ในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น
วิชาที่ผมไม่ชอบที่สุดวิชาหนึ่งก็คือ ... ชีววิทยา
เหตุผลก็เพราะ
มันเป็นวิชาที่ผมจะต้องท่องจำมากที่สุด
โดยที่ผมไม่รู้ว่าจะจำไปทำไม
ยกเว้นแต่ว่า
จะต้องไปทำข้อสอบ
การจำนั้น
บ่อยครั้งเป็นการจำที่ไม่มีพื้นฐานอะไร
ที่เป็นเหตุเป็นผลเลยสำหรับผม
เช่นต้องจำว่าใบไม้ชนิดไหนมี กี่แฉก
หรือต้องจำชื่อเซลแปลก ๆ จำนวนมากว่า
มันมีรูปร่างและทำงานอย่างไร
นี่ประกอบกับการที่ผมไม่คิดว่า
จะเรียนต่อทางสายแพทย์หรือวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต
ผมจึงเรียนวิชาชีววิทยาเพียงแค่ พอผ่าน
หลังจากนั้นผมก็เลิกสนใจความรู้ทางด้านนี้ไปเลย
ผมกลับมาสนใจเรื่องของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง แน่นอน
รวมถึงมนุษย์หรือคนเราด้วย เมื่อได้มีโอกาสอ่านหนังสือพ็อคเก็ตบุค
ซึ่งเขียนเพื่อให้คนเข้าใจง่ายเกี่ยวกับเรื่อง วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ตามทฤษฎีของ ชาร์ล ดาร์วิน
หนังสือในแนวนี้เริ่มมีแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
พร้อมกับคำอธิบายและทฤษฎีใหม่ ๆ ของนักวิชาการรุ่นใหม่ ๆ
หลังจากอ่านหลาย ๆ เล่มผมก็พบว่า
แท้ที่จริงแล้ว เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต
ซึ่งรวมถึงคนด้วยนั้น สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
ร่างกาย จิตใจ พฤติกรรม สังคมและการเมือง
นี่เป็นเรื่องน่าทึ่ง และในฐานะที่เป็น Value Investor
ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้
อย่างน้อยที่สุดมันคงช่วยให้ผมเรียนรู้ถึงพฤติกรรมของนักลงทุน
ในตลาดหุ้นที่ผมลงทุนอยู่
และก็โดยบังเอิญ
ความรู้เรื่อง Behavioral Finance หรือ การเงินพฤติกรรม
ก็เป็นเรื่องที่กำลังได้รับการศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องจากมันสามารถอธิบายความ ผิดปกติ
ในตลาดการเงินได้ดี
มันช่วยในการลงทุนของเราไม่น้อยไปกว่า
ทฤษฎีการเงินสายหลักอย่างทฤษฎี
ตลาดที่มีประสิทธิภาพ หรือที่เรียกว่า Efficient Market
ที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า
นักลงทุนในตลาดหุ้นนั้น เป็นคนที่มีเหตุผล
และไม่ได้ใช้อารมณ์ในการลงทุน
ในความเห็นของผม
ทฤษฎีวิวัฒนาการนั้น มันมีพื้นฐานที่ง่ายมาก
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันทรงพลัง ในการที่จะอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ
หัวใจสำคัญก็คือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนั้น
ต่างก็มาจากการปรับตัวและปรับปรุงจากสิ่งมีชีวิตอื่น
การปรับตัวและปรับปรุงนั้น
ไม่ได้มีเป้าหมายหรือทิศทางแต่เป็นการได้มาโดยบังเอิญ
เนื่องจากการ ผ่าเหล่า ของยีนส์
ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใดและอย่างไร
หัวใจสำคัญก็คือ เมื่อมีสิ่งที่ ดี
เกิดขึ้นจากการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง
สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะเก็บสิ่ง ดี นั้นไว้และส่งต่อให้ลูกหลาน
คำว่า ดี นั้น ไม่ใช่ดีในแง่ของ...ศีลธรรม
ที่เราเข้าใจกัน
แต่เป็นสิ่งที่ดีในแง่ของชีวิตหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่า
ก็คือดีในแง่ของยีนส์
นั่นก็คือ มันทำให้ยีนส์เผยแพร่ไปได้มากขึ้น
การที่ยีนส์จะเผยแพร่ต่อไปได้
หรือเผยแพร่ได้มากขึ้นนั้น
สิ่งมีชีวิตทุกชนิด
จะต้องมีภารกิจหรือ Mission สำคัญสามอย่าง
นั่นก็คือ
หนึ่ง มันจะต้องพยายาม กินสิ่งมีชีวิตอื่น
สอง มันจะต้อง หลีกหนีการถูกกิน และ
สาม มันจะต้อง สืบพันธุ์
หรือส่งต่อยีนส์
ไปให้ได้มากที่สุด
และนี่คือ
สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทำเป็นหลัก
สิ่งที่ทำนอกเหนือจากนี้เป็นสิ่งประกอบ
เพื่อที่จะเสริมให้ภารกิจหลักบรรลุเป้าหมาย
ว่าที่จริง
สิ่งมีชีวิตที่ ไม่ซับซ้อน
เช่นพวกแบคทีเรีย ไส้เดือน หรือสัตว์ ชั้นต่ำ
