สงครามชีวิต 196 ล้าน รู้จักเธอคนนี้ไหม
|
|
พอดีได้มีโอกาสอ่านเรื่องของเธอ กับปัญหาชีวิตมากมาย เธอบอกว่า "ถูกเลี้ยงเหมือนไข่ในหิน แต่ตอนเกิดปัญหาเหมือนปอกเปลือกของไข่ออก แล้วโยนลงไปในกระทะร้อน" กับช่วงเวลาของสถานการณ์หุ้นในตอนนี้ เลยอยากให้เธอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน ได้ผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ สุดท้ายอยากถามนิดหนึ่งว่า ถ้าเป็นคุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
http://www.youtube.com/watch?v=8vSr4b4Q_ec&feature=related
จากอดีตผู้บริหารสถาบันการเงินระดับพันล้าน ศรินทร เมธีวัชรานนท์ หญิงเก่งแห่งยุคเมื่อ 30 ปีก่อน เธอเพียบพร้อมทุกอย่างด้วยวัยเพียง 25 ปี แต่แล้วความสวยงามในชีวิตก็กลับตาลปัตรจากจุดสูงสุดลงสู่ห้วงเหวลึกอย่างไม่ ทันตั้งตัว...ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ตกเป็นจำเลยนักการเงินในข้อหาฉ้อโกงเงินบริษัท จำนวน 196 ล้านบาท และเธอต้องเสียเวลาชีวิตไป 10 ปี เพื่อหลบหนีความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ และอีก 4 ปี เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
คุณหนุ่ย ศรินทร เมธีวัชรานนท์ เล่าว่า เส้นทางชีวิตของเธอเหมือนปูด้วยทองคำตั้งแต่เด็กจนโต เรียนจบมัธยมจากโรงเรียนมาแตร์เดอี ก่อนจะได้ทุนบินไปเรียนต่อปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา คว้าบัณฑิตเกียรตินิยมกลับเมืองไทยในวัย 20 ปี และเริ่มต้นการทำงานกับบริษัท ทิสโก้ ในปี พ.ศ.2512 เธอฉายแววโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรการเงินจนถูกเจรจาขอซื้อตัวด้วยเงินเดือนที่ สูงกว่าเก่าถึง 2 เท่า แต่เธอก็เลือกที่จะเป็นคนที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
ต่อมาผู้ใหญ่ท่านเดิมที่เคยชวนไปร่วมงาน มีโครงการเปิดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จึงมาชวนให้ ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ร่วมเป็นผู้ก่อตั้งด้วย เธอจึงตอบตกลงโดยมีข้อแม้ว่าหาก 6 เดือน ไม่สามารถทำได้ก็จะขอลาออกเอง แต่เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น ความสามารถของ ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ก็สะท้อนให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเธอแข็งแกร่งพอที่จะยึดตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ใหญ่ได้อย่างสบาย
"ตอนที่เริ่มต้น เงินทุน 25 ล้าน แล้วก็เพิ่มเป็น 40 ล้าน ดิฉันบริหารมา 5 ปี ก็งอกเงยเป็นเกือบพันล้าน ตอนนั้นก็อายุ 30 ปีพอดี" ...ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ย้อนถึงช่วงชีวิตกำลังราบรื่นรุ่งโรจน์ ขณะเดียวกันเมฆดำก็เริ่มตั้งเค้ามาลาง ๆ เมื่อเจ้าของบริษัทคิดอยากจะเกษียณตัวเองและขายหุ้นใหญ่ในมือ ทำให้มีผู้คนสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียง แต่ผู้ใหญ่ในวงการก็สนับสนุนให้ ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ซื้อเอาไว้เอง เพราะเห็นว่าเหมาะสม เธอจึงตัดสินใจไปกู้เงินหลายสิบล้านบาท และได้ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในที่สุด
ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ใหญ่ ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ชีวิตของ ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ก็เริ่มพบจุดหักเห ตลาดหุ้นพังจากวิกฤตการณ์ "ราชาเงินทุน" จนประชาชนแห่มาถอนเงินคืน เพราะขาดความเชื่อมั่น สถานการณ์บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในตอนนั้นอยู่ในภาวะเลือดไหลไม่หยุด แต่เธอก็พยายามทำทุกทางให้บริษัทอยู่รอดด้วยการขายหุ้นทั้งหมดคืนให้กับ ธนาคาร ก่อนจะตัดสินใจลาออก
