ความคิดเห็นที่ 1 แต่มีทองนี่ครับ อิอิ จากคุณ : trainz10 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 14:50:17

ความคิดเห็นที่ 2 0% เพราะอเมริกามีสกุลเงินกู้ต่างประเทศและสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเดียวกัน คำถามเดียวกับ ไทยมีโอกาสเบี้ยวหนี้เงินบาทมั้ยนั่นหละครับ จากคุณ : hunchback เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 14:54:48

ความคิดเห็นที่ 3 ด้วยศักยภาพของอเมริกา แม้หนี้เยอะจริงแต่ก็หาเงินใช้หนี้ได้ครับ เพราะอเมริกาเองก็มีอุตสาหกรรม มีน้ำมัน และมีภาคการผลิตที่มีประสิทธิภาพ เพียงแต่ปริมาณการบริโภคก็มาเช่นกัน มันแตกต่างจากกรีซที่ตอนนี้หนี้สินล้นพ้นตัว และยังคิดไม่ออกว่าจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ได้จนหมด เพราะศักยภาพของกรีซไม่ใช่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมมาก ไม่ได้มีการส่งออกเยอะแบบประเทศอื่นๆ อเมริกาแม้มีหนี้เยอะก็จริง แต่ถ้าดำเนินมาตรการรัดเข็มขัด ก็สามารถใช้หนี้ได้ในเวลาไม่นานมากครับ เช่นเดียวกับไทยช่วง 40 เราก็มีศักยภาพมากพอที่จะบริหารหนี้สินได้ เพราะเรามีภาคส่งออกที่เป็นรายได้มาก จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 14:58:58

ความคิดเห็นที่ 4 ได้ยินว่าพิมพ์แบงค์เองได้โดยไม่ต้องมีอะไรหนุนหลัง เท็จจริงไม่มีความรู้ครับ แต่ถ้าเป็นจริง ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้หรอก จากคุณ : razzmatazz เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:05:45

ความคิดเห็นที่ 5 อเมริกาจะพิมพ์ดอลลาร์เพิ่มต้องมีกระดาษ กับ หมึกพิมพ์หนุนหลัง ครับ ซึ่งตอนนี้อเมริกามีอยู่เพียบ จะพิมพ์เท่าไรก็ได้ แล้วก็พิมพ์มาแล้ว หลายครั้ง อย่่างเช่น QE1 QE2 และครั้งต่อไปซึ่งเพียงแต่จะใช้ชื่อ QE3 อีกหรือเปล่าเท่านั้น ในเมื่อจะพิมพ์เท่าไรก็ได้ แล้วจะเบี้ยวหนี้ไปทำไม จากคุณ : นายส่งเดช เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:26:38

ความคิดเห็นที่ 6 #1 มีทองแต่มูลค่ายังไม่พอจ่ายดอกเลย #2 ทำไมจะไม่ คิดว่าพิมพ์แบงค์ได้แล้วเค้าจะรับทุกคนเหรอครับ เป็นคุณจะรับแบงค์กงเต็กมั้ยหล่ะ หากรับก็คงนำไปแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นทันที จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:30:36

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ #5 พิมพ์ตังหนะพิมพ์ได้ไม่ยากหรอกครับ แต่ผลที่ตามมาคืออะไรลองไปหา มหากาพย์ซิมบัวเวียดูนะครับ ถ้าพิมพ์ออกมาแล้วเงินกระดาษหมดความเชื่อถือกลายเป็นแบงค์กงเต๊กเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นหนี้จะหมดจริงแต่สิ่งที่เลวร้ายกว่าหนี้ที่จะตามมายังมีอีกเยอะครับ ^^ ซิมบัวเวียจากประเทศธรรมดาๆประเทศหนึ่งต้องกลายมาเป็นประเทศที่จนติด1ใน10ของโลกก็เพราะนโยบาย พิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ แล้วก็พิมพ์นี่ละครับ จากคุณ : ต.เต่าต้วมเตี้ยม เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:37:00

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าผมเป็นอเมริกานะครับ ผมคงไม่เบี้ยวหนี้ ผมเป็นผู้ดีเก่า สมบัติ อำนาจบารมีิเยอะแยะ (แต่จมไม่ลง) ธนาครามาทวงหนี้ผม ผมคงไม่ขายสมบัติเจ้าคุณปู่กินให้เสื่อมเกรีิยติ ยังพอสับขาหลอกธนาคารไปพลาง ๆ แต่ในฐานนะผู้ดีเก่าย่อมต้องมีอำนาจบารมีอยู่ ถ้าเป็นไปได้ก้ออยากจะทำให้ราคาของสมบัติที่ตัวเองมีอยู่สูงกว่าความเป็นจริง   ถ้าสุดท้าย ของสุดท้ายที่สุดของแจ้อัลบัมปกทองแล้ว ยังหาทางหนีที่ไล่กับธนาคารไม่ได้ จนตรอกจิง เอาสมบัติเจ้าคุณปู่มาขายกินก้อน่าจะดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย.... ??? จากคุณ : อันนี้แค่สงสัย ใครรู้บอกที (Fsmoothdood) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:39:42