ทั้งหลายนั้น จะไม่ทำภารกิจเสริมเลย
สัตว์ชั้นสูง
ที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่ที่อยู่ในป่า เช่น
เสือหรือกวางเองก็ทำภารกิจเสริมน้อยมาก
ในแต่ละวัน
มันคิดแต่ว่าจะกินสัตว์อื่นได้อย่างไร
จะหลีกหนีการถูกกินหรือเอาตัวรอดได้อย่างไร
และจะมีโอกาสผสมพันธุ์ไหม
ในขณะที่มนุษย์หรือคนเรานั้น
เราทำภารกิจเสริมมากมาย
จนบางครั้งเราลืมคิดไปว่าภารกิจหลักคืออะไร
อย่างไรก็ตาม จิตใต้สำนึก
จะเป็นคนที่ชี้นำหรือสั่งเราเองว่า
เราจะต้องตัดสินใจทำอะไรหรือทำอย่างไร
ที่จะทำให้เราบรรลุภารกิจหลัก
จากพื้นฐานดังกล่าว
เราก็สามารถที่จะรู้หรือคาดการณ์การกระทำ
หรือพฤติกรรมของคนได้ถูกต้องขึ้น เช่นเดียวกัน
เราก็สามารถทำความเข้าใจ
เกี่ยวกับพฤติกรรมของสังคมหรือวัฒนธรรมได้ว่า
ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น
ในประเด็นนี้ เราจะต้องนำ สิ่งแวดล้อม
เข้ามาประกอบการวิเคราะห์
เพราะสิ่งแวดล้อมแบบหนึ่งนั้น
มีผลต่อการกินหรือถูกกินและการสืบพันธุ์ต่างกัน
ร่างกายและจิตใจมนุษย์ ถูกออกแบบ
หรือได้รับการปรับปรุงมาตั้งแต่โบราณนับได้ถึงสองแสนปีแล้ว
และแม้ว่าจะมีการปรับปรุงมาตลอด
เพื่อให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ
แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร
ในช่วงประมาณหนึ่งหมื่นปี ก่อนที่เราเริ่มเปลี่ยนจากการล่าสัตว์และหาของป่า
มาทำเกษตรกรรม
ทำให้ร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทัน
ยิ่งถ้าคิดถึงการเปลี่ยนแปลงเมื่อประมาณ 300 ปี
ก่อนที่เกิดการปฏิวัติอุตสากรรม นั้น
ก็ยิ่งทำให้ร่างกายของเรา เพี้ยน
ไปจากที่เหมาะสมต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นั่นคือ
ร่างกายของเราถูกออกแบบมาสำหรับการล่าสัตว์
หาของป่าแต่ต้องมาอยู่ในสังคมที่ก้าวหน้ามาก
และสามารถหาอาหารได้อย่างง่ายดายในซุปเปอร์มาร์เก็ต
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
มนุษย์ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องปฏิบัติภารกิจในชีวิต
สามประการ
พฤติกรรมที่แตกต่างไปจากนี้
ที่ไม่เป็นการเสริมกับภารกิจหลักนี้ ย่อมไม่มี
มนุษย์ทุกคนทำทุกอย่าง... เพื่อตนเอง
ถ้าพูดกันตามภาษาที่เราคุ้นเคยก็คือ
คนย่อม เห็นแก่ตัว
หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องขึ้นไปอีกก็คือ ยีนส์ย่อมเห็นแก่ตัว
และยีนส์ก็คือคนที่คุมคน
ดังนั้น คนจึงเห็นแก่ตัว
ว่าที่จริง
ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัว ป่านนี้คนก็คงหมดโลกไปแล้ว
เพราะคนจะ ถูกกิน หมด
ก่อนถึงวันนี้
อย่าลืมว่าในสมัยแสนปีที่แล้ว
มนุษย์ไม่ได้สบายแบบวันนี้
และยังต้องคอยหนีเสืออยู่ในป่า
เช่นเดียวกับที่ต้อง ถูกกิน
โดยเชื้อโรคทั้งหลายโดยที่ไม่มียารักษา
ผมเขียนมายืดยาว
เป็นเรื่องที่พื้นฐานมาก
การประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตในฐานะ VI นั้น
แต่ละคนก็ต้องทำเอง
การหาความรู้เพิ่มเติมโดยเฉพาะ
ในด้านของจิตวิทยาของคน
ซึ่งก็มีคนเขียนไว้ไม่น้อยที่เรียกว่า จิตวิทยาวิวัฒนาการ
ซึ่งเป็นสาขาจิตวิทยา แนวใหม่
ที่กำลังได้รับการยอมรับ
เนื่องจากสามารถอธิบายเรื่องของจิตวิทยา
หรือพฤติกรรมคนได้ดีกว่าจิตวิทยาแนวเดิม
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ VI
เข้าใจชีวิตและสังคมดีขึ้น
และน่าจะทำให้มีโอกาส กินคนอื่น
แทนที่จะ ถูกกิน
ในสมรภูมิหุ้น
เหนือสิ่งอื่นใด
มันน่าจะทำให้เราไม่ ซื่อ
จนเกินไป
คิดว่ามีคนที่ ไม่เห็นแก่ตัว
เอา อาหาร มาให้เรากิน
แทนที่เขาจะกินเสียเอง
อย่าลืมว่าตลาดหุ้นนั้น
ถ้าเทียบกับยุคหินก็คือป่าที่เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด
ที่ต่างก็ต้องการ กินคนอื่น
ถ้าเผลอ
คุณก็มีโอกาสเป็น ..อาหาร
ของพวกเขาเสมอ
---
...เรียนรู้ชีวิต...
โลกในมุมมองของ Value Investor
19 มีนาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร