|
ตอบเท่าที่ผมรู้ และหรือคาดการณ์ว่าจะเป็นอย่างนั้น ข้อมูลที่ผมพิมพ์อาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้อง 100% แต่เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง
ทองคำมี cycle ตามเหตุการณ์เหล่านั้น และวงรอบของแต่ละครั้ง ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ การแก้ไข และความยืดเยื้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวมันเอง และไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้เมื่อไหร่ แต่จากการดูภาพ (ตามแนบ) จะสังเกตว่าทองคำที่ถูกไล่ราคาขึ้นไปสูงๆ และถึงจุด Peak มันจะดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว เพราะอะไร? ก็เพราะว่า อย่างเช่นช่วงสงคราม แน่นอนคนต้องการเก็บสินทรัพย์ให้ปลอดภัยและ "มีมูลค่าในตัวของมันเอง" แต่สุดท้ายแล้วคนก็จะ "ขายออกมา" เนื่องจากต้องใช้เงิน ในการเอาไปทำอย่างอื่นเช่น การซ่อมบำรุง ซื้อของกินของใช้ หรือโปะหนี้ อะไรก็ตาม เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ดังกล่าวความรุนแรงลดลง หรือเริ่มคลี่คลายลง ทองคำก็จะถูกเทขายออกมาเพราะคนต้องเอาทองคำไปใช้ ซื้อสิ่งที่ "จำเป็นต่อชีวิต" มากกว่าสะสม ดังนั้นทองคำจากที่เราเห็นคือราคามักจะขึ้นไปเป็นแท่งแบบ Spike คือแหลม พุ่งเร็วขึ้นไป และก็จะตกลงมารุนแรงเช่นเดียวกัน ดังนั้นทองคำในช่วงเวลาวิกฤต มันคือโอกาสที่จะทำกำไร ซื้ออย่างรวดเร็วและราคาวิ่งแรง ช่วงที่ราคากำลังขึ้นอย่างแรงงงงที่สุดนี่แหละ คือช่วงที่สมควรขายที่สุด แต่อย่าถามว่าช่วงไหนคือช่วงแรงที่สุด เพราะในช่วงเหล่านั้น มันก็จะมีการพักตัวของราคาของมันเอง ไม่แน่ทอง 1900 ในวันนี้อาจจะเป็นแค่ฐานของทอง 3000 ในวันหน้า หรือ ทองคำ 1900 ในวันนี้ อาจจะเป็นยอด Peak ที่สุดแล้วก็ได้ สุดท้ายเราไม่มีใครรู้ว่าทองคำจุดไหนกันแน่คือจุดสูงสุด แต่ว่า ที่แน่ที่สุดคือ คนรับไม้สุดท้าย บนสุด คือคนที่เจ็บหนักที่สุด
ทองคำในปัจจุบันเป็นทองคำในรูปแบบของ Financial Paper Market ซื้อขายโดยเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และไม่มีทองคำจริงๆ ไม่มีการส่งมอบทองคำ คิดเป็นมูลค่ามันคงเป็นหลาย "ล้านล้าน" เหรียญ เพราะทองคำแท้จริงบนโลกเราที่ขุดขึ้นมาได้ มีเพียงแค่ 160,000 ตัน (อาจจะมากน้อยก็คงไม่มากแล้วเพราะปัจจุบันทองคำเริ่มหายาก) ถ้าเราตีมูลค่าทองคำที่เป็น "ทองจริง" จะมีมูลค่าประมาณ
- 32.1508 ทรอยออนซ์ = 1 กิโลกรัม x 1,000 กิโลกรัม = 1 ตัน ดังนั้นเท่ากับ 32,150.8 ทรอยออนซ์ คือ 1 ตัน - 160,000 ตันที่โลกมี (โดยประมาณ) x 32,150.8 = 5,144,128,000 - 1 ทรอยออนซ์ = 1,900 เหรียญ (ราคาสมมติฐานสูงสุดไปเลย) x 5,144,128,000 = 9,773,843,200,000 เหรียญ หรือประมาณ 293,215,296,000,000 บาท (293 ล้านล้านบาท) จำนวนทองคำที่เล่นกันในกระดาษมีมูลค่าจริงๆเยอะกว่านั้น เพราะทองคำที่เห็นมันรวมไปถึง ทองคำที่เก็บสำรองในธนาคารกลาง ทองคำที่เป็นเครื่องประดับ ฯลฯ ซึ่งทองคำจริงๆที่ลงทุน มันมีน้อยกว่านั้นมาก ดังนั้นทองคำกระดาษในปัจจุบัน คือทองคำที่ออกมาอ้างอิงกับตลาด แต่ไม่มีทองคำจริงๆเป็นของประกันเอาไว้ ต่อให้เอาทองคำทั้งโลกไปใช้หนี้ให้สหรัฐ ก็ยังไม่พอ เพราะหนี้สหรัฐมีมูลค่าประมาณ 14 ล้านล้านเหรียญ ในขณะที่ทองคำปัจจุบัน มีมูลค่าแค่ประมาณ 9.7 ล้านล้านเหรียญ เหอๆๆ