ความคิดเห็นที่ 9 ูเอาอเมริกาไปเทียบกับซิมบัวเวีย.... มีประเทศไหนบ้าง เอาดอลล่าห์ซิมบัวเวียเก็บเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ จากคุณ : asker2008 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:42:07

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ทองที่อเมริกามี มันน้อยกว่าหนี้ที่อเมริกาก่อ...มันจะเป็นไปได้เหรอที่อเมริกาและยุโรป จะทำราคาทองเพื่อการนี้ จากคุณ : ??? (Fsmoothdood) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:43:12

ความคิดเห็นที่ 11 โรลโอเวอร์ไปเรื่อยๆ ก็ได้ มั้ง ออกพันธบัตรใหม่ มาใช้หนี้ ไปเรื่อยๆ จากคุณ : asker2008 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:43:37

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนนี้ ผมมองว่า - ทอง 8000 ตัน ของเมกา ไม่พอใช้หนี้ - แบ๊ง กงเต๋ง (QE XXX) คนจะยอมรับได้ ? - สังคม เมกาเป็นสังคมบริโภค และ งบส่วนใหญ่ เสียไปกับ ประกันสังคม และการทหาร ซึ่งต่างจาก ญี่ปุ่น ถึงแม้จะมีหนี้ มากกว่า 200%  แต่คนญี่ปุ่นก็มีเงินออมไว้มากมาย เลยคิดเลยเถิดไปว่า ถ้าเกิด เมกา เค้าจะเบี้ยวหนี้ ล่ะ พี่จีน เค้าเป็น เจ้าหนี้ รายใหญ่ เค้าจะทำอะไรได้ แล้ว ต่อไปจะเป็นไงต่อ ^__^ ขอบคุณที่ แชร์ Idea อันเลยเถิด ของผมน่ะครับ ,,,, ปล.แจกกิฟจนกว่าจะหมด ,,, จากคุณ : จอมปลวกน้อย เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:44:27

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ทองเป็นศัตรูกับดอลล่าห์ อเมริกาไม่น่าคิดใช้ทองใช้หนี้ แต่กลับกันน่าจะวางแผนหาทางกำจัดทองคำ ให้ทั่วโลกเลิกใช้ทองคำในการเป็นเงินทุนสำรอง ให้มีค่าแค่โลหะธรรมดา เป็นเครื่องประดับ จากคุณ : asker2008 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:54:41

