside 6% แต่เรามองว่า KCE ยังมี 2 ประเด็นบวก 1) ลุ้นเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรก 54 คาดจ่ายหุ้นละ 0.12 บาท (yield 1.6%) และ 2) การฟื้นตัวของผลประกอบการครึ่งปีหลัง 54 แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ปรับประมาณการปีนี้ลงจากเดิม 16% สะท้อนปัญหาของเสียจากการผลิตของโรงงาน KCE Tech กดดันอัตรากำไรต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ วานนี้ผู้บริหาร KCE ยอมรับในที่ประชุมนักวิเคราะห์ฯ เกี่ยวกับการผลิตของโรงงาน KCE Tech มีปัญหามากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยช่วง 2Q/54 มีการเปลี่ยนผู้จัดการโรงงาน และเปลี่ยนมาจ้างแรงงานมีทักษะมากขึ้น ทำให้ในเดือน ก.ค.นี้ เริ่มเห็นอัตราของเสียจากการผลิต (Scrap rate) ลดลงเหลือ 8% จากเกือบ 10% ใน 2Q/54 อย่างไรก็ดีเรามองว่าการแก้ปัญหาแรงงานต้องใช้เวลาพอสมควร ขณะที่ครึ่งปีแรก 54 การผลิตของโรงงาน 3 แห่ง มีอัตราของเสียจากการผลิตรวมกันเฉลี่ย 5.5% สูงขึ้นจาก 5.0% ในครึ่งปีแรก 53 มองว่าปีนี้อัตราของเสียจากการผลิตของ KCE มีโอกาสสูงกว่าเป้าหมายที่ต่ำกว่า 5.5% ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ปีนี้ มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ จึงปรับลดประมาณการปีนี้ลงจากเดิม 16% คาดผลประกอบการปกติ (ไม่รวมผลอัตราแลกเปลี่ยน และรายการพิเศษ) จะมีกำไร 500 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.10 บาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 53 ที่มีกำไรปกติ 437 ล้านบาท รวมทั้งปรับประมาณการเงินปันผลปีนี้ลงจากเดิม 8% คาดจะจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.32 บาท (yield 4%) คาดผลประกอบการ 2Q/54 จะมีกำไรสุทธิหดตัวมากกว่าที่คาดไว้ แต่สะท้อนสู่ราคาหุ้นแล้ว เราคาดว่าผลประกอบการ 2Q/54 ของ KCE จะมีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท ลดลง 53% Y-O-Y และ 50% Q-O-Q แย่กว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า เนื่องจากผลกระทบราคาวัตถุดิบหลัก (ทองแดง, ลามิเนต) สูงขึ้นและอัตราของเสียจากการผลิตของโรงงาน KCE Tech พุ่งขึ้นเป็นเกือบ 10% จาก 7.8% ใน 1Q/54 ทำให้ Gross margin ลดลง Y-O-Y และ Q-O-Q เหลือ 16.4% นอกจากนี้ผลของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐใน 2Q/54 ที่อ่อนค่าลงประมาณ 0.40 บาท จากใน 1Q/54 ทำให้มีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 10 ล้านบาท จากการ SWOP หนี้ระยะยาวเป็นสกุลดอลลาร์ หากไม่รวมผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนนี้ คาดว่าผลประกอบการปกติ จะมีกำไร 85 ล้านบาท ใกล้เคียงกับใน 1Q/54 อย่างไรก็ดีแม้ผลประกอบการ 2Q/54 จะหดตัวแรงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า แต่เรามองว่าสะท้อนสู่ราคาหุ้น KCE ช่วง 2 เดือนก่อนที่ปรับตัวลงกว่า 10% รวมทั้งมีการปรับตัวแย่กว่าตลาดหุ้น (SET) และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 14% และ 10% ตามลำดับ แนวโน้มครึ่งปีหลัง 54 จะดีกว่าครึ่งปีแรก คาด 3Q/54 จะเป็นไตรมาสดีสุด จาก 3 เหตุผล ในครึ่งปีหลัง 54 เราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการจากครึ่งปีแรก เนื่องจาก 1) KCE ยังคำสั่งซื้อในมือรอผลิตประมาณ 130-140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 5% จากครึ่งปีแรก โดยใน 3Q/54 คาดว่าจะมียอดขายสกุลดอลลาร์เพิ่มขึ้น จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:48:46

