Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เปลี่ยน VS ไม่เปลี่ยน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=48927
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

โลกในมุมมองของ Value Investor        6 สิงหาคม 54 ดอกไม้
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในการลงทุนของ  “เซียน” หรือนักลงทุนที่ “มุ่งมั่น” นั้น  ดูเหมือนว่าจะมีความคิดเกี่ยวกับอนาคตหรือแนวโน้มของกิจการเป็น  2 แนวทาง   กลุ่มของเซียนที่กล้าได้กล้าเสียมากกว่า  อายุน้อยกว่า  กระตือรือร้นกว่า  และมีสปิริตของ  “นักเก็งกำไร”  มากกว่า  พวกเขาจะชอบการลงทุนในบริษัทที่กำลังมีการ  “เปลี่ยนแปลง”  ในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ  พวกเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ  และนั่นเป็นโอกาสที่เขาจะซื้อขายหุ้นทำกำไรได้มหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว

  นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะมีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มแรกมาก  พวกเขาน่าจะมีอายุมากกว่า  อนุรักษ์นิยมกว่า  เป็นพวกที่เน้นความปลอดภัยสูง  และมีสปิริตของ “นักลงทุน” มากกว่าการเทรดหุ้น  พวกเขาจะชอบการลงทุนในบริษัทที่มีความแน่นอนของผลประกอบการและชอบกิจการที่  “ไม่เปลี่ยนแปลง”  ในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ  พวกเขาเชื่อว่ากิจการที่มีความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไปง่าย ๆ  นั้น  จะทำให้เขาสามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำหรือใกล้เคียงความเป็นจริง  ดังนั้น  การซื้อหุ้นลงทุนจะมีความผิดพลาดน้อยกว่ากิจการที่มีหรือจะมีการเปลี่ยนแปลงสูง  คนกลุ่มนี้มีความคิดว่าผลตอบแทนที่จะได้จากหุ้นมาก ๆ  นั้น  อยู่ที่การเติบโตของกิจการในอนาคตจากผลิตภัณฑ์เดิม ๆ  ของบริษัท  พูดง่าย ๆ  พวกเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของยอดขายและกำไรของบริษัท  ดังนั้น  วิธีทำเงินก็คือ  ซื้อหุ้นที่มีลักษณะดังกล่าวแล้วถือไว้ยาว ๆ  โดยไม่ต้องทำอะไร  ยกเว้นแต่การคอยติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท

  การเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็สามารถจำแนกออกได้เป็นหลาย ๆ  กลุ่มที่เราสามารถพบเห็นในตลาดหุ้นได้ดังต่อไปนี้

  กลุ่มแรกที่พบได้มากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของบริษัทขนาดเล็กและโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีปัญหาหรือเคยมีปัญหาในการดำเนินงานและกำลัง “ฟื้นฟู” กิจการโดยผู้ถือหุ้นและผู้บริหารกลุ่มใหม่  การที่เป็นบริษัทขนาดเล็กทำให้การเปลี่ยนแปลงแบบ “พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ” นั้นทำได้ง่าย  วิธีการก็คือทำการเพิ่มทุนโดยผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่  แล้วก็ประกาศเปลี่ยนธุรกิจ  จากธุรกิจเดิมเป็นธุรกิจที่ “มีโอกาส” ทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว  อาจจะเพราะผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่เคยทำธุรกิจนั้นอยู่เช่น  ธุรกิจรับเหมาหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  หรืออาจจะเป็นธุรกิจที่กำลัง “ร้อนแรง”  และการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ง่ายเช่น  ธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทนต่าง ๆ  หรือถ้าเป็นบริษัทที่ทำทางด้านบริการก็อาจจะหันไปจับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบันเทิงหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ  เป็นต้น

  การเปลี่ยนแปลง “พื้นฐาน” ของกิจการเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างสิ้นเชิงนั้น  ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้ว  ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบความสำเร็จ  จริงอยู่  ในระยะยาวบริษัทก็อาจจะมีกำไรและทำให้บริษัทที่เคยมีปัญหาฟื้นตัวได้  แต่ถ้าหากกำไรที่ทำได้นั้น  เป็น “กำไรปกติ”  หรือเป็นกำไรที่เหมาะสมกับ “เงินลงทุน” ที่ใส่เข้าไปในบริษัท  ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอาจจะเท่ากับ 10% ต่อปีในระยะยาว  ถ้าเป็นแบบนี้  มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น  ดังนั้น  ราคาหุ้นก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น—ในระยะยาว  ความหมายก็คือ  ใส่เงินใหม่เข้าไปเท่าไร  ราคาหุ้นก็น่าจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น—ในระยะยาว