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ No.9 ----------------------------------------------------------------------------------------- มหากาพย์เงินเฟ้อซิมบับเว (Hyperinflation) " ไม่มีที่ไหนในโลก เหมือน “ซิมบับเว” (Zimbabwe) ไม่ใช่เพราะมีน้ำตก วิคตอเรีย อันสวยงาม ไม่ใช่เพราะมีเหมืองขุดเพชร ขนาดใหญ่ หรือเพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ที่นี่ชาวซิมบับเว ทุกคนคือ “เศรษฐีพันล้าน” (Billionaire) ย้อนกลับไป 5 ปีก่อน ประเทศนี้ก้ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่นๆทั่วไป หากแต่การบริหารงานที่ผิดพลาดและขาดความเข้าใจ ของผู้นำรัฐบาล กลับสร้างหายนะอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนทุกคน ชนิดที่ โลกต้องจารึกไว้เป็นอีกบทนึงของประวัติศาสตร์การเงินโลกกันเลยทีเดียว ประชากรชาว ซิมบับเว มีทั้ง “คนผิวขาวและคนผิวดำ” อาศัยอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพา คนผิวขาวที่ย้ายมาตั้งรกราก เป็นเจ้าของที่ดินและฟาร์มเกษตร ส่วนคนผิวดำ เป็นชนชั้นแรงงาน คนขาว รับหน้าที่ เป็นผู้บริหารชั้นดี ส่วนคนดำเป็นแรงงานมีฝีมือ ทุกอย่างลงตัว ....... จนกระทั่งช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ในยุคสมัยของนายกรัฐมนตรี โรเบิร์ต มูกาเบ้ (Robert Mugabe) รัฐบาลออกกฎหมาย ใหม่ปฎิวัติการจัดการที่ดินทำกิน (Land Reform) เนื้อหาสำคัญก็คือ ช่วยคนผิวดำซึ่งเป็นคนพื้นเมือง ให้มีที่ดินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องตกเป็นลูกจ้างของคนผิวขาวอีกต่อไป เกิดการยึดคืนที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธ์ของคนผิวขาวแล้วเอาไปแจก ให้กับคนผิวดำ ......เท่านั้นเองปัญหาเกิด จากคนผิวดำ ซึ่งเคยเป็นกรรมกร บัดนี้ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าของที่ดิน จำเป็นต้องมาบริหาร จากคนผิวขาวที่เคยบริหารกลับสูญสิ้นทุกอย่างที่เคยเป็นของตัวเอง จำเป็นต้องรับสภาพ กรรมกร ! เหมือนใช้คนไม่ถูกกับประเภทงาน ด้วยความที่ด้อยการศึกษาและขาดทักษะบริหารจัดการ ไม่นานระบบเศรษฐกิจที่เคยรุ่งเรืองของ ซิมบับเว ก็ดิ่งลงเหว เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย สุดท้ายไม่วายเป็นหนี้ IMF ในปี 2006 ปัญหาหนี้สินของประเทศ เกินเยียวยา ผู้ว่าการธนาคารกลางในขณะนั้นเกิด ปิ๊งไอเดีย (ง่ายๆแต่ไม่ฉลาด) ในการใช้หนี้คืน นั่นก็คือ “การพิมพ์เงิน” (คุ้นๆมั๊ยครับ?) สกุลเงิน ซิมบับเวียนดอลล่าห์ (Zimbabwean Dollar : ZWD) มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ประมาณ 1.59 Zim-Dollar แลกได้ 1 US-Dollar ในเมื่อประเทศเราเป็นหนี้ IMF ในสกุลเงินดอลล่าห์ เราก็แค่ พิมพ์เงินประเทศเราเอาไปซื้อดอลล่าห์ เสร็จแล้วก็ เอาไปใช้หนี้คืน ง่ายๆ ไม่น่าจะมีอะไรยาก 16 กพ 2006 : ธนาคารกลางซิมบับเว จึงจัดพิมพ์เงินครั้งใหญ่ มูลค่า 21 Trillion (21,000,000,000,000 ZWD) เพื่อสะสางปัญหา ได้ผล ! หนี้หายวับไปกับตา แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่า “โหดร้ายมากกว่าเป็นหนี้หลายเท่าตัว” เงิน 21T ออกไปเที่ยว ตปท ได้ไม่นานก็หมุนเวียนกลับเข้ามาในระบบศก.ของซิมบับเวเอง สกุลเงิน ZWD เจือจางลงอย่างรวดเร็ว สินค้าทุกอย่างปรับขึ้นราคาตามในทันที เดือดร้อนถึง นายกโรเบิร์ต มูกาเบ้ ที่ต้องรีบสั่งการให้ ธนาคารกลางแก้ไข ปัญหาโดยด่วน ซึ่งแน่นอน อาวุธคู่กายธนาคารกลางทุกประเทศมีแค่ สองอย่าง แต่สำหรับ ซิมบับเว พิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ และ ก็พิมพ์ คือ คำตอบสุดท้าย ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน ปริมาณเงินอีก 60T ! ถูกอัดฉีดเข้าระบบ วัตถุประสงค์ก็เพื่อจ่ายเพิ่มเป็นเงินเดือนให้กับบรรดา ทหาร ตำรวจและข้าราชการ เพราะข้าวของแพงเหลือเกิน แต่กลับยิ่งทำให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงเข้าไปอีก เพื่อเป็นการยับยั้งและจัดระเบียบกันใหม่ ให้เงินสกุล ZWD ยังคงดูน่าเชื่อถือต่อไป สิงหาคมในปีนั้น ธนาคารกลางตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบ ธนบัตรใหม่ทั้งหมด โดยขอร้องให้ประชาชนนำ ธนบัตรรุ่นเดิมมาแลก แต่ภายใต้ข้อแม้ว่า 1000 ZWD เก่า แลกได้เพียง 1 ZWD ใหม่ (ตัด 0 ออกสามตัว) หากคุณมีเงินฝากในธนาคาร 1 ล้าน วันรุ่งขึ้นยอดเงินฝากจะลดลงเหลือเพียง 1 พัน เท่านั้น !! ทำกันถึงขนาดนั้น แต่ปัญหาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทา ...... ปี 2007 อัตราเงินเฟ้อยังคงพุ่งต่อเนื่อง ผลที่ตามมาคือสินค้าขึ้นราคาราวกับติดจรวด รัฐบาลของมูกาเบ้ ตัดสินใจใช้มุกใหม่ (แต่เป็นแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ) ออกกฎหมายควบคุมราคาสินค้าทุกอย่าง (Price control) ร้านค้าใดหากไม่ทำตามถือว่ามีความผิด ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่า ในเมื่อขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ก็ “ไม่ขาย” สินค้าใน ซุปเปอร์มาร์เก็ต เริ่มถูกเก็บลงจากชั้นวาง เหลือแต่ความว่างเปล่า การกำหนดราคาขายสินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค เริ่มกำหนดกันเองในตลาดมืด พร้อมๆกับการกักตุนสินค้า เงิน ZWD กลายเป็น “เงินร้อน” ประชาชนรีบใช้มันทันทีเมื่อได้มันมา ทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราเงินเฟ้อ จึงยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ มกราคม 2008 - รัฐบาลออกธนบัตรใหม่ชนิดราคา 200,000 ใช้เป็นครั้งแรก ! แต่ยังไม่ทันจะสิ้นเดือน ธนบัตรชนิดราคา 10,000,000 ก็ถูกผลิตขึ้นมา ถือเป็นแบงค์ที่มูลค่าแพงที่สุดในขณะนั้น แต่หากคิดเทียบเป็นเงินบาทไทย คงใช้ซื้อข้าวผัดกระเพราได้เพียงแค่ 4 จาน (120 บาท) เมษายน 2008 รัฐบาลออกธนบัตร ชนิดราคา 50,000,000 ออกสู่สาธารณะ มิถุนายน 2008 ธนบัตร ชนิดราคา 100,000,000 และ 250,000,000 ก็ถูกผลิตออกมา แต่แค่เพียง สิบวันหลังจากนั้น ชนิดราคา 500,000,000 ก็ออกตามมาติดๆ กรกฎาคม 2008 ธนาคารกลางวางแผน จะออกธนบัตรชนิดราคา 100,000,000,000 ออกสู่ตลาด แต่พอถึงปลายเดือน ประธานธนาคารกลางเลือกที่จะขอปรับค่าเงินกันใหม่ (Redenominated) โดยคราวนี้ ตัด 0 ข้างหลังออก 10 ตัว !!!!!! (10,000,000,000 ZWD เก่าแลกได้เพียง 1 ZWD ใหม่) อัตราเงินเฟ้อในขณะนั้นคือ 11,250,000 % ! ราคาของเบียร์ 1 ขวดในขณะนั้น 100,000,000,000 แต่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ราคาก็ปรับขึ้นเป็น 150,000,000,000 ความคิดของรัฐบาลและธนาคารกลางที่ จะแก้ปัญหาโดยการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าระบบ ไม่สัมฤทธิ์ผล สาเหตุก็เพราะ ความเชื่อถือในระบบธนบัตรของประชาชนชาวซิมบับเว ลดลงเร็วกว่า ความสามารถในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ ไม่ว่าจะเร่งสปีดพิมพ์เพิ่มออกมามากขนาดไหน ไม่สำคัญว่าจะใส่ 0 ไปอีกซักกี่ตัว เมื่อ กระดาษก็คือกระดาษ ความน่าเชื่อถือหากหมดไปจากกระดาษ ก็คือ จบ... มูกาเบ้ ไม่เข้าใจความจริงในข้อนี้ เค้าเลือกที่จะสู้หลังพิงฝากับเงินเฟ้อ มกราคม ปี 2009 ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ประชาชนชาวซิมบับเว จึงได้เห็น ธนบัตร ชนิดราคา 50,000,000,000 ออกใช้ 16 มกราคม 2009 วันที่โลกต้องจดจำ รัฐบาลของมูกาเบ้ ประกาศจะพิมพ์ ธนบัตร ชนิดราคา 10,000,000,000,000 - อ่านว่า สิบ ล้านล้าน 20,000,000,000,000 - อ่านว่า ยี่สิบ ล้านล้าน 50,000,000,000,000 - อ่านว่า ห้าสิบ ล้านล้าน 100,000,000,000,000 - อ่านว่า หนึ่งร้อย ล้านล้าน ออกใช้..... แต่ไม่มีความหมายอีกต่อไป ประชาชนเลิกพกเงินเป็นกระสอบๆ เพื่อไปจ่ายตลาด เงินสกุล ซิมบับเว ไม่มีใครเชื่อถือและอยากใช้ การซื้อขายทั่วไป ถูกกำหนดราคากันใหม่ด้วย เงินสกุลเงินตราต่างประเทศ เช่น US.Dollar หรือไม่เช่นนั้นก็ทำการซื้อขายกันด้วย “ทองคำ” ประชาชนชาว ซิมบับเว บางส่วน (ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ) ย้อนกลับไปสู่ยุคโบราญ เอากะทะไปร่อนหาเศษทองในแม่น้ำ เพื่อเอามาแลกกับ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช หรือ ขนมปัง ประทังชีวิตไปวันๆ ใคร ที่ยังเก็บทองคำติดตัวเอาไว้ ยังสามารถซื้อของได้เท่าเดิม แต่ผู้ที่เก็บเงินออมไว้ในรูปแบบของ “ธนบัตร” ซิมบับเวเผื่อไว้ใช้ยามแก่ กลับพบว่าเงินทั้งหมดแทบไม่พอที่จะจ่ายแม้แค่ “อาหารเช้าเพียง 1 มื้อ” เมษายน ปี 2009 สกุลเงิน ZWD ตายสนิท รัฐบาล ปล่อยให้ตลาดเป็นคนกำหนด ราคาและสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกันเอง เงิน ZWD ประกาศหยุดพิมพ์เพิ่ม อย่างน้อย 1 ปีหลังจากนั้น เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาด้วยตัวของมันเอง ระบบเศรษฐกิจนั้นเมื่อเกิดปัญหา กลไกของตลาดจะมีวิธีจัดการแก้ไขได้ด้วยตัวของมัน ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น” (Invisible Hand) หน้าที่ของรัฐบาล เพียงแค่สนับสนุนให้ มือที่มองไม่เห็นนี้ ทำงานไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีอะไรมาขัดขวาง แต่รัฐบาลในหลายๆประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วหรือกำลังพัฒนา กลับพยายามที่จะทำตัวเป็นมือที่มองไม่เห็นนี้ซะเอง ใช้อำนาจ เข้าจุ้นจ้าน-เข้าแก้ไข สุดท้ายก็พัง .............................. เปรียบเทียบง่ายๆ -เหมือนร่างกายคนเรา ต้องมี “วิญญาณ” หาก วิญญาณ ออกจากร่าง เมื่อไหร่ เราก็ตาย -เงินก็เช่นกัน อยู่ได้ด้วย “ความเชื่อถือ” เมื่อความเชื่อถือ หมดไป เงินก็ตายได้เช่นกัน ทั้งวิญญาณและความเชื่อถือ ถึงแม้เรามองมันไม่เห็น แต่เชื่อผมเถอะครับว่า “มันมีอยู่จริง!” เงินสกุลต่างๆ พยายามพัฒนาระบบ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง อยู่ตลอดก็เพื่อคงความเชื่อถือ ให้ยังคงอยู่ ผิดกับ “ทองคำ” ที่ ความเชื่อถือ คงอยู่ในตัวมัน ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานได้ หลายพันปี หากจะพูดว่าเป็น “อมตะ” ก็คงจะไม่ผิด มีบางช่วงเวลา ในหน้าประวัติศาสตร์ที่เราอาจะหลงลืมมันไปบ้าง เพราะโดนหลอกตาและได้รับการสั่งสอนมาแบบผิดๆ แต่ ทุกครั้งมื่อทุกคนคิดได้ ทองคำก็จะได้กลับมาทำหน้าที่ “เงินที่แท้จริง”ทุกครั้งไป. ปล. เหตุการณ์เงินเฟ้อรุนแรง เคยเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ มีลักษณะไม่ต่างกัน ไม่ใช่หนังหรือละคร แต่ มันเป็นเหตุการณ์จริง เช่นที่ ยูโกสลาเวีย, เยอรมัน, อาเจนติน่า แต่ที่ผมเลือก ซิมบับเวเพราะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คือในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ถือว่าเป็น Modern Hyperinflation ที่สำคัญ มูกาเบ้ เคยทำยังไงเอาไว้ บุช, โอบาม่า, เบน เบอร์นันเก้ กำลังดำเนินรอยตาม! หากยังไม่หักดิบเปลี่ยน นโยบาย เส้นทางที่สหรัฐอเมริกากำลังเดินไป จุดหมายคือ Hyperinflation อย่างแน่นอน ไม่สำคัญว่า จะเป็น ซิมบับเวียน ดอลล่าห์ หรือ US ดอลล่าห์ เมื่อกระทำ“เหตุ” อย่างเดียวกัน ก็ย่อม ให้ “ผล” ที่ไม่ต่างกัน. ไปอ่านเจอมาที่ Thaigold.info หลายท่านอาจเคยอ่านแล้ว เอามาให้คนที่ยังไม่รู้อ่านครับ เห็นเป็นฉากๆๆๆ เลย" ที่มา : Google.co.th - key word : มหากาพย์เงินเฟ้อซิมบับเว (Hyperinflation) จากคุณ : Fsmoothdood เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:56:40