ความคิดเห็นที่ 5 นายกล้วยหอมเฝ้ามองดูตลาดหุ้นวานนี้ นับว่าแข็งแรง แข็งแกร่ง ค้ำยันกันสุดฤทธิ์ สลับเล่น เปลี่ยนตัว จนในที่สุด SET ปิดที่ 1,134.38 จุด บวก 3.67 จุด คิดเป็น 0.32%. มูลค่าการซื้อขาย 28,754.72 ล้านบาท. วันนี้วันศุกร์ เตรียมตัวพักผ่อนกันให้เต็มที่ วันนี้ นายกล้วยหอมขอฉายภาพและโฟกัสมาที่หุ้นของเสี่ยพลศักดิ์แห่ง SMT หลังจากก่อนหน้านี้สองวัน เจอมือดีถล่มขายหุ้นชุดใหญ่เล่นเอา แฟนคลับ SMT ขนหัวลุก บางรายสวมบทอาจารย์โกย พอมาวานนี้หุ้น SMT เพิ่งตั้งได้ แบบว่าเพิ่งสวมกางเกงเขียวเสร็จ วันนี้จะใส่เสื้อเขียวหรือไม่ คงต้องติดตามหลังจากตอนเช้านัดพบนักวิเคราะห์ไร้เทียมทานกว่า 10 ราย 10โบรกเกอร์. ณ โรงแรมโฟร์..... ยืนนิ่งๆมาหลายวันหลังจากวอลุ่มเข้าหุ้น SF วานนี้เกมหุ้นนับว่าทำให้สายตาหลายคู่ๆกลับมาดู มาชมหุ้น SF เพราะราคาโดดเด่นมากกว่าใครแถมวอลุ่มซื้อขายหนาแน่น ปิดตลาดที่ 6.40 บาท บวก 0.30 บาท คิดเป็น 4.92% ฟากผู้บริหาร อักษร ส. แห่ง SF มองราคาหุ้นที่วิ่งๆเป็นไปตามกลไกตลาด ส่วนรายได้ไตรมาสสองปีนี้ น่าจะออกมาดีกว่าไตรมาส 3/53 และปีหน้าโครงการเมกะบางนา. ก็จะเปิดบริการได้ นายกล้วยหอมมองแล้ว ขอกล่าวว่า เป็นอะไรที่ต้องคอยติดตาม QTC ปิดตลาดวันแรกที่5.35บาท ขณะที่ราคาจอง ราคาไอพีโอ 2 บาท สูงกว่าราคาจอง 167.50%. โดยเปิดตลาดที่ 5.85 บาทจากนั้นมีแรงซื้อดันราคาสัมผัส 5.90 บาท จากนั้นเจอแรงขายทำกำไรออกมาจำนวนมาก จนระหว่างชั่วโมงราคาลงลึกแตะ 5.15 บาท ต่อมามีแรงซื้อดันราคากระเตื้อง แบบว่าขอลองสู้สักตั้ง. สักครั้งจนปิดที่บริเวณ5.35บาท เรียกว่าความร้อนแรงของหุ้น QTC ทำให้ผู้บริหารหรือเจ้าของอย่างเสี่ยพูน....ดีใจอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับให้คำมั่นสัญญา หลังจากเข้าตลาดไปแล้ว จะขอก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างสุดฝีมือขณะที่เฮียแกะหรือเฮียสมภพแห่ง FSS บอกว่า ความแรง วิ่งหลุดโลกแบบนี้ มาจากอารมณ์ ความรู้สึกของนักลงทุน แต่สิ่งหนึ่งไม่อยากเห็นคือ ภาพไอพีโอกระจุกตัวในปลายปี เพราะนักลงทุนอาจเบื่อได้ง่ายๆ จากหุ้นไอพีโอ นายกล้วยหอมมานั่งดูกระดานหุ้นพบว่า หุ้นใหญ่ยืนๆพักๆไปตามเรื่องตามราว สลับสับเปลี่ยนมุมเก็งกำไรไปตามลำพัง ตัวไหนจุดติดก็ลากต่อ จุดไม่ติดก็เผ่น ตัวใครตัวมัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพอลุยซื้อเพื่อนอยู่กันครบ แต่พอละครลาโรงเท่านั้นแหละ เพื่อนข้างๆหายไปไหนหมด ทำไมเราอยู่ กัวๆๆๆๆๆๆๆ เกมหุ้น นายกล้วยหอมไม่อยากให้นักลงทุนมีความโลภมากนัก เป้าคือเป้า. ไม่อยากให้นักลงทุน แหกด่าน ฝ่าเป้า. แหกได้ ทำได้ก็ดีไป ทำไม่ได้ก็เจ็บตัวไป วันข้างหน้า วันหน้ามาลุย มาแก้มือกันใหญ่ ยังไม่มีคำว่าสายเกินไป คร๊าบๆ แวะมาสังคมกีฬาโบรกเกอร์ สิงห์โบรกเกอร์คัพ2011 เมื่อวันที่23กรกฎาคมที่ผ่านมา รอบตัดเชือก บรรยากาศภาพรวม นักกีฬา กองเชียร์ เต็มไปด้วยความคึกคัก มาที่ผลการแข่งขันดีกว่า สาย1สนามM-150 คู่แรก KTZ ชนะ KS 1:0. คู่ที่สอง GLOBLEX ชนะCGS 3:0 คู่ที่สามKESTฟาดแข้งกับ ASP เกมสูสี เสมอกัน2:2จนต้องเตะลูกโทษ ปรากฎว่าฝีเท้าKESTคมกว่าถึงชนะไป คู่ที่สี่FSSกับBLS ปรากฎว่า BLS ชนะ3:1 สาย2 สนาม YAMAHA. คู่แรก PST-AIRA ปรากฎว่า AIRA ชนะไป 4:3 คู่ที่สอง UOBKH-AYS งานนี้ AYS ชนะไป 4:2. คู่ที่สาม CNS-AUSIRIS ครั้งนี้ CNS ชนะ 5:2 คู่ที่สี่ DBSV-TNS. ปรากฎว่า TNS ยิงประตูไป9:0 สาย3ที่สนามI-MOBILE. APM-KKS. งานนี้KKS ถล่มไป7:1 คู่ที่สองSSEC-BSEC SSEC ชนะ 3:0 คู่ที่สาม TNITY-US รอบนี้ TNITY ชนะ 5:3 และคู่ที่สี่ SET-CIMBS ปรากฎว่า CIMBS ชนะไป 3:1 สาส์น จากนายหน่อกล้วย @@@นักลงทุนอุ่นใจได้ หุ้นใหญ่ SMT พร้อมใจซื้อหุ้นเข้าพอร์ทอีก 1.6 ล้านหุ้น เห็นราคาหุ้นลงมาพอสมควร กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ SMT สมนึก- พูนพรรณ ไชยกุล ลุยซื้อเข้าพอร์ตอีก 1.6 ล้านหุ้น ราคา เฉลี่ย 15.53 บาท เป็นเงินราว 25 ล้านบาท ถ้าประธานมั่นใจอย่างนี้ ผู้ถือหุ้นน่าจะอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง @@@ TPOLY เดินสายพบนักลงทุนภาคใต้ เพราะมีสตอรี่ดี ๆ จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:49:52

