ความคิดเห็นที่ 1 ครับ มีความแตกต่างทางบัญชีครับ แต่หาก จะเอาวิชาการจริง วิธีแบบที่คุณว่าคงไม่แตกต่างกันครับ เหมือน พวก S สัญญาเดือนนึงแต่ไป L อีกเดือน จริงๆ คุณ ปิดสถานะไปก็เหมือนกัน ไม่ต้องทำให้ยุ่งยาก การ เฮจ จริงๆ ไว้สำหรับคนทำภาคธุรกิจจริง เช่น ก่อสร้าง โรงกลั่น ขนส่ง ส่งออก เวลาคุณรับงานมา ก็สามารถล็อก ราคาเหล็ก ค่าเงิน ราคาน้ำมันไว้  ซื้อเป็นการซื้อสัญญาล่วงหน้า(มีการผูกพันธ์) ก็จะใช้เงินน้อย แต่มูลค่าที่ได้มาเยอะ ทำให้เงินไม่จมไปกับการซื้อเก็บสต็อกจริงๆ เป็นการล็อกกำไร ล็อกมาร์จิ้น เพื่อการทำธุรกิจที่แท้จริงครับ แต่คนส่วนใหญ่ ชอบที่จะเก็งกำไร เพราะได้เสียเยอะ เงินน้อย แต่การเคลื่อนไหวหนักหน่วง ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง จากคุณ : Jeonathan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 02:33:09

ความคิดเห็นที่ 2 อย่าคิดคำตอบแบบ หยุดโลก           ต้องนึกถึงสภาวะที่โลกหมุนต่อไป นั่นคือเมื่อออกแบบการเล่นแล้วไปทดลองเสมือนจริงในเกมส์           แล้วนั่งมองเวลาที่ผ่านไปหลังได้รับทุกอย่างเข้าพอร์ตแล้ว           ตัวเลขในพอร์ตจะเริ่มเปลี่ยนไปตามตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลง           คราวนี้ท่านก็จะพบความจริงว่ามันเริ่มชัดเจนว่าตลาดไปทางไหนหรือยังไปข้างๆๆ หรือ มีรอบๆๆขึ้นรอบลง           คราวนี้ท่านก็ลอง ปิดนั่นเปิดนี้  เปลี่ยนแปลง ของที่มีในพอร์ต                หยุดตัวขาดทุน เปิดตัวกำไร                        หรือหมดรอบปิดตัวกำไร ให้ไปทางตัวขาดทุนให้ลดลง                หรือเปิด ตัวที่จะกำไรเพิ่ม                       นี่แหละคือการบริหารพอร์ต          ลองอ่าน ออปชั่นดูบางเผื่อจะได้ไอเดีย                   ปิดไม่ได้ Hedge อย่างไร                       กลายเป็นมีเล่นทางขึ้นและเล่นทางลง                          แล้วปล่อยเฉยๆๆกลายเป็นกลยุทธกำไร ถ้ามันแกว่งไปลงมาก หรือแกว่งไปขึ้นแรงๆๆ               ยังมีอะไรที่ไม่รู้อีกเยอะนะ ลองอ่านและดลองเล่นในเกมส์ซิ                 ท่านกำลังจะเจออะไรดีดีแล้วละ  ที่เริ่มคิดแบบนี้ จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 05:35:52

ความคิดเห็นที่ 3 กรณีนี้ ไม่ถูกต้อง v v กรณี 2 - ผม Short future หุ้น A จำนวน 1 สัญญา ที่ 100 บาท โดยมีแผน Cut loss ที่ราคา 90 บาท - ถ้าแทนที่จะ Cut loss ผมซื้อหุ้นที่มีมูลค่าเท่ากับ future ของหุ้น A จำนวน 1 สัญญา ที่ราคา 90 บาท - ถ้าถือจน Future หมดอายุยังไงผมก็ยังขาดทุน 10 บาท ^ ^ กรณีนี้ ถ้าราคาลงมา  90 บาท การปิดสถานะ คือ  Take Profit   ดังนั้น ถ้าซื้อหุ้นในราคา 90 บาท นั่นหมายถึง จะเป็นการ Lock กำไร  10 บาท นี้ไปตลอด จนหมดอายุ Futures ต่างหาก   จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 06:14:03

