|
วิธีดูงบดุล เป็นงบที่แสดงถึงฐานะว่าวันปิดบัญชีบริษัทร่ำรวย มีจนเช่นไรบ้าง จะบอกกล่าวว่ามีสินทรัพย์อะไรเหลือบ้างในวันปิดบัญชี ซึ่งสินทรัพย์ก็ประกอบไปด้วยสินทรัพย์ที่หมุนเวียนและไม่หมุนเวียน
สินทรัพย์หมุนเวียนก็ประกอบไปด้วย เงินสด บัญชีลูกหนี้ สินค้าคงเหลือซึ่งต้องระวังเพราะบางทีเก่าเก็บตกรุ่น ดังนั้นทางบัญชีจึงมีการกำหนดให้บริษัทต้องตีราคาของสินค้าคงเหลือที่ตกรุ่นไปสู่ราคาตลาดที่มูลค่าสุทธิที่ได้รับที่ถูกกว่า และยอมรับการขาดทุนจากการที่ถือของเน่าๆ ดังนั้นขาดทุนตัวนี้จะไปรวมอยู่ในต้นทุนขาย แล้วเปิดเผย ในหมายเหตุประกอบงบว่าที่ต้นทุนขายโป่งขึ้นมาเยอะเพราะไปแบกของเน่าๆไว้เยอะ ดังนั้นที่กำไรขั้นต้นลดลงเยอะในปีปัจจุบันอาจเพราะมีของตกรุ่น มีของลดลงในราคาตลาด แต่ส่วนมากที่ กลต. ต้องเรียกงบมาทำการแก้ไขเพราะบริษัทไม่ยอมแก้ไข ปรับลดลงเพราะกลัวนักลงทุนจะถามว่า ทำไมต้นทุนขายสูง กำไรหดลง ก็เลยพยายามแสดงราคาสินค้าเว่อร์ๆ ตามที่มีอยู่ในบัญชี แต่ไม่สนใจว่าราคามันจริงหรือเปล่าที่จะขายได้เท่านั้น ตอนนี้เลยออกกฎว่า ให้ปรับลดลงตามมูลค่าสุทธิที่จะขายได้ของสิ่งที่เน่าๆ แต่ของที่ดีๆไม่ให้ปรับลงแต่ก็ห้ามตีราคาสูงขึ้นเพราะยึดหลักความระมัดระวัง รายการจ่ายล่วงหน้า คือ รายการที่เสียเงินแล้วแต่ประโยชน์ยังไม่เกิดในปีนั้น ๆ
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่น การไปถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ไว้เพื่อเอาดอกผลในรูปของเงินปันผล สินทรัพย์ถาวร ได้แก่ ที่ดิน อาคาร
รายการที่ไม่มีตัวตน เช่น ซอร์ฟแวร์ที่บริษัทใช้ หากเป็นพวกบริษัทบันเทิงก็จะเป็นพวกลิขสิทธิ์ที่ถือครอง
รายการต่างๆข้างบนรวมกันหมดจะเรียกว่า สินทรัพย์ คือ ทรัพยากรที่เหลืออยู่ในวันปิดบัญชีที่จะยังมีประโยชน์ต่อไปในอนาคต ฉะนั้นเราต้องดูตัวเลขนี้ประกอบเพราะการที่เรารู้ว่ากำไรของบริษัทดีขึ้นเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องดูด้วยว่าเค้าได้เอาทรัพยากรที่มีอยู่ไปลงทุนเพื่อทำกำไรกลับมาได้ซักเท่าไหร่ด้วย กรณีตัวอย่างเช่น เปรียบเทียบโรงพยาบาลระดับบน 2 แห่งที่เป็นคู่แข่งกัน รพ.แห่งแรก( KH ) มีอยู่แค่ตรงสุขุมวิทเล็กๆ ลงทุนไปทั้งหมด 8,000 กว่าล้าน ในทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ในวันปิดบัญชี แต่สามารถทำกำไรกลับมาได้ 1,200 – 1,300 ล้าน ในขณะที่ รพ.อีกแห่งมีทรัพย์สิน 30,000 กว่าล้าน แต่ทำกำไรกลับมาได้เพียง 1,700 ล้าน ต่างกัน 400 - 500 ล้าน ถามว่านักลงทุนจะเลือกลงทุนตัวไหนหากมองด้วยปัจจัยเพียงเท่านี้ไม่เอาอย่างอื่นมาดู เราย่อมต้องชอบ รพ.ที่มีสินทรัพย์เพียง 8,000 ล้าน แต่ทำกำไรต่อปีได้ 1,200 ล้าน ในขณะที่อีกแห่งมีฐานสินทรัพย์ใหญ่กว่าเป็น 3 – 4 เท่า แต่กำไรต่างกันเพียงนิดเดียว ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องดูงบดุลด้วยไม่ใช่เพียงดูว่ากำไรดีขึ้นเมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน แต่เราต้องดูว่าแล้วเค้าใช้ทรัพยากรไปเยอะไหม หรือที่เราเรียกว่า ROA ( Return on Asset ) เราต้องดูผลตอบแทนจากการลงทุนว่ามันมากแค่ไหน
เพราะฉะนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับการดู สินทรัพย์ คือรายการที่อยู่ใน งบดุล บางส่วนก็เป็นหนี้สั้นบางส่วนก็เป็นหนี้ยาว และบางส่วนก็เป็นส่วนของเจ้าของที่เอาทุนมาลง แล้วที่ทุนมันเติบโตทุกวันนี้ก็เพราะกำไรสะสม ดังนั้นนักลงทุนเบื้องต้นต้องดูแค่ว่า เอาสินทรัพย์เป็นตัวหารอยู่ข้างล่าง เอากำไรตั้งอยู่ข้างบนแล้วดูว่ามันมีผลตอบแทนจากสิ่งที่ลงทุนไปเท่าไหร่
ROA = กำไรสุทธิ / สินทรัพย์ทั้งหมด
ค่าที่ได้ยิ่งสูงแสดงว่าประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ค่อนข้างดี แล้วถามว่า ROA เท่าไหร่ถึงจะดี ตอบว่า
1. สูงกว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
2. สูงกว่าต้นทุนเงินทุนที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ( ROA > WACC )
จากคุณ |
:
ปั้นดินเป็นดาว
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ก.ย. 54 15:57:29
|
|
|
|
|