ความคิดเห็นที่ 6 บล.กิมเอ็ง : AMATA แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2554 เท่ากับ 18.00 บาท คาดผลประกอบการ 2Q54 เติบโต 38% yoy และ 63% qoq เราคาดผลประกอบการของ AMATA ใน 2Q54 จะฟื้นตัวโดดเด่นจากจำนวนที่ดินรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด เราจึงคาดกำไรสุทธิที่ 183 ล้านบาท เติบโต 38% yoy และ 63% qoq และ AMATA มียอดขายที่ดินสะสมถึงเดือน ก.ค. เท่ากับ 600 ไร่หรือคิดเป็น 40% ของเป้าหมายการขายที่ดินขั้นต่ำของปีนี้ที่เราคาดไว้ที่ 1,500 ไร่ (+15% yoy) และจากระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ดีต่อเนื่อง ทำให้เราเชื่อว่า AMATA จะมียอดขายของปีนี้ถึงเป้าที่วางไว้ได้และอัตราเร่งของการขายจะเกิดมากขึ้นใน 2H54 จากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของปี 2554 บนฐานของวิธี Forward PER ที่ 18 เท่าเราได้ราคาเป้าหมายเท่ากับ 18.00 บาท/หุ้นและคงคำแนะนำ "ซื้อ" คาดผลประกอบการ 2Q54 เติบโต 38% yoy และ 63% qoq เราคาดรายได้ของ AMATA ใน 2Q54 ทีเท่ากับ 792 ล้านบาท (+25% yoy , +44% qoq) โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้แรงสนับสนุนจากการโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้จากที่ดินประมาณ 200 ไร่ สูงกว่า 1Q54 ที่ 90 ไร่ ขณะที่รายได้จากสาธารณูโภคคาดว่าจะทรงตัว อัตราการทำกำไรขั้นต้นและค่าใช้จ่ายจะทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา เราจึงคาดว่า AMATA จะมีกำไรสุทธิใน 2Q54 เท่ากับ 183 ล้านบาท เติบโต 38% yoy และ 63% qoq ปัจจุบันมียอดขายที่ดิน 600 ไร่คิดเป็น 40% ของเป้า 1,500 ไร่ในปีนี้ AMATA มียอดขายที่ดินใน 2Q54 เท่ากับ 184 ไร่ (ลดลง 26% qoq) และส่งผลให้ยอดขายที่ดินของ 1H54 เท่ากับ 434 ไร่ (จากอมตะนคร 228 ไร่และจากอมตะซิตี้ 206 ไร่) ในเดือน ก.ค. มีการเซ็นสัญญาขายที่ดินแปลงใหญ่เพิ่มเติม จึงทำให้ยอดขายที่ดินสะสมตั้งแต่ต้นปีเท่ากับ 600 ไร่และคิดเป็น 40% ของเป้าหมายการขายที่ดินขั้นต่ำของปีนี้ที่เราคาดไว้ที่ 1,500 ไร่ (+15% yoy) และเราเชื่อว่า AMATA จะมียอดขายของปีนี้ถึงเป้าที่วางไว้ได้และอัตราเร่งของการขายจะเกิดมากขึ้นใน 2H/54 จากฐานลูกค้าในมือที่อยู่ในขั้นเจรจาหลายรายประกอบกับฐานลูกค้าในกลุ่มชิ้นส่วนยายยนต์และนักลงทุนชาวญี่ปุ่นยังคงมี ความมั่นใจสำหรับการลงทุนในประเทศไทย ความเชื่อมั่นและการขยายการลงทุนเติบโตดีใน 1H54 และคาดจะดีต่อเนื่องใน 2H54 ในช่วง 1H54 การขยายการลงทุนเติบโตได้ดี สังเกตจากตัวเลขการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment BOI) ที่รายงานยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 882 รายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43.2% มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.47 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักลงทุนหลักคือ ชาวญี่ปุ่น รองลงมาคือยุโรป เราเชื่อว่าการขยายการลงทุนจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องใน 2H54 จากระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อยู่ในระดับสูง คงประมาณการของปีนี้</B จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:50:39

