*** US Debt_Ceiling = รู้ไหมจ๊ะ... เพดาน_หนี้นั้น_สำคัญไฉน ?
|
|
Thai_Post : เปลวสีเงิน เพดานหนี้ของสหรัฐ = US Debt_Ceiling ภาษาที่จะเข้าใจได้ง่ายว่า มันคืออะไร & สำคัญแค่ไหน ถึงเป็นข่าวตื่นเต้นกันไปทั่วโลก ไม่เว้นแต่ละวัน ทุกคนมีCredit_Card & Credit_Card ก็จะมีวงเงินให้เราใช้ เช่น ไม่เกิน100,000บ. นั่นคือ เพดาน_ที่เขากำหนดให้ใช้... ไปซื้อสินค้า &บริการ รวมทั้ง เบิกเงินสดล่วงหน้าได้ เพดานหนี้หากมากเกินกำลังเรา พอใช้จนเต็มเพดานก็จะมีปัญหา_เวลาเขาเรียกเก็บ เราจะใช้หนี้ไม่ไหวตามที่เขากำหนด ประเทศสหรัฐฯ ก็มีเพดานหนี้ที่รัฐจะก่อได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่แค่ 100,000บ. ตัวเลขที่ก่อหนี้ได้หรือวงเงินหนี้ คือ 14.3ล้านล้าน$ เขียนเป็นตัวเลขเต็มๆ ว่า 14,300,000,000,000$ หากใช้ 1$ = 31บ.ไปคูณ จะได้ = 443,300,000,000,000บ. อ่านว่า 443.3ล้านล้านบ. แปลอีกทีก็คือ สหรัฐฯ ก่อหนี้ได้ถึงประมาณ 50เท่าของGDP เลยทีเดียว & ตอนนี้ก็มีหนี้ประมาณนั้น ใช้จนเต็มวงเงินCreditแล้ว เลข " 0 " เยอะแยะจนเครื่องคิดเลขเอาไม่อยู่ หากคองเกรสหรือรัฐสภาสหรัฐฯ ไม่ยอมแก้ไขกม. เพื่อเพิ่มเพดานก่อหนี้ของสหรัฐให้สูงขึ้นไป สหรัฐก็ไม่มีปัญญาจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะทยอยกันเข้ามาได้ครบทุกอย่างตั้งแต่ 2 สค.นี้เป็นต้นไป คล้ายๆ เราใช้วงเงินในบัตรCreditจนเต็ม มีอยู่กี่บัตรCredit ก็ใช้จนวงเงินเต็มแล้วทุกบัตร บิลค่าน้ำ ค่าไฟ กำลังถึงกำหนดจ่าย ค่าเล่าเรียนลูกก็จะต้องจ่ายในเดือนหน้า รายได้แต่ละเดือนก็เพียงพอแค่ค่าอาหาร ค่าเดินทางไปทำงาน/ไปเรียน ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถอีกล่ะ ดูภาพนี้ตรงขั้นบันไดจะชัดเจนขึ้น
? สหรัฐฯ เพิ่มเพดานหนี้ขึ้นเรื่อยๆ & เพิ่มมานานแล้วตั้งแต่ปี คศ.1980 เพดานหนี้ที่ว่านี้ได้ถูกขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ 17ครั้งในยุคของประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน , 4ครั้งในยุคของ บิล คลินตัน , 7ครั้งในยุคของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช , 3ครั้งในยุคของ บารัก โอบามา หากคองเกรสลงมติให้เพิ่มเพดานหนี้อีกครั้งในเร็วๆ นี้ โอบามาก็จะได้เพิ่มสถิติเป็น 4ครั้ง เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างก็เพิ่มเพดานหนี้กันทั้งน้าน ฯลฯ * อย่างไรก็ตาม 2พรรคการเมืองนี้ที่ซู๊ด... ก็จะตกลงกันได้เหมือนที่เคยเป็นมาทุกยุค เพราะหากไม่ยอมขยายเพดานหนี้ ผลฯต่อประเทศมันจะหนัก
มาตรการ QE3 จะช่วยได้ไหม? มาตรการนี้เป็นการฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ แต่ตอนนี้ปัญหาของสหรัฐฯไม่ใช่ขาดสภาพคล่อง สภาพคล่องกลับล้นไปด้วยซ้ำ เพราะ ธนาคารต่างๆ_ไม่ปล่อยกู้ ส่วนธุรกิจเองก็ไม่กล้าขยายการผลิต ดูได้จากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเตี้ยจน_ติ๊ดดิน สินเชื่อแทบไม่โตเลย QE3 จึงเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ไม่ควรทำ ควรไปกระตุ้นให้ปล่อยสินเชื่อมากกว่า K. เบอร์ นันเก้ เองนั้น ต้องการดึงเงินกลับเข้าด้วยซ้ำ * หากมี QE3 จะเกิดการเก็งกำไรใน Commodity & ตลาดหุ้นตลาด Bond พอถึงจุดหนึ่งการเก็งกำไรก็จะหยุดลง หยุดลง & หยุด... โลง แล้วก็จะเป็นปัญหากับ เบอร์ นันเก้ อีก บางคนมอง_ควรอัดฉีดเพิ่ม QE3 หากดูท่าว่าเศรษฐกิจจะแย่ แต่มีคนคัดค้าน ทำเช่นนั้นเงินเฟ้อจะเป็นปัญหาใหญ่
