=== อย่าหาว่าขัดลาภเลย แต่ระวังไว้หน่อยก็ดีมั้ง ===
|
|
บทความจาก sinthornvista.com
--- บทความนี้ยาวมาก ถ้าขี้เกียจอ่านเซฟไว้ก่อนก็ได้นะตัวเอง ---
ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. เป็นต้นมา ลองสรุปดูแล้ว 22 วันที่ผ่านมา (จนถึง 1 ส.ค.) ต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิกว่า 46,407.31 ล้านบาท เมื่อดูค่าเงินบาทเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐพบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นพอสมควร โดยวันที่ 28 มิ.ย. เงินบาทได้ขึ้นไปทำสถิติอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 3 เดือน และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ค่าเงินบาทก็แข็งค่ามาโดยตลอด โดยล่าสุดอยู่ที่ 29.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ตอนนี้แกว่งอยู่ในกรอบ 29.50 - 30.00)
จากการประเมิณเบื้องต้นคาดว่าเป็นเพราะมีเงินร้อนไหลเข้ามาส่วนหนึ่งจึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งปัจจัยการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเฉพาะความไม่ไว้วางใจสถานการณ์สหรัฐและยุโรปทำให้ค่าเงินดอลลาร์และยูโรอ่อนค่าลง จึงเป็นแรงกดดันให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากซีกโลกตะวันออกมาที่เอเชียมากยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบกันแล้วจากวันที่ 29 มิ.ย. เป็นต้นมา ค่าเงินหยวนของจีนก็มีแนวโน้มแข็งค่าลงเช่นเดียวกัน แต่ไม่เด่นชัดเท่ากับของไทย เช่นเดียวกับค่าเงินเยนญี่ปุ่นต่อดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นพอสมควร จึงทำให้ประเมิณได้ว่าสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายจากฝั่งยุโรปและอเมริกา หันมาพักเงินไว้ในตลาดที่มีความเสี่ยงทางปัจจัยเศรษฐกิจน้อยกว่าโดยเฉพาะในเอเชีย แม้ว่าเอเชียจะมีปัญหาเศรษฐกิจพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องปัญหาเงินเฟ้อที่ทุกประเทศกำลังเผชิญและอาจจะเป็นความเสี่ยงในอนาคตได้ แต่เมื่อเทียบกับปัญหาทางเศรษฐกิจใหญ่อย่างยุโรปที่มีปัญหาหนี้ในหลายๆประเทศกำลังลุกลาม และอเมริกาที่มีปัญหาการเพิ่มเพดานหนี้ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอตัว ทำให้เม็ดเงินร้อนไหลเข้ามาในเอเชีย
คำถามที่อยู่ในใจนักลงทุนทุกคนคงจะอยากรู้ว่า แล้วเจ้าเงินร้อนเหล่านั้นจะถูก take profit กลับไปเมื่อไหร่ ? นั่นแหละคือคำถาม แต่เราอาจจะใช้การสังเกตจากค่าเงินเป็นตัวช่วยดูสำหรับรอบนี้ว่า เมื่อค่าเงินในเอเชียเริ่มอ่อนค่าลงก็น่าจะเป็นผลทำให้ต่างชาติเริ่มถอนเงินทุนกลับบ้าน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีเงินร้อนไหลเข้ามามากกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการเข้ามาอย่างรุนแรงและรวดเร็วมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเมื่อเทียบกับตลาดสำคัญอื่นๆก็พบว่าเงินร้อนจากต่างประเทศเข้าไทยมาในรอบ 1 เดือนนี้ ถือว่ามากอย่างโดดเด่นเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชียโดยเฉพาะเกาหลี และฮ่องกงที่ยังมีเงินทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นน้อยกว่าไทยด้วยซ้ำ
ส่วนประเทศในกลุ่ม TIP (Thailand, Indonesia, Philippine) ประเทศไทยถือว่ามีเงินทุนไหลเข้ามามากที่สุด อย่างโดดเด่นชนิดที่ประเทศอื่นยังมียอด Net Buy น้อยกว่าเราอย่างมาก การเข้ามาของต่างชาติครั้งนี้ถือว่าเข้ามาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งภายใน 1 เดือนมีเงินไหลเข้ามาเป็นปริมาณมากโดยเฉพาะเข้ามาในตลาดหุ้น แต่การเข้ามาที่รุนแรงเช่นนี้ทำให้ต้องตั้งข้อสังเกตว่า มีความผิดปกติของการเคลื่อนย้ายหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการเข้ามาของกองทุนเพื่อการเก็งกำไรระยะสั้น (Hedge Fund) หรือเปล่า เพราะด้วยปริมาณเงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามาในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เกิดความผิดปกติและมีจุดสังเกตต่อการลงทุนในตลาดหุ้นพอสมควร
จากนี้ไปหากมีการเริ่ม take profit ขอให้นักลงทุนระมัดระวัง อะไรก็ตามที่ขึ้นมารุนแรง และรวดเร็วมากจนเกินไป มันก็จะออกไปได้รุนแรง และรวดเร็วกว่าความแรงตอนที่มันเข้ามา