ความคิดเห็นที่ 7 บล.ฟิลลิป : บทวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวโน้มขาขึ้น... SETI ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้ทุกเส้น และ MACD สามารถปิดเหนือเส้น Zero Line ได้ รวมทั้ง Indicators ทุกตัวให้ค่าสัญญาณบวก จึงทำให้ SETI มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อไป ดังนั้นในระยะสั้นแนะนำ "ซื้อ หุ้นแนะนำ ทางเทคนิค 1. HMPRO :แนะนำ "ซื้อ" แนวต้านที่ 10.00-11.00 บาท แนวรับที่ 9.10-9.00 บาท Cut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 8.90 บาท 2. LST: แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" แนวต้านที่ 4.10-4.20 บาท แนวรับที่ 3.98-3.94 บาท Cut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 3.90 บาท 3. CENTEL :แนะนำ "ซื้อ" แนวต้านที่ 10.50-11.00 บาท แนวรับที่ 10.10-9.95 บาท Cut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 9.90 บาท 4. APURE: แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" แนวต้านที่ 0.92-0.95 บาท แนวรับที่ 0.84-0.82 บาท Cut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 0.80 บาท หุ้นเด่นจานร้อน 1. HMPRO : เก็งกำไร 2. KSL : เก็งกำไร 3. ERW : ทยอยขาย จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:51:05

ความคิดเห็นที่ 8 IRPC เผยกำไรโค้งสองโต 156%จากช่วงปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 3,699 ลบ. รายงานข่าวจากบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) IRPC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2554 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 156 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ EBITDA อยู่ที่ 3,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 68 โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตรวมตามราคาตลาด (Market GIM) 8.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อรวมกำไรจากสต็อกน้ำมัน 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตรวมทางบัญชี (Accounting GIM) 12.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลปริมาณน้ำมันดิบกลั่นในไตรมาสนี้มีจำนวน 15.7 ล้านบาร์เรล โดยอัตราการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 172 พันบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 80 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนโรงงานปิโตรเคมีใช้อัตราการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 88 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าระหว่างไตรมาสนี้จะปิดซ่อมบำรุงโรงงานนอกแผนเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา Market GIM ปรับตัวลดลง 0.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นผลจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปสงค์จากประเทศจีนปรับตัวลดลง เมื่อรวมกับกำไรจากสต็อกน้ำมันที่ปรับตัวลดลง 1.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1/2554 ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวลดลง ทำให้ Accounting GIM ลดลง 2.5เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2554 ราคาน้ำมันดิบมีความผันผวน โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 111 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 12 ในช่วงแรกของไตรมาสนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาสูงสุดอยู่ที่ 119 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปัจจัยหลักมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ และเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในไนจีเรียซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มโอเปคและมีกำลังการผลิตน้ำมัน 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยราคาต่ำสุดอยู่ที่ 101 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีสาเหตุจากเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปออกมาอ่อนแอ ทำให้นักลงทุนกังวลต่อแนวโน้มความต้องการน้ำมันดิบที่จะปรับตัวลดลง จึงเทขายเงินลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์รวมทั้งน้ำมันดิบ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศในตลาดเกิดใหม่ เช่น จีนและอินเดีย ทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเข้มงวดทางการเงิน โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ในขณะที่สำนักพลังงานสากล (IEA) ประกาศระบายปริมาณสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ จำนวน 60 ล้านบาร์เรลจากคลังยุทธภัณฑ์สำรองเข้าสู่ตลาด โดยทยอยระบายน้ำมันออกจากคลังวันละ 2 ล้านบาร์เรลติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานพลังงานตึงตัว ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนในช่วงหลังของไตรมาส 2/2554 รายได้จากการขายของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้มีจำนวน 67,636 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 52,679 ล้านบาท รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี 14,022 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ 935 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 78 ร้อยละ 21 และร้อยละ 1 ตามลำดับ ในไตรมาสนี้ปริมาณขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากปริมาณขายแนฟทาและน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเพิ่มขึ้น จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:52:09

ความคิดเห็นที่ 9 บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/07/54 คาดว่าหลังผันผวน SET ยังมีโอกาสขึ้นต่อ ดังนั้นควรเน้นถือเพื่อรอขึ้น!!               แนวโน้ม ตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคค่อนข้าง มาก จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศที่ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งมาจาก ความชัดเจนทางด้านการเมืองที่เริ่มมีมากขึ้น และภาวะเศรษฐกิจของไทยเราที่ยังค่อนข้างดี ขณะที่แรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการรายไตรมาสจะออกมาดี ก็มีส่วนช่วยกระตุ้น แรงซื้อให้เข้ามาพยุงตลาดไว้ได้ อย่างไรก็ตามการไม่คืบหน้าของการขอเพิ่มเพดานหนี้ของ สหรัฐ ทั้งๆ ที่เข้าใกล้กำหนดเส้นตายที่อาจจะทำให้สหรัฐต้องผิดนัดชำระหนี้ได้นั้นยังคงกดดัน ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่อเนื่อง ซึ่ง SET ก็ขยับขึ้นมาพอควร ขณะที่ นักลงทุนต่างประเทศก็ซื้อกลับมามากแล้วด้วยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เราคาดว่า SET ยังมีสิทธิที่ จะแกว่งตัวผันผวนได้อีก จนกว่าสถานการณ์ในสหรัฐจะชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่าสุดท้าย แล้ว SET ยังมีโอกาสที่จะขยับขึ้นไปแถว 1150 จุดหรือสูงกว่าได้ในที่สุด              กลยุทธ์: ดังนั้นจังหวะอ่อนตัวย้อนลงเป็นลบในช่วงนี้ เราจึงยังมองเป็นโอกาสใน การเลือกหุ้นเข้าซื้ออยู่เช่นเดิม จากนั้นเน้นถือเพื่อรอรอบรีบาวด์ขึ้นหา 1150 จุดต่อ ประเด็นสำคัญวันนี้             • (-) สภาเลื่อนโหวตร่างลดยอดขาดดุลงบประมาณของนายจอห์น โบห์เนอร์เป็นคืนนี้ Credit Suisse ประเมินว่าสภาจะขยายเพดานหนี้ทันก่อน 2 ส.ค. แต่มีโอกาส 50% ที่สหรัฐจะ ถูก downgrade เรทติ้ง และประเมินว่าถ้าไม่ขยายเพดานหนี้ GDP ของสหรัฐจะลดลงเดือนละ 0.5-1.0% หุ้นจะตก 10-15% กรณีเลวร้ายสูดถ้า Default GDP จะลดลงกว่า 5% หุ้นจะร่วง 30%              • (+) ถ้าคองเกรสขยายเพดานหนี้ทัน 2 ส.ค. ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอย่างเร็วตลาดหุ้น จะปรับลงแต่เชื่อว่าเป็นระยะสั้นโดยมอง downside 1,100 จุด หรืออย่างแย่ 1,080 จุด และเป็น โอกาสสะสมหุ้นอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ทันหรือสหรัฐถูก downgrade เรทติ้ง เงินดอลลาร์จะอ่อนต่อ ตลาดหุ้นจะแรลลี่ กรณีนี้มอง 1,150 จุดขึ้นไป เราเชื่อว่าตลาดยังแรลลี่ได้ถึงสัปดาห์แรกของ ส.ค.               • (-) สหรัฐจะรายงาน GDP 2Q11 คืนนี้ ตลาดคาด +1.8%Q-Q ชะลอลงจาก 1Q11 ที่ +1.9%Q-Q และเป็นตัวเลขต่ำสุดในรอบ 3 ไตรมาส               • (+) ธปท.รายงานเศรษฐกิจเดือน มิ.ย. วันนี้ ส่วนวันจันทร์มีรายงานเงินเฟ้อ               • (+) ก.คลังคาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 4.5% ไม่เปลี่ยนจากที่คาดในเดือน มี.ค. โดยได้ แรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก เป็นคาดการณ์ที่ดีกว่าธปท.ที่คาดไว้ +4.1% ส่วน GDP 2Q11 คาดว่าจะโต 3.0-3.6% ซึ่งจะดีกว่า 1Q11 ที่ +3.0% สภาพัฒน์ฯจะรายงาน GDP2Q11 22 ส.ค. นี้ ส่วนเงินเฟ้อ ก.คลังคาดว่าจะอยู่ที่ 3.8% ใกล้เคียงธปท.ที่คาด 3.9%              • (+) กลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่โดดเด่นสุดเป็นอันดับ 3 ในเดือนนี้ โดยปรับขึ้น 11.3% MTD ปรับขึ้นมากกว่า SET ที่ +4%MTD สอดคล้องกับ ‘การบริโภคภาคเอกชน’ ที่เติบโตอย่าง แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของ GDP ในปีนี้และปีหน้า อย่างไรก็ตาม PE ปัจจุบันของกลุ่มอยู่ที่ 24 เท่า ค่อนข้างแพงสำหรับกำไรในปีนี้แล้ว มีเพียง CPALL และ HMPRO ที่ราคายังไม่เกินมูลค่าพื้นฐานในปีนี้แต่ upside ก็ไม่มากพอที่เราจะแนะนำซื้อ เว้น แต่จะมองยาวถึงปีหน้า หุ้นที่มี upside มากสุดเทียบกับเป้าหมายปีหน้า (มากไปน้อย) คือ CPALL (เป้าหมายปีหน้า 58 บาท) BIGC (เป้าหมายปีหน้า 142 บาท) MAKRO (เป้าหมายปี หน้า 255 บาท) สำหรับผู้ที่เล่นรอบสั้น แนะนำขายทำกำไรเมื่อประกาศผลประกอบการ แล้วค่อย ซื้อกลับเมื่อราคาพักฐาน แต่ถ้าถือยาวได้ แนะนำถือลงทุนยาว              • Fund Flow วานนี้ไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาค ปริมาณเบาบาง โดยนักลงทุน ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวัน แต่ยังซื้อไทยต่อเนื่อง สาเหตุที่การเคลื่อนย้าย เงินทุนช่วงนี้ค่อนข้างเงียบเหงาเป็นเพราะปัจจัยเสี่ยงที่ยังไม่มีข้อสรุปในการเพิ่มเพดานหนี้ของ สหรัฐเพราะสหรัฐกำลังเผชิญกับการผิดนัดชะรำหรือถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเรื่องปัจจัย หลักที่นักลงทุนต้องจับตามองเป็นพิเศษเพราะจะมีผลต่อทิศทางตลาดเงินและตลาดทุน ดังนั้น แนวโน้ม Fund Flow ในภูมิภาคจะยังเบาบางเช่นเดิม                ดัชนีดาวโจนส์ย้อนกลับมาปิดเป็นลบ 62.44 จุด หลังจากในระหว่างวันขยับบวกขึ้นได้ พอสมควร หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐดิ่งลงแรงเกินคาดรวมทั้งมี แรงซื้อเพื่อเก็งกำไรผลการประชุมสภาที่คาดกันว่าจะทราบผลหลังตลาดปิดทำการ แต่ด้วยความ ไม่แน่ใจว่าการโหวตร่างกฏหมายดังกล่าวจะบรรลุข้อตกลงได้ ทำให้มีแรงขายออกมาในช่วงท้าย ตลาดอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นจริงตามที่ตลาดกังวลเพราะสภาฯ สหรัฐยังคงเลื่อนการพิจารณาร่างกม. ดังกล่าวออกไปอีกครั้ง               ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ยังคงแกว่งตัวผันผวนและเน้นปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังยัง ไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของสหรัฐ               ค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นการแกว่งตัวอยู่ในกรอบเดิมระหว่าง 29.60-29.80 บ./ดอลลาร์               ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 97.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ขยับกลับมาบวก 0.04 ดอลลาร์ ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่ผันผวนมาก แต่ยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลข เศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐบ้าง เรียบเรียง โดย ปุณณภา นาเมืองรักษ์ อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   29/07/11   เวลา   9:07:15 จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 18:52:50