จิม โรเจอร์ส ก็บอกว่า FED_จะออกมาตรการแน่ๆ แต่ล่าสุด เบอร์ นันเก้ ออกมาบอกอีกทีว่า ไม่เอาแล้วQE3 แต่หากต้องทำจะทำด้วย 2เงื่อนไขเท่านั้น 1. เศรษฐกิจจะแย่กว่าที่คาด อย่างมีนัยสำคัญ 2. ต้องมีความเสี่ยงจากการจะเกิดเงินฝืดอย่างมีนัยสำคัญ เช่นกัน ซึ่งพิจารณาเงื่อนไข 2อย่างนี้จะเห็นว่า ไม่เกิดง่าย เพราะ เบอร์ นันเก้ เองก็คาดว่าครึ่งปีหลังนี้เศรษฐกิจจะดีกว่าครึ่งแรก และปีหน้า ก็จะดีขึ้นไปอยู่ที่กว่า3% ส่วนอาหาร , น้ำมัน , สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ก็ราคาขึ้น เงินเฟ้อ... จึงไม่กลายเป็นเงินฝืดหรอก อย่างไรก็ตาม เบอร์ นันเก้ ก็บอกว่ายังไม่รู้ว่าทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐ์_จะไปทางไหนกันแน่ QE3จึงเป็นการเปิดประตูเอาไว้เผื่อเหลือ_เผื่อขาด นอกจากนี้ เขายังบอกว่า จะคงดอกเบี้ยต่ำไปอีกนานๆ ดังนั้นเงินท่วมระบบสภาพคล่องที่ล้นเพราะBank_ไม่ปล่อยกู้ แต่เอาไปเก็งกำไรในตลาดหุ้นกับสินค้าโภคภัณฑ์นั้น ก็ยังคงอยู่ไปอีกพักใหญ่ เพราะ ต้นทุนคือดอกเบี้ย ที่ใช้ในการนำเงินไปเก็งฯจะต่ำอีกพักใหญ่ เพราะดูจาก อาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็เชื่อว่าจนถึงปลายปีนี้สหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย
ปัญหาทั้งยุโรป & สหรัฐในขณะนี้เกิดจากอะไร? สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกตอนนี้เป็นผลพวงมาจากปัญหา Sub_Prime ซึ่งไม่เคยจบ แม้หลายคนจะเคยกลัวว่าจะเป็นเหมือน The Great Depression ที่จะกินเวลาตกต่ำไปทั้งโลกลากยาวไปเป็น10ปี แต่พอรัฐบาลทุกประเทศช่วยกันอัดฉีดสภาพคล่องเต็มที่จนประคองไปได้ คนที่กลัวก็หลงดีใจ คิดว่าผ่านพ้นวิกฤติ Sub_Primeไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ แค่เพียงซื้อเวลาเท่านั้น
หลายประเทศที่ขาดดุลการคลัง ก็เพราะอัดฉีดเงิน หรือสภาพคล่องเข้าไปในระบบ & ช่วยซื้อหนี้มีปัญหาจากภาคเอกชน คือ ย้ายหนี้จากภาคเอกชนมาให้เป็นหนี้รัฐ เป็นการเอาปัญหาของเอกชนมาให้รัฐ หลายประเทศที่ขาดดุลการคลังมากขนาดนี้ ก็เพราะ ใส่เงินมหาศาลเข้าไปอัดฉีดหล่อเลี้ยงระบบเอาไว้ โดยเงินที่ใส่ลงไปนั้น รัฐบาลต่างๆ ก็กู้จากเอกชน & คนทั่วไปนั่นเอง ด้านยุโรปเอง ก็จะไม่มีทางปล่อยให้ Spain กับ Italy เป็นอะไรไป IMF & ECB จะต้องช่วยเพื่อไม่ให้พังกันไปโหม๊ด! ทั้ง 2ประเทศนี้ก็กำลังหาทางลดค่าใช้จ่ายลง & เชื่อว่าจะทำได้สำเร็จ
สมมติว่าเกิดมี QE3 ขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ? ตลาดหุ้นทั่วโลก , ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จะได้ผลดีในช่วงสั้นๆ เท่านั้น & ผลตอบรับอาจไม่แรงเท่าช่วง QE2 ตลาดจะกังวลมากกว่า เพราะเม็ดเงินยิ่งมากขึ้น แต่ถ้าตอนถอยจะยิ่งตกหนัก ฯลฯ
