ความคิดเห็นที่ 1 ขึ้นกับระยะเวลาที่ว่างที่จะดูแลได้ ถ้าสามารถดูแลหุ้นได้ ก็น่าจะลองเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดู ถ้าไม่มีเวลามากและอยากปลอดภัยก็พวกกองทุนแบบ MMF นั่นแหละ หรือถ้าทิ้งได้ยาวพอก็ไปพวกทองเลยก็ดีเหมือนกัน :) นอกนั้นให้คนอื่นช่วยเสริมดีกว่า >< จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 23:40:20

ความคิดเห็นที่ 2 มีเวลาศึกษามากน้อยแค่ไหนครับ จากคุณ : ๛กอล์ฟ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 23:45:12

ความคิดเห็นที่ 3 http://www.tsi-thailand.org จากคุณ : CySpk เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 00:07:25

ความคิดเห็นที่ 4 อย่าเหลือใช้แล้วค่อยเก็บครับ .... เปลี่ยนใหม่ เป็นเก็บก่อนแล้วค่อยเอามาใช้จ่าย ให้เงินก้อนได้ทำงานอย่างเต็มที่ แม้เพียง 1-2 วันก็ได้ส่วนเพิ่มมาได้บ้างแล้วครับ จะฝากออมทรัพย์ทั้งก้อน แล้วกดมาใช้จ่ายดอกเบี้ยก็น้อย .... จะฝากประจำดอกเบี้ยมากหน่อย แต่ถ้าฝากแล้วต้องถอนมาใช้จ่ายในเดือน ก็จะไม่ได้ดอกเบี้ย ผสมผสานความคล่องตัวmujใกล้เคียงออมทรัพย์ กับผลตอบแทนใกล้เคียงเงินฝากประจำ ได้ด้วยกองทุนประเภทตราสารหนี้ อย่างเช่น SCBSFF หรือกองทุนตลาดเงิน (MMF) อย่างเช่น SCBTMF ที่สามารถเก็บได้เมื่อมี และนำมาใช้จ่ายได้เมื่อต้องการโดยไม่ถึง ยึดผลตอบแทนที่สะสมไว้ ด้วยโอกาสที่ราคาเพิ่มขึ้นได้ทุกวัน ทำให้ผลตอบแทนที่เกิด จากส่วต่างของราคา สร้างผลตอบแทนให้ได้ แทนดอกเบี้ยแบบเดิมๆ ของเงินฝาก สามารถติดต่อการเริ่มต้นการเก็บออมผ่านกองทุน ได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขา (สาขาตามห้าง วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ได้ครับ) โดยเพียงแค่นำ - บัตรประชาชน - พร้อมบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารไทยพาณิชย์ (ถ้ามี) ไปติดต่อ ขอเอกสารสำหรับ - การเปิดใช้บริการกองทุน : เพียงครั้งแรกครั้งเดียว เพื่อจะได้มี เลขผู้ถือหน่วยลงทุน (12 หลัก) ไว้ทำรายการ กับกองทุน - การขอออก Fund Book : ไว้สำหรับตรวจสอบมูลค่าการลงทุน - การเขียนใบคำสั่งซื้อกองทุน : ด้วยขั้นต่ำในการเริ่มต้นลงทุนครั้งแรก เพียง 5,000 บาท ครั้งต่อไปสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท ได้ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 00:13:54

ความคิดเห็นที่ 5 สิ่งที่ได้จากการลงทุนในกองทุน จะไม่ถือเป็นดอกเบี้ย แต่จะอยู่ในรูปของผลตอบแทนที่เกิดจากส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น ของราคาซื้อหน่วยลงทุน กับเวลาราคาที่เราได้รับตอนขายคืนครับ เมื่อจ่ายเงินลงทุน สิ่งที่เราได้รับ คือจำนวนหน่วยลงทุน = เงินลงทุน / ราคาเสนอขาย โดยจำนวนหน่วยลงทุน จะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงถ้าเราไม่ซื้อเพิ่ม หรือขายคืน แต่สิ่งที่ทำให้มูลค่าการลงทุนเราเปลี่ยนไป จนเกิดผลตอบแทนคือ ราคาหน่วยลงทุน โดยมูลค่าการลงทุนที่ได้ = จำนวนหน่วยลงทุนที่มี x ราคาหน่วยลงทุน ซึ่งผลตอบแทนที่จะเปลี่ยนไปทุกวัน = (ราคาหน่วยลงทุน - ราคาเสนอขาย) x จำนวนหน่วยลงทุนที่มี ซึ่งผลตอบแทนนี้เราจะยังเป็นเพียงตัวเลขที่เรายังไม่ได้รับเป็นตัวเงิน จนกว่าจะมีการนำหน่วยลงทุนมาขายคืน โดยการขายคืนเราจะขายคืนทั้งหมด หรือจะขายคืนบางส่วนก็ได้ อีกทั้งจะระบุจำนวนหน่วยลงทุนที่ต้องการขายคืน หรือจะระบุจำนวน เงินที่ต้องการจากการขายก็ได้ครับ การขายคืนเป็นจำนวนหน่วยลงทุน เงินที่จะได้รับ = จำนวนหน่วยลงทุนที่ขาย x ราคารับซื้อคืน โดยจะทำให้จำนวนหน่วยลงทุนที่เหลืออยู่ = จำนวนหน่วยลงทุนที่มี - จำนวนหน่วยลงทุนที่ขาย การขายคืนเป็นจำนวนเงินที่ต้องการ จำนวนหน่วยลงทุนจะลดลง = จำนวนเงินที่ต้องการ / ราคารับซื้อคืน จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 00:15:09

ความคิดเห็นที่ 6 สมมุติว่าถ้าผมฝากประจำทวีทรัพย์ของกสิกร กับลงทุนใน KGOLD ระยะเวลา 2 ปี อย่างไหนน่าจะกำไรกว่ากันครับ จากคุณ : นายบู้บี้ เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 01:19:32

ความคิดเห็นที่ 7 กองทุนตราสารหนี้ก็ดีครับ ความเสี่ยงต่ำ ช่วงนี้ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย ถ้าเงินออมยังไม่มากก็ของทหารไทยก็ได้ครับ เพราะเปิดกองทุนใช้เงิน 2,000 ก็เปิดได้แล้วครับ หลังจากนั้นก็ซื้อได้ขั้นต่ำตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป http://www.tmbam.com/v2/th/index-real.php ที่แนะนำของทหารไทยผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรอกครับ เพราะเป็นกองทุนแรกที่ผมเปิดสมัยเรียนมหาลัยน่ะครับ ส่วนการลงทุนเรื่องหุ้นหรืออื่นๆ ก็ต้องศึกษาให้ดีก่อนครับ เพราะผลตอบแทนมากก็ย่อมมีความเสียงมากขึ้นด้วย จากคุณ : panon เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 01:59:57

ความคิดเห็นที่ 8 pjuk คะ เราจะทราบราคา ซื้อขาย ของ SCBTMF ได้อย่างไรคะ ? จากคุณ : JassyGirl (JBerry บุก) เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 02:22:46

ความคิดเห็นที่ 9 ฝากประจำทวีทรัำพย์ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก ไม่มีความเสี่ยง ผลตอบแทนจึงสู้ K-Gold ไม่ได้แน่นอนค่ะ แต่ K-Gold มีความเสี่ยงอันเกิดจากปัจจัยหลายๆประการ แต่ระยะเวลาที่ยาวถึงห้าปีน่าจะพอช่วยลดความเสี่ยงที่ว่านี้ได้ ยังไงอยากให้ลองศึกษาหาข้อมูลการลงทุนแต่ละประเภทก่อนนะคะ ช่วงนี้ก็เิปิดเป็นฝากประจำไปก่อนก็ได้ค่ะ ทวีทรัพย์ก็ดี แต่ต้องฝากยาวติดกันสองปีนะคะ แล้วถ้ารับความเสี่ยงได้มากขึ้น ค่อยลองดูพวกกองทุนรวมค่ะ บางกองก็ให้ซื้อขั้นต่ำแค่ 1,000-5,000 บาท อาจจะทยอยซื้อเป็นรายเดือนก็ได้ค่ะ ซึ่งการทยอยซื้อจะดีกว่าตรงที่เราสามารถเฉลี่ยราคาที่ซื้อได้ ถ้าซื้อด้วยเงินก้อนใหญ่ภายในครั้งเดียว อาจจะได้ราคาที่สูงเกินไปค่ะ จากคุณ : ทาสผู้ซื่อสัตย์ของท่านซิเรียส เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 02:56:56

ความคิดเห็นที่ 10 แนะนำให้ออมเงินเผื่อฉุกเฉินสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำเดืือนค่ะ โดยออมไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากทวีทรัพย์ หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นอย่าง K-Money ก่อนนะคะ เมื่อออมได้แล้วจึงนำเงินส่วนเกินมาลงทุนเพิ่มในกองทุนรวมต่อไปค่ะ หากรับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำกองทุนเปิด K-2530 (K-Lifestyle 2530) ที่มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นไม่เกิน 55% ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล โดยกองทุนมุ่งจะปรับสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้และตราสารทางการเงินให้เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2530 หรือก่อนหน้าค่ะ ส่วนการลงทุนในกองทุนเปิด K-Gold เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง อาจไม่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ในระดับปานกลางนะคะ ขอแนะนำช่องทางปรึกษากับกูรูทางการเงินจาก K-WePlan ผ่านทางอีเมล์ k-weplan@kasikornbank.com ค่ะ สะดวก รวดเร็ว และเป็นส่วนตัวด้วยนะคะ แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 54 17:43:02 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 20:18:08 จากคุณ : K8888 เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 06:25:28