ความคิดเห็นที่ 10 บล.ไทยพาณิชย์ แนะทยอยขายทำกำไรคาดสหรัฐไม่เบี้ยวหนี้แต่เสี่ยงถูกลดเครดิต บล.ไทยพาณิชย์ แนะกลยุทธ์การลงทุนว่า ตลาดฯมี Upside gain น้อยกว่า Downside risk ในขณะที่การซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงหลังทราบผลการเลือกตั้งมีมูลค่าสะสมเท่ากับ 35,706 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เคยขายสุทธิออกไปที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่าแรงซื้อคืนในระยะสั้นน่าจะลดลง ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนทยอยขายทำกำไรหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามากกว่าตลาดฯ จากบทวิเคราะห์แนวโน้มปัญหาเพดานหนี้สหรัฐและกลยุทธการลงทุน โดยคาดว่าสหรัฐฯไม่ยอมผิดนัดชำระหนี้แต่มีความเสี่ยงเรื่องการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยประเมินแนวทางของผลการเจรจาเพื่อขยายเพดานหนี้ของรัฐสภาสหรัฐฯไว้ 3 แนวทาง คือ 1.ขยายเพดานหนี้ทันเวลาวันที่ 2 ส.ค. ซึ่งมีโอกาสเกิดมากที่สุดและเป็นกรณีที่ดีที่สุด 2. ขยายเพดานหนี้ไม่ทันวันที่ 2 ส.ค. แต่จะขยายได้ภายหลังจากนั้นไม่นานและไม่ผิดนัดชำระหนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นปานกลาง ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อตลาดการเงินในระยะสั้นแต่ไม่มากนัก และ 3. ผิดนัดชำระหนี้ มีโอกาสเกิดน้อยที่สุด แต่หากเกิดขึ้นจะกระทบต่อตลาดการเงินมากที่สุด ขณะที่ความเสี่ยงสำคัญของสหรัฐฯ คือ การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อ เนื่องจากไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ทันวันที่ 2 ส.ค.ซึ่งคาดว่าจะเป็นการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเพียงระยะสั้น หรือถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ เนื่องจาก แผนการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯต่ำกว่าระดับที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต้องการ ซึ่งกรณีหลังนี้จะมีผลกระทบมากกว่ากรณีแรก และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาพันธบัตรสหรัฐฯ และ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ผลกระทบในเชิงลบดังกล่าวจะต่ำกว่ากรณีที่สหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากประเมินว่า นักลงทุนที่เป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯส่วนใหญ่ ได้แก่ จีน และ ญี่ปุ่น จะไม่เทขายพันธบัตรสหรัฐฯที่ถือครองอยู่ออกมา เนื่องจากเป็นการสร้างความเสียหายให้กับตัวเอง ซึ่งประเทศญี่ปุ่นก็เคยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจาก AAA เหลือ AA- เหมือนกันในอดีต แต่แรงขายพันธบัตรมีไม่มากเนื่องจากผู้ถือพันธบัตรส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นเอง แต่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นสะท้อนอันดับความเสี่ยงที่ลดลง ซึ่งพิจารณาได้จากระดับค่าประกันความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (CDS) ของสหรัฐฯที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ นอกจากนี้ ประเมินว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับเรื่องปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯไปพอสมควรแล้ว หลังจาก Dollar index อ่อนค่าแล้ว 3% นับตั้งแต่ระดับ 76 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 14 ปี โดยล่าสุด ค่าเงินเยน และ ค่าเงินบาท อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 78 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ และ 29.74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ หรือแข็งค่าขึ้นในช่วงเดียวกัน 4% และ 2% ตามลำดับ แนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะผันผวนมากในช่วงวันนี้จนถึงวันที่ 2 ส.