ความคิดเห็นที่ 4  กรณีนี้ ก็ไม่ถูกต้องอีก (เป็นลูกโซ่) v v กรณีที่ 3 - ถ้าผม Hedge บางส่วนเช่น ในกรณีที่ 2 ผม Hedge แค่ครึ่งนึงโดยซื้อหุ้นแค่ 50 บาท - ผลก็จะเหมือนกับการ Cut loss ครึ่งนึง ^ ^ ถ้าซื้อหุ้น ในราคาต่ำกว่า หลังจาก Short Futures ก็เท่ากับ Lock Profit ต่างหาก v v โดยกรณีสมมตินี้ มีเงื่อนไขว่า  ราคาหุ้นต้อง แปรผัน ตาม SET50 แบบ 100 %  หรือเทียบเคียงได้กับ  TDEX   จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 06:22:37

ความคิดเห็นที่ 5 กรณีที่ 4 - ถ้าผมถือหุ้น A จำนวน 100 บาท - แทนที่จะ Cut loss ที่ราคา 90 บาืท - ผม Hedge โดยการ Long put option ที่ราคาใช้สิทธิ์ 90 บาท และมี Premium 10 บาท ผลคือ 4.1 ถ้าหุ้นขึ้นต้องขึ้นมากกว่า 110 บาท ผมถึงจะเริ่มได้กำไร 4.2 ถ้าหุ้นลงต้องลงมาจะขาดทุนมากที่สุด 20 บาท ^ ^ กรณีนี้ ถูกต้อง เป็นการ Limit Loss ในขาลง แต่ทำปลายเปิดไว้ในขาขึ้น คือ Unlimit Profit ต้นทุนหุ้น พร้อม ค่าประกันภัย คือ 100 +10 ใช้สิทธิ หรือ เคลมเมื่อ ราคาต่ำกว่า 90ได้ ในราคา 90 ดังนั้น Max. Loss  คือ 20 และ ถ้าราคาหุ้นสูงกว่า 110 บาทไปเท่าไหร่ ก็กำไรไปได้เรื่อยๆ --- ตรงนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าลงทุนในหุ้นอย่างเดียว โดยไม่ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง   จะเห็นผลที่แตกต่างกัน อย่างมากมาย บางคน มีรถคันละล้านหรือต่ำกว่า ก็ยังทำประกัน แต่มีพอร์ทลงทุน ราคาเท่าๆกับรถ หรือ มากกว่า แต่กลับไม่สนใจเรื่องการทำประกัน หรือ การป้องกันความเสี่ยงพอร์ทลงทุน ก็เป็นเรื่องที่ น่าฉงน v v คนที่ลงทุนด้วยความรู้ กับ คนที่ลงทุนด้วยความเชื่อ ในตลาดขาขึ้น  อาจจะให้ผล ที่ไม่แตกต่างกันนัก แต่ในตลาดขาลง รับรองว่า ผลลัพธ์ ไม่มีทางเหมือน หรือ ใกล้เคียงกัน... แน่ๆ... จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 06:49:39

