การลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันและภาษีน้ำมันเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด
|
|
วันนี้ไทยเราควรคิดแบบเสรี การอุดหนุนพลังงานทางเลือกโดยใช้เงินภาษีและกองทุนน้ำมันเป็นทางที่ผิด และรัฐควรปล่อยลอยตัวราคาก๊าซ น้ำมันทุกประเภทอย่างเสรี และใช้แนวทางภาษีอื่นในการแก้ปัญหา วันนี้หลายคนบ่นว่ารัฐทำให้คนผลิตเอทานอลได้รับผลกระทบ แต่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามว่า การอุดหนุนโดยใช้ภาษีประชาชน ประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือ เพราะไม่จริง ถามว่าอีกกี่ปี กี่ชาติ ที่รัฐบาลไม่ต้องอุดหนุนทั้งเอทานอล ก๊าซธรรมชาติ มันใช้งบเท่าไรต่อปีซึ่งเกือบแสนล้าน และถ้าไม่อุดหนุน เขาอยู่ได้ไหม คนผลิตเคยปรับตัวไหม ที่เพิ่มความสามารถการแข่งขัน การยกเลิกทั้งเงินเข้ากองทุนน้ำมันและยกเลิกภาษีน้ำมัน ช่วยให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์ทันที คือราคาลดลง ทำให้มีเงินออมเพิ่มขึ้นทันที แถมได้ใช้เบนซินที่มีคุณภาพที่ดีกว่า ในราคาที่เหมาะสม แล้วแนวทางไหนเหมาะกับไทย ต้องเรียนว่า การอุดหนุนตามหลักเศรษฐศาสตร์ใช้ในระยะสั้นเท่านั้นเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขัน แต่ไม่เหมาะใช้ระยะยาว เพราะทำให้โครงสร้างระบบเศรษฐกิจบิดเบี้ยว เป็นภาระภาษีตกอยู่กับประชาชน ระยะยาว การอุดหนุนเอทานอล และการตรึงแอลพีจี เอ็นจีวี ควรหยุดและหาแนวทางอื่น แนวทางที่จะช่วยคนผลิตเอทานอล ควรเป็นการช่วยด้านต้นทุนเงินกู้ที่ต่ำ ช่วยด้านเทคโนโลยี ขณะที่การลอยตัวก๊าซจะไม่ส่งผลลบมากนัก เพราะรัฐบาลก็จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว ซึ่งช่วยลดผลกระทบได้ แนวทางหนึ่งในภายหลังการหยุดเก็บภาษีน้ำมัน คือการเก็บภาษีรถยนต์แทน เพราะวันนี้การเก็บภาษีน้ำมัน ทำให้คนทั้งประเทศมีค่าครองชีพสูง และไม่ช่วยการประหยัดน้ำมัน เพราะคนรวยก็ยังใช้รถขนาดใหญ่ ซึ่งก็ใช้น้ำมันมากอยู่ดี ดังนั้นควรขึ้นภาษีรถยนต์ขนาดใหญ่และรถยนต์ราคาแพงในสัดส่วนเดียวกับที่มีการลดภาษีน้ำมัน ประเทศไทยควรเร่งให้เกิดเสรีด้านพลังงาน เพราะเราเป็นผู้นำเข้า ถ้ามีการอุดหนุน ภาระภาษีจะตกกับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะตกกับคนจน เพราะคนจนใช้พลังงานน้อยกว่าคนรวยมาก สรุปคือ เห็นด้วยกับการเลิกอุดหนุนเงินกองทุนน้ำมัน และยิ่งเห็นด้วยถ้ารัฐเร่งเสรีพลังงานอย่างเร็ว เพื่อนำเงินภาษีมาช่วยคนจน ไม่ใช่อุ้มคนรวยเหมือนที่เป็นอยู่
จากคุณ |
:
Shuji of thailand
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ส.ค. 54 13:35:05
|
|
|
|