ความคิดเห็นที่ 1 ผมเป็นมือใหม่แล้วอาจจะคิดแบบมือใหม่นะคับ ความคิดของผมคือ ถ้าคิดจะซื้อหุ้นตัวไหน ให้ลองเทียบราคาที่ผ่านมาซัก 10วัน แล้วหาราคาที่อยู่ในช่วงกลางๆเอาคับ พอซื้อมาแล้วรอดูสถานการณ์ ถ้ามันขึ้นซัก 2-3ช่อง หรือเท่าที่เราตั้งเป้าไว้ให้ขายทิ้ง แต่กลับกันถ้ามันลง(ลงมานิดเดียวไม่ต้องซื้อเพิ่ม)ให้ซื้อเฉลี่ยโดยให้ซื้อมากกว่าคราวก่อน แบบนี้จะทำให้ต้นทุนเราต่ำลงเรื่อยๆ หุ้นที่ซื้อน่าจะเป็นกลุ่ม สื่อสาร โรงพยาบาล ค้าปลีก เช่น advanc bgh big-c makro ปล.ผมว่าถ้าใช้หลักนี้ทำให้เราไม่เครียด เวลาหุ้นจะขึ้นหรือลงอ่าคับ จากคุณ : น้องใหม่ใฝ่รู้คับ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 01:39:42

ความคิดเห็นที่ 2 เค้าคงไม่ใช่ว่า รู้แต่ VI อย่างเดียวมั้ง จากคุณ : Godlike เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 01:50:56

ความคิดเห็นที่ 3 เท่าที่ผมทราบถ้าผิดพลาดขออภัยแต่อยากช่วยเหลือ จขกท. เท่าที่ทราบเวลาลุงเขาจะซื้อก็เห็นชอบซื้อตอนที่คนอื่นยังคิดว่ามันยัง***ไม่น่าสนใจ***หรืออีกแบบที่พึ่งเห็นคือซื้อตอน***วิกฤต***แล้วถือยาว จากคุณ : ice3500 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 03:18:13

ความคิดเห็นที่ 4 ต้องดูอายุเขาด้วยครับ   การเป็นคนเก่ง และได้เริ่มต้นในยุคแรกๆ เป็นยุคที่บริษัทและ อุตสาหกรรมกำลังเติบโตจริงๆ  ย่อมได้เปรียบ สมัยนั้น การมองคุณค่า อาจไม่แพร่ หลาย ราคาหุ้นยังต่ำ และเขาคือต้นแบบ   ถ้าสมัยนี้ ใครๆก็เรียนรู้หลักการนี้มาหลายสิบปี หมายความว่าจะหาหุ้นดี ราคาถูกๆ โอกาสน้อยมากๆ และยุคนี้วิกฤติเศรษฐกิจโลก อะไรก็เกิดขึ้นได้  มีแต่ฟองสบู่ สมัยบัฟเฟตยุคก่อนไม่มีทางที่  GM  CITY BANK หรือ AIG  จะล้มละลาย หลักง่ายๆ คือ สมัยนั้นยังมีโอกาสซื้อหุ้นราคาต่ำ ขึ้นหลายเด้ง หลักการของ VI มีแค่นี้ครับ จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 04:05:10

ความคิดเห็นที่ 5 บัฟเฟตต์เค้าไม่ดูเทรนหรือใช้เครื่องมือทางเทคนิคในการหาจังหวะเข้าหรอกครับ(เท่าที่อ่านประวัติเค้าจากหนังสือหลายๆเล่ม) เค้าเข้าเมื่อมูลค่าหุ้นนั้นต่ำกว่าความเป็นจริงและหุ้นนั้นในอนาคตมองเห็นโอกาสโตหรือเพิ่มมูลค่าขึ้นในอนาคต!!!! จากคุณ : เขียนบน iPhone (satan@เต้ย) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 08:00:56