"ในช่วงเวลา 1 เดือน ก่อนที่กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่จะมารับช่วงต่อ เป็นช่วงที่เราต้องมอบหมายงานให้ คราวนี้แหละเมฆฝนก้อนใหญ่มาเลย 2 อาทิตย์ก่อนหมดวาระ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกไปประชุม และให้เราเซ็นเอกสารบางอย่างซึ่งเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้องทางการเงิน แต่เราไม่ยอม จึงถูกกักตัวไว้นาน 7 ชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ จึงขอโทรศัพท์กลับบ้านแล้วบอกกับสามีว่า ถ้าเที่ยงคืนยังไม่ถึงบ้าน ให้พาตำรวจมาบุก เพราะถูกกักตัวอยู่ จากนั้นเราก็ยืนยันอีกว่าจะไม่ยอมเซ็นเด็ดขาด และหากยังไม่ยอมปล่อยตัวก็จะมีตำรวจบุกมา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใหญ่ท่านนั้นเป็นอย่างมาก ถึงกับชี้หน้าและลั่นวาจาว่า "จำไว้ วันหนึ่งคุณจะเสียใจ" ก่อนปล่อยเราออกมา"
การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวในวันนั้น ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ไม่รู้เลยว่าจะทำให้เธอเสียเวลาในชีวิตไปอีก 14 ปีเต็ม ๆ เพราะหลังจากที่เธอออกมาทำธุกิจเล็ก ๆ กับสามี ได้ไม่นาน บริษัทเก่าก็แจ้งความว่าเธอยักยอกเงิน 196 ล้านบาท
"ตอนนั้นคือเราไปเอามาจริง ๆ เพื่อบริหารจัดการในบริษัทให้ลูกค้าถอนเงินตอนวิกฤตได้ แล้วเขาก็เอามาเชื่อมโยงใส่ความเรา ให้ลูกน้องเก่าเราไปเป็นพยานเท็จ คนหนึ่งไม่ยอมก็ไม่ก้าวหน้า ส่วนอีกคนยอม ได้เลื่อนตำแหน่ง ตอนนั้นแทบล้มทั้งยืน ทั้งเจ็บแค้นและกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เข้าใจเลยว่าหนีตามระเบียบมันเป็นอย่างไร"
ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ตัดสินใจหนีไปต่างประเทศ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจกลับเข้าไปหาหลักฐานในบริษัทเก่าที่เป็นผู้ฟ้องเธอได้ อีก และก็คงไม่สามารถต่อสู้ทางคดีได้สำเร็จแน่ ๆ เธอจึงต้องระหกระเหินจากกรงทองของตัวเองไปยังคอนโดร้างค่าเช่าถูกในต่างแดน อาศัยหลับนอนในห้องขนาด 3X4 เมตร มีเพียงวิทยุเล็ก ๆ เป็นเพื่อนแก้เหงา เพื่อรอเวลาให้หมดอายุความ
"มีอยู่คืนหนึ่งเป็นคืนวันคริสต์มาส เราคิดถึงครอบครัวจึงส่งสารไปหาด้วยแฟ็กซ์เครื่องเล็ก ๆ ที่หยิบติดมือมาด้วย แต่พอสามีตอบกลับมาว่าส่งมาทำไมเยอะแยะ ก็น้อยใจอยากฆ่าตัวตาย แต่ตายไม่ได้ ในห้องไม่มีอะไรที่ทำให้เราฆ่าตัวตายได้เลย จึงนั่งสวดวิงวอนพระเจ้า มารู้สึกตัวอีกทีเหมือนเกิดความคิดที่ไม่ได้คิดในสมองบอกเราว่าอย่าท้อถอย จากนั้นเหมือนเราได้สติปัญญา เราคิดว่าถ้าจะอยู่ได้ก็ต้องให้อภัย แต่มันให้อภัยยากมากเลย ใจเรายังให้อภัยไม่ได้จริง ๆ จึงสวดบอกพรเจ้าให้ช่วยทำอยู่อย่างนั้นจนไฟในใจมันสงบลง"
หลังจากหมดอายุความ ศรินทร เมธีวัชรานนท์ เลือกที่จะกลับมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ก็ทำได้ยากมาก การกลับเข้าไปขอพบคนในบริษัทเก่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เธอใช้ความพยายามอยู่ 4 ปี กระทั่งยอมเสียมารยาทผลักประตูเข้าไปพบผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของบริษัทเก่า และขอค้นโกดังเอกสารสำคัญ และนั่นทำให้เธอได้พบกับเอกสารการโอนเงิน 196 ล้านบาท อย่างไม่น่าเชื่อ
กว่า ความจริงจะปรากฎและคดียุติลงด้วยการที่บริษัทยอมถอนฟ้อง ศรินทร เมธีวัชรานนท์ ต้องได้รับความทุกข์ทรมานตลอดช่วงระยะเวลา 14 ปี แต่เธอก็ไม่คิดจะฟ้องเรียกค่าชดเชยใด ๆ เพราะต้องการอโหสิและให้อภัย หลังจากนั้นก็หันมาสร้างธุรกิจใหม่ ทว่าต้องเจอกับบททดสอบชีวิตอีกครั้ง เมื่อสามีคู่ชีวิตมาตีจากและพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งทำให้ธุรกิจฉากกั้นอาบน้ำ และตู้อาบน้ำของเธอโซซัดโซเซ แต่ในท้ายที่สุดก็สามารถข้ามพ้นมรสุมครั้งนั้นมาได้ และหมายมั่นจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นภายในอีก 2 ปีข้างหน้า นั่นอาจเป็นเพราะความทุกข์ยากที่ผ่านมาหล่อหลอมให้เธอใช้หลักธรรมต่อสู้ อย่างไม่ท้อถ้อย บวกกับความสามารถที่มีเป็นทุนเดิม ทำให้ ศรินทร เมธีวัชรานนท์ กลับมายืนหยัดอย่างแข็งแกร่งอย่างหญิงเก่งได้อีกครั้ง
แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 54 17:26:17
แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 54 17:25:09
จากคุณ |
:
omega45
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ส.ค. 54 17:11:40
|
|
|
|