ความคิดเห็นที่ 7 จาก 4.1 และ 4.2 ถ้าแทนที่จะ Hedge ผม Long call option ไปเลยจะดีกว่า หรือก็ต้อง Hedge จนราคาหุ้นมากกว่า 100 + Premium ของ Option ทั้งหมด ถ้าจาก 4 กรณีด้านบนผมเข้าใจถูกไหมครับ แล้วถ้าเข้าใจถูก จะมีกรณีไหนที่การ Hedge ให้ผลดีกว่าการ Cut loss บ้างเหรอครับ ^ ^ แก้ไข เป็น Long Put Option --- กรณี ด้านบน เข้าใจสับสนแล้วล่ะครับ เพราะ Futures กับ Options เป็นเครื่องมือ ที่มีลักษณะแตกต่างกัน ทั้งการใช้งาน และ ผลลัพธ์ที่เกิด กรณีที่นำมาใช้ ร่วมกับ พอร์ทลงทุน จะมีความแตกต่างกัน ดังนี้ v v การ Hedge ด้วย Futures เป็นการ Lock หรือ ตรึงพอร์ทเอาไว้ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ไม่ว่าขณะนั้น จะมีต้นทุนเท่าไหร่ จะกำไร หรือ ขาดทุน อยู่ก็ตาม) เช่น ถ้าคาดว่า ตลาดฯ หรือ หุ้นตัวหนึ่งจะเป็นขาลง เราก็ Short Futures ไว้ ด้วยมูลค่าเท่าๆกัน ขาดทุนในหุ้น จะหักล้างกับ กำไรใน Futures พอดีๆ แต่เราจะปลด หรือ ล้างสถานะ เมื่อคาดว่า ตลาดเริ่มคลายความกังวล หรือ กำลังจะปรับตัวเป็นขาขึ้น หรือ เมื่อเชื่อว่า ราคาหุ้นในขณะนั้น มี MOS อย่างเพียงพอ ในตัวมันเองแล้ว หรือ พูดง่ายๆว่า จุดที่ปลดออก คือ ต้นทุนใหม่ของหุ้นตัวนั้น นั่นเอง เช่นถ้า ราคาหุ้น = 100 แล้ว Hedge ด้วยการ Short Futures พอหุ้นลงมาถึง 60 บาท แล้วล้างสถานะด้วยการ Long นั่นเปรียบเสมือนต้นทุนหุ้น จะเป็น 60 บาท กรณีนี้ ไม่แตกต่างจากการทำ SAP : Short Against Port ซึ่งทำกับหุ้นรายตัว แต่กรณีนี้จะสะดวกกว่า เพราะ ทำกับ... ทั้งพอร์ท   พร้อมๆกันในคราวเดียว --- แต่กรณี Option ถ้านำมาใช้ป้องกันความเสี่ยงหุ้น หรือ TDEX จะเหมือนเป็นการซื้อประกันคุ้มครอง พอร์ทลงทุนมากกว่า ซึ่งสามารถเลือกได้ว่า ต้องการ ราคาเคลมกลับ ที่เท่าไหร่ โดยแลกกับ  Premium หรือ ค่าประกัน ที่ต้องจ่ายไปก่อน....นั่นเอง จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 07:19:14

ความคิดเห็นที่ 8 ...จะมีกรณีไหนที่การ Hedge ให้ผลดีกว่าการ Cut loss บ้างเหรอครับ ^ ^ คำถามนี้ คงหมายถึง Hedge ด้วย Futures อันนี้ เคยอธิบายไปอย่างละเอียดแล้ว v v นักเทคนิคที่ใช้กราฟอย่างเดียว ช่วยแชร์หน่อยนะครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11021030/I11021030.html#32 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 07:24:10

ความคิดเห็นที่ 9 #1 ...แต่หาก จะเอาวิชาการจริง วิธีแบบที่คุณว่าคงไม่แตกต่างกันครับ เหมือน พวก S สัญญาเดือนนึงแต่ไป L อีกเดือน จริงๆ คุณ ปิดสถานะไปก็เหมือนกัน ไม่ต้องทำให้ยุ่งยาก... ^ ^ อันนี้เห็นด้วย การ Hedge ด้วยสัญญาต่าง Series กับการปิดสถานะ บางกรณี จะเหมือนกัน ให้ปิดสถานะไปเลย จะไม่ยุ่งยาก แต่บางกรณี ก็ไม่เหมือน (อันนี้เห็นต่าง) เพราะ จะขึ้นอยู่กับ ค่า Spread และ Basis ของแต่ละซีรีส์ ที่เสนอเข้ามาในตลาด ในขณะนั้นด้วยครับ กรณีตัวอย่าง ...#8,11,14 v v === มองไปทางไหนก็เจอแต่ "ขายชอร์ต" เลยขอแบ่งปันข้อมูลค่ะ === http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11129891/I11129891.html แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 54 07:32:01 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 07:30:18