ความคิดเห็นที่ 6 It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price. Warren Buffett ตีความ wonderful company, fair company ได้ ประเมิน fair price, wonderful price ได้ ที่เหลือก็แค่ลงมือครับ ในความเห็นส่วนตัว ต้องหาและอยู่กับ wonderful company ครับ จากคุณ : gongort2 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 08:05:48

ความคิดเห็นที่ 7 ตอบแบบจำมาอย่างคร่าวๆนะครับ ไม่ได้เดินไปหยิบหนังสือมาเปิด บัฟเฟตต์จะเขียนเปรียบเปรยไว้ 3 อันเท่าที่นึกออก 1. เลือกซื้อหุ้นเหมือนเลือกคู่ชีวิต จะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน 2. ให้สมมติว่าชีวิตนี้จะมีตั๋วให้มีสิทธิ์ซื้อหุ้นได้แค่ 20 ครั้งเท่านั้น 3. ให้หาโอกาสซื้อหุ้นเหมือนการจะตีลูกเบสบอล ลูกไหนขว้างมาไม่ดีปล่อยผ่านไป รอลูกที่จะหวดได้เต็มแรงค่อยหวด ทั้ง 3 ข้อนี้ สอดคล้องไปในทางที่ว่า เลือกบ.ที่ดี และรอคอยโอกาสที่ดี ถ้ายังคิดว่าไม่ใช่ ก็รอต่อไป จากคุณ : อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 08:28:52

ความคิดเห็นที่ 8 อย่างนี้ PTL ก็เก็บตอนนี้ได้แล้วซิ จากคุณ : Miss Joy เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 08:38:28

ความคิดเห็นที่ 9 สู้ๆ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 09:02:30 จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 08:52:28

ความคิดเห็นที่ 10 ต้องเอาตัวแปร -เวลา -การมีเทคโนโลยี -Globalizationและการเกิดปฎิกิริยาลูกโซ่ -การมีตลาดอนุพันธ์แทบจะทุกอย่าง -การเจริญของทุนนิยมทุกส่วนของโลกแม้แต่โลกคอมมูนิสต์ -การเกิดของFunds ต่างๆโดยเฉพาะเฮดดิ้งจิ์ฟันด์ etc. เอามาร่วมวิเคราะห์ ไม่หมูเหมือนเก่า จากคุณ : MSK Orange เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 09:28:20

ความคิดเห็นที่ 11 บัฟเฟตต์จะซื้อธุรกิจที่สามารถคาดการณ์กำไรได้ง่ายและเติบโตอย่างยั่งยืนครับ แต่จังหวะในการเข้าซื้อส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้หุ้นของบริษัทถูกกว่าพื้นฐานและไม่กระทบต่อการเติบโตระยะยาวของบริษัท ซึ่งค่อนข้างจะถูกมากครับ (P/BV ประมาณ 0.3) ถ้าคิดง่ายๆ ก็เหมือนกับช่วง 2 ปีก่อนที่บ้านเรามีวิกฤตซับไพรม์ ช่วงนั้นหาหุ้นดีๆ ราคาถูกได้เต็มตลาดเลยครับ เน้นของดีราคาถูก และรออย่างใจเย็น หลักการของบัฟเฟตต์ จากคุณ : ออสระโอ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 12:36:30

ความคิดเห็นที่ 12 บัฟเฟตต์ไม่ดูกราฟ และเทรนด์ราคาหุ้นนะครับ แต่มองเป็นการซื้อธุรกิจที่จะสามารถผลิตกระแสเงินสดในระยะยาวมากกว่า ซึ่งมีบางทีที่ซื้อไปแล้ว ราคาหุ้นก็ลงได้อีกถึง 50% แต่แม้ราคาลงไปถึงขนาดนั้นบัฟเฟตต์ก็ไม่เดือดร้อนเพราะว่าราคาที่เค้าซื้อไปนั้นมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง มองทั้งในแง่ของกิจการล้มละลายขายสินทรัพย์ทอดตลาด หรือความแข็งแกร่งในการทำกำไรระยะยาว ยังไงก็มีโอกาสคืนทุนสูง แต่ส่วนที่ยากที่สุดคือ ต้องมีความรู้ที่ลึกซึ้งในการมองธุรกิจครับผม จากคุณ : ออสระโอ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 12:41:43