ผู้เล่นและเก็งกำไรในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่มีกองทุน หรือสถาบัน แต่มีรายย่อย มีธนาคาร มีเฮดจ์ฟันด์ ฯลฯ ที่เข้าไปรุมร่วมกับทองคำ โดยเฉพาะทองคำที่เก็งกำไรแบบกระดาษ ไม่มีการส่งมอบทองคำจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากการปั่นหุ้นมีแต่ตัวเลขกับระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นที่มากและนอกเหนือไปกว่านั้นเลย ดังนั้นการทำราคาของทองคำ จึงไม่ยากเพราะราคาทองคำถูกกำหนด 24 ชั่วโมง โดยตลาดหลักแค่ 3 แห่งคือ ฮ่องกง ลอนดอน และนิวยอร์ค เปิดในช่วงเช้าวันจันทร์ และปิดช่วงเย็นวันศุกร์หลังนิวยอร์คปิด
จำนวนผู้เล่นในตลาดทองคำจริงๆที่สามารถควบคุมราคาได้ มีแค่ไม่กี่ราย ส่วนใหญ่ก็คือกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของต่างชาติ ที่เน้นเล่นแรงและเร็ว ต้องเข้าใจว่าเฮดจ์ฟันด์ปัจจุบัน ไม่ใช่กองทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่ตอนนี้มันเหมือนเป็นกองทุนที่เล่นเสี่ยงอย่างหนักเพื่อผลกำไร ดังนั้นการเล่นเพื่อหาผลตอบแทนเป็นจำนวนมาก อย่างที่เราเห็นคือการถล่มประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือการถล่มตลาด commodities เพราะจะสามารถเล่นได้รวดเร็วกว่า มีผู้เล่นมากกว่า ทำกำไรได้ง่ายกว่า ดังนั้นเราจะไม่เห็นกองทุนเหล่านั้น "ปั่นหุ้น" เพราะนั่นมันเด็กเกินไป แต่พวกนี้คือปั่นโลก ปั่นป่วนระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ถ้าหากคิดว่าทำได้จริงหรือไม่ ย้อนไปดูปี 40 กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เข้ามารุมถล่มไทย มีเพียงไม่กี่กองทุน และสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามมาก แต่ผลที่ตามมาคือ เศรษฐกิจตกต่ำและเป็นผลกระทบไปทั่วโลก
อย่าถามว่ากองทุนเหล่านี้มีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมหรือไม่ ... เพราะจากที่คุณเห็นคุณคงทราบดี
การผลิตทองคำของโลกมีหลายแห่ง ก่อนหน้านี้ประเทศไทยและดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า "สุวรรณภูมิ" เนื่องจากเป็นดินแดนที่มีทองคำเยอะ โดยเฉพาะเหมืองแร่ทองคำที่เราทำกันมาอย่างยาวนาน และทองคำเป็นของมีค่าสงวนสำหรับราชวงศ์เท่านั้น ประชาชนมาสวมใส่มิได้ ทองคำเป็นของที่มาจากดิน ดังนั้นคนที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์คือ "พระเจ้าแผ่นดิน" เท่านั้น และจะใช้ทองคำเหล่านั้นได้ต่อเมื่อ พระมหากษัตริย์ ใช้พระราชอำนาจในการพระราชทาน ก่อนหน้านี้เรามีกฎหมายด้วยที่ห้ามใช้เครื่องประดับเป็นทองคำ แต่ถูกชำระไป ในช่วงประมาณ รัชกาลที่ 4 ที่ 5 เพราะมันล้าสมัยเนื่องจากยุคสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงระบบเก่าๆเดิมๆออกไป ยุคที่เข้มข้นที่สุดของทองคำ อยู่ในช่วงอยุธยา โดยเฉพาะพงศาวดารของต่างประเทศที่บันทึกไว้เยอะแยะว่า ทองคำในพระราชวังมีมากมายเหลือล้ำ อย่างเช่นทองคำที่หล่อกับพระพุทธรูป หรือประดับอยู่ในท้องพระโรง พระราชวัง พระราชอาสน์ และเครื่องประกอบยศ ล้วนทำจากทองคำ สมัยก่อนไม่มีหรอกพวกนิเกิ้ล โครเมียม จะมีแค่ไม่กี่อย่างก็ทอง เงิน ทองแดงเท่านั้น ซึ่งของใช้ของกษัตริย์โบราณที่เป็นทองคำ มีตั้งแต่ไม้จิ้มพระทนต์ (ไม้จิ้มฟัน) พวกช้าง ม้า วัว ควาย (ตัวเล็กๆ สำหรับพระโอรสเล่นเป็นของเล่น) ราบพระบาท (รองเท้า) และของใช้ส่วนพระองค์อื่นๆ ล้วนทำจากทองคำ สุดท้ายแล้วทองคำเหล่านั้นถูกเผา และลอกออกไปจากไทยหลังสิ้นกรุงครั้งที่ 2