ความคิดเห็นที่ 11 ราคาซื้อ-ขาย ในช่วงเวลารับรายการจะไม่ทราบครับ แต่จะทราบราคาที่ทำรายการได้ผ่านทาง SCB Easy Net หรือจากทาง Website SCBAM ที่ http://www.scbam.com ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 07:31:45

ความคิดเห็นที่ 12 ชื่นชมนะที่เด็กสมัยใหม่รู้จักออมแล้ว  ถ้าเป็นตัวเองซึ่งลองมาแล้วหลายแบบ ก็คิดว่า แรกๆที่ยังไม่มีความรู้ก็ซื้อกองทุนเปิดที่มีระยะเวลาฝาก หรือถ้าใจกล้าหน่อย ก็ KGOLD แล้วเริ่มศึกษา ถ้าคิดว่าโอเค จึงค่อยเล่นหุ้น นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ เพราะลองหลายแบบแล้วฝากประจำเนี่ยไม่เวิร์ค เงินไม่ขยับ จากคุณ : demoney เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 16:57:18

ความคิดเห็นที่ 13 ผมก็คิดว่าจะเริ่มต้นวิเคราะห์กับ kgold ก่อนนั่นแหละครับ วิเคราะห์จังหวะการซื้อ ถึงแม้จะซื้อพลาดไปแต่ถ้าถือนานราคาก็ขึ้นเองนั่นแหละครับ จากนั้นค่อยไปเล่นในหุ้นเอาอีกทีหลังจากที่วิเคราะห์จังหวะการซื้อได้ดีขึ้นแ้ล้ว :) จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 17:03:39

ความคิดเห็นที่ 14 ผมไม่ค่อยได้เข้ามาห้องนี้เท่าไหร่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มาตั้งกระทู้ถาม รู้สึกประทับใจชาวสินธรมากครับ ที่เข้ามาตอบให้ความรู้อย่างเต็มใจ ผมจะพยายามศึกษาหาข้อมูลต่อไป หากมีปัญหาอาจจะต้องแวะมาสอบถามบ้างเป็นครั้งคราว ขอบคุณทุกๆท่านนะครับ จากคุณ : นายบู้บี้ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 22:40:51

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าจขกทมีรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ลองพิจารณาวิธีของผมดูนะครับ  ลงทุนอย่างไรถึงจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าฝากประจำกับธนาคารและได้มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ  สำหรับท่านที่เสียภาษี ควรจะใช้ประโยชน์จากการคืนภาษีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ผมเป็นคนหนึ่งที่ฐานภาษีอยู่ที่ 20% (รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 500,000 – 1,000,000 บาทต่อปี) สิ่งที่ผมทำเพื่อการลงทุนคือ ผมจะทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ตัวที่ให้ดอกเบี้ย (IRR) สูงกว่า 3% ต่อปี จากนั้นถ้าเอาไปคำนวณร่วมกับเงินคืนภาษี ดอกเบี้ยก็กลายเป็น 5-10% ต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งการลงทุนแบบนี้แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยครับ  ตัวอย่างดอกเบี้ยที่ได้จากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ แผน “Top Saver 10/4” ของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ท่านที่ไม่ได้คืนภาษี จะได้ IRR = 3.807% ท่านที่ได้คืนภาษี 10% จะได้ IRR = 5.093% ท่านที่ได้คืนภาษี 20% จะได้ IRR = 6.548% (ระดับฐานภาษีของผม) ท่านที่ได้คืนภาษี 30% จะได้ IRR = 8.217% ท่านที่ได้คืนภาษี 37% จะได้ IRR = 9.550%  ข้อดีของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์อีกอย่าง นอกเหนือจากคุ้มครองชีวิตแล้ว ยังไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 15% ของดอกเบี้ย เหมือนกับเงินฝากประจำ อย่างเช่น ถ้าเราฝากประจำกับธนาคาร ได้ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี เราจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 15% ของดอกเบี้ย นั่นก็เหมือนกับว่า เราได้ดอกเบี้ยจริงๆแค่ 3.00% * (100%-15%) = 2.55% ต่อปีเท่านั้น  ท่านที่สนใจการลงทุนกับการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ สามารถติดต่อผมหรือตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศได้นะครับ นอกจากประกันแบบสะสมทรัพย์แล้วทางบริษัทยังมีประกันแบบที่จ่ายน้อยแต่คุ้มครองสูงด้วย แต่ผมไม่ได้กล่าวถึง ณ ที่นี้ ปริญญา 0817504538 pnakhamin@gmail.com จากคุณ : ปริญญา (pnakhamin) เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 22:46:05