ความคิดเห็นที่ 13 เป็นคำถามในระดับปรัชญาการลงทุนเฉพาะบุคคลครับ คง ไม่สามารถตอบได้หมดในนี้ แม้ว่าไปถามตัวของเขาเอง ก็อาจจะตอบได้ไม่หมด เหมือนกับการที่เราไปถามนักขี่จักรยานยนต์ผาดโผน ว่าขี่อย่างไรถึงไม่ล้ม ไม่เสี่ยง เขาก็อาจจะตอบไม่ได้เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้นแหละครับ มันเป็นความสามารถที่อยู่ ในตัวของแต่ละบุคคล บางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระบวนการคิด ตีค่า พิจารณา ของตัวเองเป็นอย่างไร จากคุณ : มือเก่าหัดขับ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 14:44:40

ความคิดเห็นที่ 14 ผมเคยอ่านปู่บัฟเฟต ว่าคนที่จะประสบความสำเร็จ (ก็คือคุณสมบัติตัวปู่นะเอง) ต้องมี6ข้อ  แต่ผมจำไม่ได้ทั้งหมด 1.เป็นตัวของตัวเอง 2.มีเหตุมีผล  "มันจะถูกหากมันถูก ไม่ว่าใครจะว่าไงก็ตาม" 3.อย่าเชื่อคำโฆษณา 4.ยอมรับความผิดพลาด 5. 6. จากคุณ : อมหุ้นแล้วยิ้ม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 15:42:01

ความคิดเห็นที่ 15 อ่านแล้วอย่าลืมว่า คนตอบในนี้ ไม่ใช่ บัฟเฟตสักคน จากคุณ : nipana เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 16:10:18

ความคิดเห็นที่ 16 รู้สึกจะดูหลายอย่างครับ แต่หลักๆ คือราคาหุ้นถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานของบริษัทนั้น (มูลค่าบริษัท ณ ตอนนั้นราคาเท่าไร มากกว่าจำนวนหุ้นคูณราคาหุ้นเยอะมั้ย) นอกนั้นยังมีอีกเยอะ ความสามารถทำกำไร ความเป็นผู้นำตลาดก็เกี่ยว เท่าที่เคยอ่านหนังสือมารู้สึกจะไม่เคยสนใจเรื่องจุดสูงสุดเลย ส่วนเรื่องการเปลี่ยนเทรนนี่ คงไม่ค่อยเกียว เพราะปู่แกเน้นลงทุนตัวที่มีรายได้สม่ำเสมอ คือโตเรื่อยๆ ไม่มีเทรน อีกอย่างคือ แกดูย้อนหลังหลายปี จากคุณ : BT82 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 16:47:35

ความคิดเห็นที่ 18 ผมยังอ่านหนังสือของลุงไม่จบนะครับ แต่อยากมีส่วนร่วม เท่าที่อ่านมา ลุงแกมองเศรษฐกิจโดยรวมย้อนหลังหลายสิบปีเลยครับ แล้วดูแนวโน้มราคาตอนนี้ดูว่าทั้งตลาดมันสูงหรือยัง อันนี้ภาพรวมนะครับ ส่วนตัวหุ้นแกดูหลายอย่างเลยครับ แต่แกจะเน้นแนวปลอดภัยไว้ก่อนครับ อันดับแรกต้องไม่ขาดทุน ซื้อด้วยความรอบครอบ ไม่หวังผลกำไรที่เกินกว่าเหตุ เท่าที่อ่านมาสรุปได้แค่นี้ครับ จากคุณ : wallak เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 21:40:21