ว่ากันว่าทองคำของไทยจากสมัยนั้น (ที่ไปตีมาจากเมื่ออื่นแล้วยึดมานั่นแหละ) มีมากกว่า 200 ตัน (หรือมากกว่านั้น) (ยอดเหล่านี้ขอให้หมายเหตุนิดนึงตรงที่ว่า มันเป็นยอดประมาณการจากสายตา และประมาณอย่างหยาบๆคร่าวๆเท่านั้น) หลังจากทองคำที่ลอกออกไปทั้งหมดตั้งแต่ในท้องพระโรง (ที่ตอนนี้เหลือแต่ซาก) จนถึงพระพุทธรูปต่างๆ เราถูกลอกออกไปจนหมด เมื่อพม่านำกลับไปประเทศ ยุคสมัยหลังจากนั้นก็เฟื่องฟู จนกระทั่งอังกฤษเข้ามาเป็นอาณานิคม ทองคำเหล่านั้นปัจจุบันคงออกไปอยู่ที่อังกฤษ และเป็นไปได้ว่าทองคำโบราณของไทย คงจะกระจายออกไปทั่วโลก แต่จริงๆผมคิดว่าน่าจะมากกว่า 200 ตันนะที่เป็นของไทย เพราะสมัยนั้นดินแดนแห่งนี้มีเหมืองทองคำเยอะพอสมควร (ตั้งแต่พม่า ไทย กัมพูชา ลาว มาเล เวียดนาม จนไปถึงตอนใต้ของจีนและอินเดีย)
แหล่งผลิตหลักๆของโลกในตอนนี้ส่วนใหญ่อยู่ในอินเดีย และแอฟริกา จริงๆต้องบอกว่าทองคำมันมีเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก เพราะมันเกิดจากดิน ที่มีการรวมกันของแร่ธาตุ ไม่เหมือนเพชรที่จะอยู่ในบริเวณใกล้แถบภูเขาไฟ หรือภูเขาไฟเก่าเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่เคยเห็นว่าประเทศไทย มีเหมืองเพชรอยู่ แต่เหมืองทองคำแต่ก่อนเรามีเยอะ เพราะที่ดินบริเวณนี้อุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีแร่ธาตุในดินมาก การเติบโตของพืชและเกษตรจะดี
ปัจจุบันทองคำของโลก (ไม่รวมทองคำสำรองทั่วโลก) เป็นเครื่องประดับมากกว่า 2,400+ ตัน, อุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ 300+ ตัน อุตสาหกรรมอื่นๆ 95+ ตัน, ทันตกรรม 60+ ตัน, การลงทุนรายย่อย 250+ ตัน, เหรียญกษาปณ์/เหรียญพิเศษ 220+ ตัน การลงทุนรายย่อยอื่นๆ 250+ ตัน สัดส่วนเราจึงเห็นว่าทองคำเป็นเครื่องประดับมากที่สุด ส่วนทองคำอื่นๆที่ไม่ได้รวมอยู่ในที่นี้ ก็จะกระจายออกไปเป็นสะสมในธนาคารกลาง ของประเทศ หรือกองทุน หรือเศรษฐีที่เป็นทองคำหลบซ่อน หรือสูญหาย
ทองคำในปัจจุบันที่กำลังเล่นกันอยู่ คือทองคำกระดาษหรือที่เรียกว่า "Derivatives" เช่นน้ำมัน ทองคำ น้ำตาล ฝ้าย ข้าว ทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เอาเข้ามาอยู่ในตลาดกระดาษที่ไม่มีการส่งมอบของกันจริงๆ หรือสิ่งที่วอเรน บัฟเฟตว่าเอาไว้ว่ามันคือหายนะของเศรษฐกิจโลก
"Weapon of Mass Destruction"
อันนี้เท่าที่มาจากความรู้อันน้อยนิด + National Geographic ฉบับ ม.ค. 52 ครับ ^^
ปล. แถมสูตรคำนวณราคาทองคำของสมาคมทองคำประเทศไทย = (Spot Gold + 2) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729
จากคุณ |
:
venezier
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ก.ย. 54 20:42:16
|
|
|
|
|