ความคิดเห็นที่ 15 ที่อเมริกาอยากเห็นจริงๆ น่าจะเป็น ทองคำ --> $35/oz เหมือนเดิม คนจะได้หมดที่พึ่งอื่นต้องอิงดอลล่าห์ ทองคำมีค่าน้อยกว่า ถ้าอเมริกาทำสำเร็จ จากคุณ : asker2008 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 16:00:14

ความคิดเห็นที่ 16 งั้น..ถ้าคุณมีอำนาจทางการเมือง เศรษกิจ การทหาร เทคโนโลยี คุณคิดจะใช้ อำนาจที่คุณมีเหล่านี้ มาช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือไม่ ? ถ้าใช่..อย่างไร ? (ถามเยอะไปป่าวนี่) จากคุณ : สงสัย ขอเป็นคำถามสุดท้าย (Fsmoothdood) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 16:07:36

ความคิดเห็นที่ 17 #พี่asker2008 โดยส่วนตัวผมคิดว่ามีทุนสำรองอยู่หลายประเทศก็ไม่ได้ช่วยอะไร มีพวกเยอะก็ไม่ได้ช่วยอะไร ในเมื่อทุนสำรองมันก็แค่กระดาษใบหนึ่งที่เสพความเชื่อมั่นเป็นอาหาร ถ้าเมกา พิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ และพิมพ์เงิน แบบไม่ลืมหูลืมตาความเชื่อมั่นที่มีก็จะหายไป ค่าของเงินจะไปอยู่ที่ไหนละครับถ้าไม่ใช่แบงค์กงเต๊ก แล้วท่านกล้าเก็บแบงค์กงเต๊กไว้ใช้มั้ย ถ้าวันนี้แบงค์1ใบสามารถซื้อหมูได้1ตัว แต่พอตื่นมาพรุ่งนี้แบงค์ใบนี้กลับซื้อไม่ได้แม่กระทั่งท็อปฟี่1เม็ด.....ผมว่าถ้าถึงเวลานั้นพวกที่ถือทุนสำรองเป็นเงินดอลล่าคงจะแจ้นไปเปลี่ยนจากดอลล่าไปเป็นทองคำกันแทบไม่ทันเพราะถึงทองจะลดราคายังไงค่ามันก็ไม่มีทางเท่ากับ0 ลองสังเกตุจากการที่หลายๆประเทศเริ่มเก็บทองคำเป็นทุนสำรองมากขึ้นก็ได้ครับ ในอดีตปี1998(ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ) ประเทศอังกฤษยกเลิกการเก็บทุนสำรองเป็นทองคำทำให้ในปีนั้นราคาทองคำต่ำที่สุดในรอบหลาย10ปีสุดท้ายยังต้องกลับมาเก็บเป็นทองคำเลยครับ ยินดีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ ผมก็แค่มือใหม่เองครับ ^^ จากคุณ : ต.เต่าต้วมเตี้ยม เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 16:31:58

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านความเห็น ทองคำ  usd 35 / oz ไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้ค่ะ ตราบที่คนนำทองคำมาแปรเป็นหุ้นแบบ  GF  โอกาสแตะ usd 4-5000 / oz มีความเป็นไปได้มากกว่าค่ะ เชื่อว่าในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้านี้แน่นอนค่ะ จากคุณ : ker yi (ker yi) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 16:45:07

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ #14 ที่เอามาให้อ่าน ผมไป search หาประเทศซิมบัวเวีย ใน google ก็งง ประเทศไรวะ google ไม่รู้จัก ที่แท้ต้องอ่านว่า ซิมบับเว นี่เอง อิอิ จากคุณ : Oat_Kub เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 17:23:14

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ คห 6 ครับ ทำไมผมถึงไม่คิดว่าอเมริกาจะ default ก็เพราะ เงินสกุลต่างประเทศ กับเงินสกุลท้องถิ่นเป็นเงินสกุลเดียวกัน โดยปกติแล้ว ประเทศต่างๆ เช่น ไทย กัมพูชา เวียดนาม พันธบัติรัฐบาลกลางจะมี rating เฉพาะกับเงินตราสกุลต่างประเทศ ถ้าจำไม่ผิดไทยได้แค่ bb เอง แต่ถ้าเป็นพันธบัตรในลักษณะเงินบาทแล้ว รัฐบาลไทยจะมี rating ดีที่สุดและแทบไม่มีโอกาสผิดนัดชำระเลย เพราะ รัฐบาลไทยสามารถพิมพ์เงินบาทเท่าไหร่ก็ได้เพื่อมาชำระกับมูลค่าหน้าตั๋วของพันธบัตรสกุลเงินบาท แต่ถ้าเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศประเทศไทยจะไม่สามารถทำได้ ทำให้ต้องมีการให้ ratingสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อวัดความเสี่ยงการไม่มีจ่ายให้กับรัฐบาลไทย แต่สังเกตุมั้ยครับว่า USD เป็นทั้งสกุลเงินตราที่ใช้กันทั่วโลก และเป็นสกุลเงินตราของประเทศสหรัฐไปในตัว ผมจึงกำลังบอกว่า อเมริกาไม่มีทางผิดนัดชำระหนี้ได้เลย เพราะเค้าสามารถพิมพ์เงินออกมาเพื่อมาจ่ายพันธบัตรของเค้าได้ แต่ผลที่ตามมาเรื่องการด้อยค่าของเงินจะเป็นคนละส่วนกับการdefault เพราะถ้าอเมริกาพิมพ์เงินออกมาจน USD ด้อยค่าได้จริง คนจะเลิกเชื่อถือเงิน USD และทำให้ความต้องการถือพันธบัตรของอเมริกาลดลงไปเอง ฉะนั้นจะไปลดเครดิตเรตติิ้งของอเมริกาไปทำไมกัน = = ถ้า USD ด้อยค่า ดีไม่ดีเงินบาทเราจะด้อยค่าไปด้วย เพราะเงินบาทเราก็มีส่วนผสมของ USD อยู่ด้วย จากคุณ : hunchback เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:02:55