  อย่างไรก็ตาม  ในระยะสั้น  ราคาหุ้นนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อ”  ของนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์  ถ้า “สปอนเซอร์”  หรือคนที่เข้ามาเปลี่ยนกิจการสามารถโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำกิจการใหม่ให้มีกำไรได้อย่างรวดเร็วและสูงเหมือนกับกิจการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน  คนก็จะเข้ามาซื้อหุ้นและทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  และดังนั้น  คนที่เข้าไปเปลี่ยนกิจการหรือคนที่เข้าไปซื้อหุ้นไว้ก่อนก็สามารถขายหุ้นทำกำไรได้มากและรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

   กลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานของกิจการที่เป็นบริษัทใหญ่ขึ้นมาและไม่มีปัญหาการดำเนินงานนั้น  น่าจะเป็นกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงในวิธีหรือกลยุทธ์สำคัญในการทำธุรกิจ  ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเทคโอเวอร์กิจการที่เป็นคู่แข่ง และ/หรือ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมของตน  และในกระบวนการนั้น  ทำให้เกิดความได้เปรียบเนื่องจากขนาดหรือทำให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ในสายตาของลูกค้า  ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่บริษัทจ่ายไป  ลักษณะนี้จะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับกับ  “พื้นฐานใหม่”  คนที่เข้าไปซื้อหุ้นไว้ก่อนในราคาต่ำก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ  และก็เช่นเดียวกัน  ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไปทันทีเพียงเพราะว่านักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนเชื่อว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นจะเป็นจริง  อย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวแล้ว  ผลประกอบการที่ประกาศออกมาจะเป็นตัวกำหนดว่าพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น  ดีขึ้นหรือเลวลง  และราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานนั้น

  คนที่  “หากิน” กับความเปลี่ยนแปลงของกิจการนั้น  บ่อยครั้งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นฐานระยะยาวจริง ๆ  พวกเขามองหาการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นและมีผลดีอย่างใหญ่หลวงต่อผลการดำเนินงานของบริษัท  ตัวอย่างเช่น  บริษัทหรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายนั้น  ถ้าราคาสินค้าหรือบริการกำลังปรับตัวขึ้นและเขาคิดว่าด้วยความไม่สมดุลของการผลิตและการบริโภคที่กำลังเกิดขึ้นจะทำให้ราคาโภคภัณฑ์มีการปรับตัวขึ้นไปอีกมาก  แบบนี้  การซื้อหุ้นไว้ก่อนก็จะทำให้ได้กำไรมหาศาล  อย่างไรก็ตาม  คนที่สามารถคาดการณ์ได้จริง ๆ  ก็หาได้ยาก  โอกาสผิดพลาดมักจะมีสูง

  การเล่นหุ้นที่กำลังมีการ “เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ” นั้น  เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ  บ่อยครั้งเราไม่จำเป็นต้องคาดถูกหรือคาดผิดด้วยซ้ำ  เราเพียงแต่คาดถูกต้องว่า  “คนอื่นเชื่ออย่างไร” เพราะราคาหุ้นในระยะสั้นนั้นอยู่ที่ความเชื่อไม่ใช่ความจริง   ผลตอบแทนของการคาดการณ์ถูกต้องนั้นสูงมาก  เช่นเดียวกัน  ผลตอบแทนจากการคาดผิดก็เลวร้ายได้ไม่แพ้กัน  อย่างไรก็ตาม  คนที่เล่นเกมนี้ต้องเข้าใจว่ามีบางคนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่น  อย่างน้อย “สปอนเซอร์”  ก็รู้ดีกว่าคนนอก  ผู้เล่นรายใหญ่ที่มีพลังการซื้อและการชี้นำสูงก็อาจจะได้เปรียบรายย่อยที่เป็นฝ่ายรับข้อมูลมากกว่า

  กลับมาในกลุ่มของคนที่หากินกับการ  “ไม่เปลี่ยนแปลง”  นี่คือยุทธศาสตร์การลงทุนที่ “น่าเบื่อ”  เพราะโดยตัวธุรกิจเองนั้น  ธุรกิจที่บริษัททำอยู่นั้นมักเป็นธุรกิจที่ไม่ใคร่มีความคิดสร้างสรรค์มากมายนัก  เป็นธุรกิจที่เรียกว่า  “รูทีน”  ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นมานานส่วนใหญ่อาจจะนับสิบ ๆ  ปี   หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่เข้าข่ายก็มักจะเป็นกิจการที่ “แข็งแกร่ง” หรือ “ยิ่งใหญ่”  ทั้งในด้านการตลาดและการเงินเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน  ผลประกอบการนั้นมักจะคาดการณ์ได้แต่การเติบโตขึ้นเป็นหลายสิบหรือร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้น ๆ  ก็เป็นไปไม่ได้  ตัวหุ้นเองก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้นหรือลงหวือหวา  ดังนั้น  ถ้าคนชอบที่จะมีชีวิตการลงทุนที่มั่นคงพอสมควรและไม่ต้องการความกังวลใจกับการลงทุนตลอดเวลา  นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจและในระยะยาวแล้ว  ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยก็อาจจะไม่แพ้การลงทุนที่เน้นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสำหรับนักลงทุนที่มีศักยภาพพอ ๆ กัน

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 23:25:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com