เพิ่มเติม : วันที่ 2 ส.ค. ฝรั่งยังคงซื้อต่อเนื่องอีก 3,712.14 ล้านบาท รวมเป็นซื้อสุทธิตั้งแต่ 29 มิ.ย. - 2 ส.ค. 50,119.45 ล้านบาท
ปัจจัยและผลกระทบที่ยังต้องจับตา : - เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวอย่างมาก อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไปยังประเทศอื่นๆที่กำลังเติบโต แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐเกิดภาวะ Double-Dip หรือ Recession ขึ้นมาจริง เงินทุนอาจจะต้องถูกดึงกลับไปเพื่อเร่งการฟื้นตัวของประเทศตัวเองก่อนอยู่ดี ดังนั้นสถานการณ์โดยรวมแล้ว ประเทศไทย ไม่ใช่แหล่งพักเงินในระยะยาว และไม่ใช่ประเทศที่จะมีอัตราการเติบโตสูงมากจนทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างร้อนแรงขนาดนี้ ประเทศไทยแม้การเมืองตอนนี้ถือว่าค่อนข้างมีเสถียรภาพ แต่ก็ยังไม่นิ่ง และยังมีปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่อาจจะทะลุ 5-6% ขึ้นไป
- สถานการณ์หนี้ในยุโรป การแก้ไขกรีซจบไปแล้ว คาดว่าจะทำให้กรีซสามารถพะยุงตัวเองต่อไปได้และเลิกเป็นข่าวเสียหาย รวมทั้งโปรตุเกสและไอร์แลนด์ด้วยเช่นกัน แต่ยังมีสเปน และอิตาลี ซึ่งใหญ่กว่า แรงกว่า และหนี้เยอะกว่า และอาจจะแก้ปัญหาได้ "ลำบากกว่า" ประเทศเล็กๆอย่างกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ปัญหาหนี้ยุโรปพึ่้งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ยังไม่รู้ว่าชะตากรรมจะเป็นเช่นไร
- การจัดอันดับเครดิต ของสหรัฐ และหลายๆประเทศในยุโรป อาจจะถูกลดอันดับเครดิตในเร็ววันนี้ เหตุเพราะความเชื่อมั่นเริ่มหดตัว และประเทศทั้งหลายเหล่านี้ก่อหนี้ที่ตัวเองเริ่มไม่สามารถชำระได้ จนตอนนี้ทั้งยุโรปเองก็ปัญหาหนี้กำลังเริ่มลุกลามมาก ส่วนสหรัฐก็อย่างที่ทุกท่านเห็น กว่าจะเข็นเพดานหนี้ผ่าน ก็ทำเอาเกือบผิดชำระอย่างหวุดหวิด
อย่างไรก็ดี ไทยเองยังมีข้อดีอีกหลายประการ - เงินเฟ้อยังน้อยกว่าชาวบ้าน (แต่เร็ววันนี้จะขึ้นไปเท่าชาวบ้านแล้วหละ) - การเมืองเริ่มนิ่งและมีเสถียรภาพมากขึ้น - ม๊อบไม่น่าจะกลับมา ถึงกลับมาน่าจะแก้ไขได้ไม่ยาก - การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ไวขึ้นจากการเมืองสงบ - อุตสาหกรรมยังคงมีการเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้จะไม่โดดเด่น แต่ก็ถือว่าดีพอสมควร
แต่ ณ เวลานี้ ราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารถือว่า ร้อนแรงมากเกินไปแล้ว และยังมีหุ้นอีกหลายๆตัวที่ผมมองว่ามันเก็งกำไรเผื่ออนาคตมากจนเกินไปหรือเปล่า ส่วนหุ้นบางกลุ่มก็เหมือนผียังไม่ถูกปลุกขึ้นมา ราคายังนิ่งไม่ไหวติงซึ่งเงินร้อนส่วนที่เข้ามาจะไปอัดอยู่ในกลุ่มธนาคารซะมาก เหตุเพราะกลุ่มธนาคารไม่ได้มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ดังนั้นสภาพคล่องจะเยอะ สัดส่วน NVDR จะเข้าไปถือจึงสามารถซื้อได้สูง (และแน่นอนทิ้งได้เยอะ) ผิดกับกลุ่มพลังงานที่ PTT มีรัฐและกองทุนใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นหลัก ส่วนกลุ่มพลังงานโดยมากก็ถือหุ้นใหญ่โดย ปตท. ดังนั้นเวลาถูกทิ้งหุ้นลงมาจึงจะลงได้ไม่แรงเท่ากลุ่มแบงค์ ดังนั้นอะไรที่ต่างชาติถือมากเกินไปและถูกซื้อเข้ามาอย่างรุนแรง ด้วยความรวดเร็ว ผมจึงมองว่ามันเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่น่าเฝ้ามอง
การตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ... ส่วนผมเองไม่ได้ออกมาเชียร์ให้มันลงนะ เพราะตัวเองก็ยังมีหุ้นในพอร์ทเหมือนกัน เพียงแต่การเข้ามาของต่างชาติรอบนี้ มันถือว่ามากและรุนแรงเกินไปหรือเปล่า ภายในเดือนนิดๆซื้อตลอด กวาดไปกว่า 5 หมื่นล้านแล้ว ถ้าหากทิ้งลงมาเพราะเหตุการณ์อะไรไม่สงบเกิดขึ้น มันจะรุนแรงมากๆแน่ๆ ดังนั้น ระมัดระวังการลงทุนด้วยนะครับ อย่าพึ่งหลงระเริงไปว่าต่างชาติจะซื้อๆๆๆ ... มันซื้อได้ มันก็ขายได้เหมือนกัน
ปล. คัดค้านได้ แสดงความคิดเห็นกันได้เต็มที่ ผมอยากฟังเสียง ฟังความคิดท่านอื่นๆด้วยเช่นกันครับ
จากคุณ |
:
venezier
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ส.ค. 54 20:01:52
|
|
|
|