หากเพิ่มเพดานหนี้แล้วปัญหาในสหรัฐจะจบลงได้ไหม? อย่างแรกคือหายใจคล่องขึ้น เพราะมีเงินจ่ายหนี้ที่ครบกำหนดได้ ไม่ต้องขึ้นชื่อว่าผิดนัดชำระหนี้ แต่ในระยะกลางถึงระยะยาวนั้นปัญหาก็ยังคงอยู่ ถ้ารัฐสภาสหรัฐฯ ไม่ปรับปรุงลดรายจ่ายต่างๆลง & เพิ่มอัตราภาษีบางอย่างขึ้น มันก็แค่แก้ปัญหาระยะสั้น เหมือนจ่ายหนี้บัตรCredit ด้วยการไปเปิดใช้บัตรCredit_ใหม่ แล้วกดเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรใหม่เอาไปจ่ายชำระหนี้บัตรเก่า พอเวลาผ่านไปอีกพักก็จะแย่อีก & จะแย่ยิ่งกว่าเดิมด้วย หากเศรษฐกิจสหรัฐฯโตไม่เร็วพอ ซึ่งก็คือไม่สามารถเพิ่มรายได้ได้ทันค่าใช้จ่าย หากจะฟันฉับตัดปัญหาให้จบไปเลย ก็ต้องให้ได้ดุล... ด้วยการลดค่าใช้จ่ายลง 40% (คิดจากที่ว่าเงิน 1$_ที่สหรัฐใช้เกิดจากการกู้ 40%) ทำอย่างนั้นจะกระทบเศรษฐกิจหนัก คนจะยิ่งไม่มีเงินใช้ ธุรกิจก็แย่ลง คนก็ต๊กงาน=ธุรกิจจะขายของได้น้อยลง ต้องปิดกิจการ เลิกจ้าง (งูกินหาง)
ผลกระทบต่อตลาดทุนไทย? ณ วันนี้เงินสหรัฐฯ ยังมีสภาพคล่องล้นเหลือ เพราะรัฐอัดฉีดเงินลงไปแล้ว แต่ธ._ยังไม่ปล่อยกู้ เป็นแบบนี้แล้วเงินก็จะมาที่Asiaที่ดูดีที่สุด เพราะเขาก็ต้องการให้เกิดผลตอบแทนจากเงินลงทุน การส่งออกของไทยมีการกระจายตัวดีขึ้น หากสหรัฐฯกับยุโรปแย่ เราก็ยังเลี้ยงตัวได้ เพราะเรามีการค้าขายกับพวกกันเอง & ในตลาดอื่นๆ + ปัญหาภายในโดยรวมก็น้อย การทะเลาะทางการเมืองก็เป็นเรื่องปกติของคนไทยไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น ลงทุนในหุ้นไทยจึงดีกว่า หากมองระยะยาว แต่การเก็งกำไรสั้นๆ จะทำได้ยากส์ เพราะระดับ P/E ปี 2008 ที่วิกฤติ Sub_Primeนั้น มันถูก คือ ที่ 6-7เท่า แต่ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 12-13เท่า การหาจังหวะทำกำไรจึงยากส์ มีความเสี่ยงสูงกว่า
พวก Global_Fund ของฝรั่ง กำลังสนใจตลาดไทย? จากเดิมที่ไม่เคยเลยที่จะสนใจไทยโดยเฉพาะ เพราะจะไปมองภาพAsia รวมๆ หรือมุ่งที่จีนมากกว่า ตอนนี้เขาเริ่มมีความสนใจ เริ่มสอบถามไปยังนักวิเคราะห์ไทย ขอพบผจก. กองทุนไทย ส่งคนมาขอข้อมูลหุ้นไทยมากขึ้น ขนาดที่ว่าหน. ฝ่ายการลงทุนมาหาข้อมูลเอง ทั้งนี้เป็นเพราะ Asia_มีแนวโน้มการบริโภคจับจ่ายใช้สอยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เขาเลยสนใจAsia & ไทยก็มีเศรษฐกิจที่มีศักยภาพการบริโภคได้ดีอยู่แล้ว ฝรั่งจึงสนใจ & มองไทยยาวววว... ขึ้น น่าจะทยอยเข้ามามากขึ้นถ้าเราตั้ง ครม.ใหม่ได้โดยเป็นคนที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะ ก.เศรษฐกิจ หากรัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายได้น่าเชื่อถือ ไม่ส่งผลแง่ลบต่อเศรษฐกิจ วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ; CEO บ.ลจ บัวหลวง ที่ขำๆ อีกเรื่องคือ เริ่มมีตัวแทน ก.คลัง สหรัฐฯ มาขอพบผจก.กองทุนกันบ้างแล้ว สงสัยจะมาหาทางขอกู้
==> เปลวสีเงิน : ทุกอย่าง "เรื่องสมมุติเจ๊ง" ให้ "เจ๊า" กันไปทั้งโลกก็ดี กลับมาตั้งต้นนับ๑_กันใหม่ ผมช๊อบ... ชอบ จะได้ตามน้ำ โละหนี้_ ๗๐-๘๐ ล้านไปด้วย ( แฮ่ะๆ.... อ่ะๆ... ล้อ... เล่น... ขำ ขำ ! )
จากคุณ |
:
ศิษย์ซุนวู
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ก.ค. 54 23:08:13
|
|
|
|