ความคิดเห็นที่ 21 สิ่งที่สรอ.มีเหนือคนอื่นคือ เป็นเจ้าของสกุลเงินสากลที่ใช้กันทั่วโลก เพราะฉะนั้นเรื่องเบี้ยวหนี้คงยาก เพราะอยากจ่ายหนี้ก็แค่พิมพ์ออกมาจ่าย อีกอย่างเจ้าหนี้ทั่วโลกก็คงพูดมากไม่ได้ รวมถึงเลิกใช้ดอลล์ก็ไม่ได้เช่นกัน ปู่บัฟเฟตก็ไม่กังวล ที่น่ากังวลก็คือปัญหาการเมืองมากกว่าที่ไม่ยอมให้เพิ่มเพดานหนี้จนกังวลกันทั่วโลก เพราะถ้าไม่เพิ่ม ก็คงไม่สามารถพิมพ์แบงก์จ่ายหนี้ได้ ดังนั้นก็คงไม่น่ากังวล ตราบใดที่สรอ.ยังมีอำนาจในการพิมพแบงก์อยู่ ที่น่ากังวลคือ ปัญหาในกลุ่มยูโรที่น่าจะใกล้จุดไคลแม็กซ์แล้ว ถ้าอยากรอดก็ต้องยอมตัดประเทศที่อ่อนแอ เช่น กรีก อีกปัญหาคือเรื่องเงินเฟ้อจากเงินดอลล์ล้นโลกครับ เรากำลังเผชิญปัญหานี้แน่ครับ และจะลำบากกันทั่วโลกแน่ๆ นี่คือสิ่งที่น่ากังวลมากกว่าเยอะเพราะมันกระทบชีวิตประจำวันแน่ เราจะได้เจอ stagflation แน่ๆครับ จากคุณ : kanstk เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:07:37

ความคิดเห็นที่ 22 #20 ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะdefaultนะครับ แต่บอกว่าไม่รับชำระหนี้ รับเป็นอย่างอื่นแทน เช่นน้ำมัน ทองคำ แร่ธาตุต่างๆ หรืออาจเป็นสินค้า เครื่องจักร การลดเรตติ้งของบ.จัดอันดับ ผมว่าทำถูกแล้วครับ เรตติ้งไม่ได้แสดงว่าจ่ายชำระหนี้ได้เท่านั้น แต่หมายรวมถึงความน่าเชื่อถือของสกุลเงินด้วย ส่วนการที่USด้อยค่าจะทำให้สกุลอื่นด้อยค่าด้วย มันก็ไม่ได้ด้อยค่าในอัตราที่เท่ากัน ประเด็นนี้ผมว่าไม่น่ากังวลเท่ากับการที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ซึ่งเราอาจหาแนวรับไม่ได้ ตรงนี้น่ากลัวกว่าหลายเท่าครับ จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:26:43

ความคิดเห็นที่ 23 ความเชื่อถือ???? USD มีปัญหาด้านความเชื่่อมั่นด้วยหรอครับ ผมก็ยังเห็นเกิดวิกฤติก็วิ่งเข้า USD กัน ทำไมไม่มาถือเงินบาทเงินดองหรือเงินริงกิต แต่กลับเลือกถือเงิน USD ผมว่าเพราะ USD มีความน่าเชื่อถือสูงและมีสภาพคล่องสูงมาก สามารถเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่นได้ไง่าย    แล้วทุกวันนี้ภาพนั้นเปลี่ยนไปมั้ย???  ผมว่าก็ยังเหมือนเดิม แต่กลับโดนลดเครดิตซะงั้น เงินสำรองเราเป็น USD และเงินตราสกุลต่างๆและทองคำเปน Back up   และส่วนมากเงินตราสกุลต่างๆก็จะมี USD เป็น back up เหมือนกัน ดังนั้นจะเกิดปฏิกริยาด้อยค่าเป็นลูกโซ่ขึ้น   สิ่งที่น่ากลัวคือ stagfaltion มากกว่า จากคุณ : hunchback เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 19:56:05

ความคิดเห็นที่ 24 พิมพ์แบงค์มากค่าเงินร่วง ผมว่าเป็นผลดีครับ ง่ายๆ เมกา IPhone 500 เหรียญ หากเป็นเงินบาทเหลือ 5000 บาท อย่าว่าแต่  paragon, indoor หัวหมากอาจพังได้ แล้วพวก Ipon และ I อื่นๆจากเจ๊ก จะรอดมั้ย อาหารก้อผลิตเอง จะหนักมากสุดคงราคาน้ำมัน แต่ถึงจุดนั้นหากน้ำมันไม่ผูกกับ usd ราคาคงไม่สูงไปครับ จากคุณ : Rajin เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 20:14:34