ค. คาดว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีโอกาสผันผวนสูงมากในช่วงหลังจากทราบผลการขยายเพดานหนี้ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ภายในสัปดาห์นี้ถึงวันที่ 2 ส.ค. ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นมีโอกาสผันผวนซึ่งจะขึ้นกับทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นหลัก เนื่องจากมีผลกระทบต่อทิศทางเงินทุนจากต่างประเทศ แต่เรายังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นถึง 1200 จุดได้ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีกว่าในฝั่งสหรัฐฯและยุโรป ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง แนวโน้มตลาดหุ้นในระยะสั้นแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี ได้แก่ 1.ผลการเจรจาขยายเพดานหนี้สำเร็จ คาดว่าจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ซึ่งในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขายทำกำไรระยะสั้นจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีฯมีโอกาสลดลงไปที่ระดับ 1080 จุด ซึ่งเป็นต้นทุนเฉลี่ยของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้ 2. สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าต่อเนื่องอีกสักระยะหนึ่ง ส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าต่อเนื่องจากเงินทุนไหลเข้า ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1150 จุด 3. สหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงแรง ประเมินว่าอาจลดลงไปได้ถึง 1060-1030 จุด จากคุณ : hifolk เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 19:02:26

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณค่ะ ยายไฮ จากคุณ : เจ้านางชะนีน้อยแห่งสินธร เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 19:10:24

ความคิดเห็นที่ 12 ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาการเมืองเพราะไกล้เลือกตั้งใหญ่ปลายปี้หน้า ตอนนี้ เป็นช่วงเจรจาต่อรองเงื่อนไขและรายละเอียดเพื่อรักษา credit ฝ่านตนและ blame ฝ่ายตรงกันข้าม ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็สามารถตกลงกันได้ ยังไง   ช่วย Pray ให้หน่อยซี่ เจ๊ จากคุณ : คุณดี. ซี. เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 19:14:29

ความคิดเห็นที่ 13 I PRAY FOR USA NA KA..... จากคุณ : Je Hi.ต้วแม่ (hifolk) เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 19:16:18

ความคิดเห็นที่ 14 j'hI pray for ปธน.โอบามา na ka. จากคุณ : Je Hi.ต้วแม่ (hifolk) เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 19:19:48

ความคิดเห็นที่ 15 ที่ 3 จากคุณ : mone.sw เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 19:25:38

ความคิดเห็นที่ 16 เชื่อว่ารัฐสภาอเมริกา จะเลือกทางที่ดีที่สุด  ซึ่งส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยร่วมข่าวที่ออกมา แค่ทำให้คนกลัว   ลงทุนอย่าเชื่อสื่อ เพราะพวกนี้ไม่มีความรู้อะไรเลย  เขียนข่าวเหมือนเขียนนิยาย จากคุณ : ดู (ส้มไข่ปลา) เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 20:06:30