ความคิดเห็นที่ 18 [เพิ่มเติม สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบวิธีการคำนวณ IRR]  วิธีการคำนวณ IRR จะใช้หลักการพื้นฐาน คือ ค่าเงินอนาคต = ค่าเงินปัจจุบัน / (1 + อัตราเงินเฟ้อ)^ปี ; สัญลักษณ์ ^ แทนเครื่องหมายยกกำลัง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 3% ต่อปี เงิน 10,000 บาทของท่าน ถ้าผ่านไป 10 ปี จะมีค่า = 10000 / (1+0.03)^10 = 7441 บาท  การคิดดอกเบี้ยของประกันชีวิตก็ใช้หลักการนี้ครับ ผมจะยกตัวอย่างเช่นประกันชีวิตแผน “Top Saver 10/4” ของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ให้เราจ่าย 4 ปีๆละ 100,000 บาท คือจ่ายตั้งแต่ปีที่ 0 ถึงปีที่ 3 แล้วรอรับเงินในปีที่ 10 จำนวน 550,000 บาท ถ้าผมให้ตัวแปร i คือดอกเบี้ยหรืออัตราเงินเฟ้อ ผมจะได้สมการของ เงินที่จ่ายและเงินที่รับเทียบค่ากับ ณ ปัจจุบันคือ เงินที่จ่ายทั้งหมด = (100000 / (1 + i)^0) + (100000 / (1 + i)^1) + (100000 / (1 + i)^2) + (100000 / (1 + i)^3) เงินที่รับทั้งหมด = 550000 / (1 + i)^10 ถ้าผมแทน i = 3% ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย จะได้ผลลัพธ์คือ เงินที่จ่ายทั้งหมด = 382,861 บาท เงินที่รับทั้งหมด = 409,252 บาท กำไรจากแผนประกันนี้คือ 409252 – 382861 = 26,291 บาท หมายความว่า ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี เราก็ยังคงได้กำไร 26,291 บาท  แล้วท่านที่คืนภาษีหล่ะ เขาจะได้กำไรเท่าไหร่ ยกตัวอย่างกรณีของผม ผมสามารถเอาเบี้ยประกันชีวิตแผนนี้ ไปลดหย่อนภาษีได้ 20% ก็เหมือนกับว่า ผมจ่ายเบี้ยแค่ 80% ของยอดทั้งหมด ผมจะได้สมการของ เงินที่จ่ายและเงินที่รับเทียบค่ากับ ณ ปัจจุบันคือ เงินที่จ่ายทั้งหมด = (80000 / (1 + i)^0) + (80000 / (1 + i)^1) + (80000 / (1 + i)^2) + (80000 / (1 + i)^3) เงินที่จ่ายทั้งหมด = 306,289 บาท กำไรจากแผนประกันนี้คือ 409252 – 306289 = 102,963 บาท หมายความว่า ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี เราก็ยังคงได้กำไรจากดอกเบี้ยประกันรวมกับการคืนภาษี 102,963 บาท  ที่ผมแสดงวิธีการคำนวณข้างต้น เป็นการแทนค่าตัวแปร i ลงไปเลย เพื่อจะหากำไรขาดทุนภายใต้อัตราเงินเฟ้อค่าต่างๆ แต่ถ้าผมอยากจะหาว่า แผนประกันสะสมทรัพย์ตัวนี้ ให้อัตราดอกเบี้ย(IRR)กี่ % ต่อปี วิธีการคำนวณจะใช้หลักการคือ ผมจะต้องหาค่า i ที่ทำให้สมการข้างล่างเป็นจริง คือ เงินที่รับทั้งหมด = เงินที่จ่ายทั้งหมด หรือ เงินที่จ่ายทั้งหมด – เงินที่รับทั้งหมด = 0 ซึ่งสมการของแผนประกันสะสมทรัพย์ตัวนี้ จะเป็นดังต่อไปนี้ (100000 / (1 + i)^0) + (100000 / (1 + i)^1) + (100000 / (1 + i)^2) + (100000 / (1 + i)^3) – (550000 / (1 + i)^10) = D (ผมจะต้องหาค่า i ที่ทำให้ D=0) ถ้าเห็นสมการแล้วก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ไม่จำเป็นต้องย้ายข้าง ถอดรากใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากในโปรแกรม MS Excel จะมีส่วนที่เรียกว่า Goal Seek ซึ่งเพียงแค่เราอ้างอิงตัวแปรต่างๆไว้ไว้ในเซลต่างๆอย่างเป็นระเบียบแล้ว เราก็สามารถหาค่า i ที่ทำให้ D=0 ได้เลย ผลลัพธ์คือแผนประกันสะสมทรัพย์ตัวนี้ให้ดอกเบี้ย 3.807% ต่อปีครับ (ยังไม่รวมคืนภาษี) จากคุณ : ปริญญา (pnakhamin) เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 22:46:56