ความคิดเห็นที่ 25 ขอเป็นไอเดีย แบบ Worst case คับ เค้าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้  โลกจะเป็นยังไง บ้าง,,, หาเรื่องทำสงคราม จนกลายเป็น WW3  ...worst case ที่สุดที่คิดได้แล้วครับ จากคุณ : Pogio เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:16:21

ความคิดเห็นที่ 26 ผมมองอเมริิกามีอย่างนึงที่เด็ดสุดคือ อำนาจทางการทหาร ถ้าเป็นบุชอาจก่อสงครามอีกซัีกที่แล้วครับ ให้รู้ซะบ้างว่าใครใหญ่สุดในโลก แต่อีกมุมนึงผมคิดถึงเรื่องยุคเบบี้บูม คนเกษียณเยอะกว่าคนทำงาน = มีภาระเยอะ หรือเปล่า จากคุณ : ACTGA เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:21:35

ความคิดเห็นที่ 27 ทำไมจะไม่สมควรลดเครดิต เงินที่ทำจากอากาศบางๆกับเงินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานมันมีค่าเท่ากันหรือครับ แล้วคุณคิดเหรอว่ามีrisk free rateจริงๆ หากเป็นหลังสงครามโลกครั้งที่สองผมจะไม่เถียงเลย เพราะสมัยนั้นประเทศอุตสาหกรรมต่างพังเละ มีแค่มะกันเจ้าเดียวที่ยังรอด ประเทศในเอเชียยังเป็นประเทศโลกที่สามอยู่ ฉนั้นสินค้ามีแค่มะกันเท่านั้นที่ทำได้ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับ แล้วความน่าเชื่อถือมันสะท้อนออกมาทาง"มูลค่า" ลองดูUS Indexก็ได้ ค่าเงินUSอ่อนค่ามาหลายปีแล้ว แต่ทำไมในเวลาวิกฤติกลับแข็งค่า เพราะเงินมันมีที่ไปจำกัดไงครับ เงินจะไหลไปที่ที่ให้ผลตอบแทนสูง หากไปเข้าทองกันหมด ใครจะได้กำไรหล่ะ ปัญหาค่าเงินUSต้องใช้เวลาในการปรับมูลค่า เพราะเป็นเงินสกุลสำคัญของโลก หากเปลี่ยนแปลงรวดเร็วทั่วโลกจะประสบปัญหาไปด้วย ลองคิดดูง่ายๆ บ.มะกันจำกัด มีกำไรปีละ100บาท มีหุ้น100หุ้น กำไรต่อหุ้นควรเป็น1บาทถูกมั้ย วันดีคืนดี บ.มะกันจำกัดบอกว่า จะออกหุ้นเพิ่มอีก100หุ้น กำไรต่อหุ้นจะเป็น1บาทเท่าเดิมได้อย่างไร ราคาจะเท่าเดิมได้อย่างไร  แต่ราคาหุ้นก็ไม่ลดลงมากเพราะบ.ยุโรปจำกัดก็มีปัญหา บ.จีนจำกัดก็ขายหุ้นในวงจำกัด บ.ไทยจำกัดก็มีขนาดเล็กเกินไป เมื่อเงินไม่มีที่ไป มันก็จำใจต้องกลับไปที่บ.มะกันจำกัดครับ ดีกว่าวางไว้เฉยๆ ลักษณะการแก้ปัญหาโดยการพิมพ์เงินออกมา สำหรับผมถือว่าหน้าด้านมากๆ มะกันกำลังผลักภาระไปให้ประชาชนมะกันและประเทศอื่นๆรับภาระในการด้อยค่าของเงินUS เหมือนการปล้นกันซึ่งๆหน้า  หากเป็นผมคงไปถือเงินสกุลอื่นที่สามารถผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผมมากกว่า จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:41:29

ความคิดเห็นที่ 28 ถูกใจ No.27 จากคุณ : กิ๊ฟหมด (Fsmoothdood) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:59:14

ความคิดเห็นที่ 29 ไว้ผมสอบเสร็จก่อน จะมาเขียนเรื่อง Safe Heaven: พันธบัตรมะกัน ทองคำ Safe??? จริงเหรอ??? จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:06:04

ความคิดเห็นที่ 30 พี่มะกันไม่เบี้ยวหนี้หรอกครับ เพราะว่าเจ้าหนี้ก็ไม่ได้ทวงต้น แกทวงแต่ดอก ตราบใดที่ FED พิมพ์เงินเขียวดำได้เรื่อยๆ ก็ไม่มีปัญหา ถ้ามีเจ้าหนี้อยากทวงต้นด้วยก็ไม่อยากพิมพ์ใบละร้อยมันช้านัก ก็พิมพ์ใบละ 1000 ใบละ 10,000 ใบละ 100,000 ก็ใช้ต้นทุนและเวลาเหมือนกัน จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 11:13:54

ความคิดเห็นที่ 31 ANUBIS[TJ] สอบเสร็จเมื่อไหร่ รออ่านอยู่นะครับ จากคุณ : vizion เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 12:49:58