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบนะครับ สรุปว่าข้อดีของการ Hedge  คือ 1. ใช้ Option เพื่อป้องกันพอร์ต เช่น กรณี 1.1 - ถ้าผมถือหุ้นโดยกะจะถือยาว (แนว VI) จุด Stop loss คือปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน - เพื่อความปลอดภัยผมยอมเสียเงินส่วนหนึ่ง Long put option ไว้ - ถ้าหุ้นขึ้นก็ยอมกำไรน้อยลงนิดนึง เพราำะหักค่า  Premium ของ Option ออก - แต่ถ้าหุ้นลงมากว่าค่า Premium ของ Option ลงผมก็ได้กำไรจาก Option 2. การ Hedge ด้วย Future ต่าง Series (ในกรณีที่แต่ละ Series มีราคาต่างกัน) จะได้ส่วนต่างของ Spread เช่น กรณี 2.1 - มี Future อยู่ 2 Series คือ หมดอายุสิ้นเดือน ม.ค และสิ้นเดือน มี.ค - Short future series เดือน ม.ค ที่ราคา 100 บาท - มีแผน Cut loss ที่ 110 บาท - ถ้าถึงจุด Cut loss แล้วเห็น Future series เดือน มี.ค ราคา 100 บาท (ห่างกัน 10 จุด) - แทนที่จะ Cut loss ก็ถือโอกาส Hedge ด้วยการ Long  series เดือน มี.ค - เมื่อสิ้นเดือน ม.ค แล้ว Future เดือน มี.ค ที่จะมาแืทนจะมีราคาเท่ากับ Future เดือน ม.ค ที่จะหมดอายุลง - ผลคือจะได้ส่วนต่าง 10 บาท -** มีข้อสงสัยนิดนึงว่า Future series ที่เข้ามาแทนที่กับ series ที่หมดอายุลง มีโอกาสราคาไม่เท่ากันไหมครับ 3. สรุปจากข้อ 1. และ 2. ได้ว่าการ Hedge เป็นการเพิ่มทางเลือกในการบริหารพอร์ต ต่างจากการ Cut loss ที่มีเพียงทางเลือกเดียว ข้อ 1.-3. ผมเข้าใจถูกไหมครับ จากคุณ : dijsktra เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 02:01:52

ความคิดเห็นที่ 11 1. ใช้ Option เพื่อป้องกันพอร์ต เช่น กรณี 1.1 - ถ้าผมถือหุ้นโดยกะจะถือยาว (แนว VI) จุด Stop loss คือปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน - เพื่อความปลอดภัยผมยอมเสียเงินส่วนหนึ่ง Long put option ไว้ - ถ้าหุ้นขึ้นก็ยอมกำไรน้อยลงนิดนึง เพราำะหักค่า  Premium ของ Option ออก ^ ^ ส่วนนี้ ถูกต้อง เพราะ บางครั้ง กว่าที่คนๆหนึ่ง จะรู้ว่าพื้นฐานเปลี่ยน ราคาอาจจะตอบสนอง  ไปก่อนแล้ว หรือ ราคาในขณะที่  ทราบข้อมูล อาจจะต่ำกว่า จุด Cut Loss ไปมากแล้วก็ได้ ความแตกต่าง ของการ Cut Loss กํบ การใช้ Options ก็คือ  ถ้าราคามาถึงจุด Cut Loss  นั่นหมายถึง ไม่มีทางเลือก และ พอ Cut ไปแล้ว ถ้าราคาหุ้นดีดกลับ แล้ววิ่งขึ้นไปยาวๆ ด้วยสาเหตุที่เกิด Panic หรือ มีข่าวเชิงลบ กระทบกิจการในระยะสั้นๆ บางที  อาจจะเสียโอกาสหรือกำไร  ในระยะยาว ไปอย่างน่าเสียดาย แต่กรณี ถ้าใช้ Options นั่นหมายถึง ราคาจะแกว่งตัว ในแบบใดก็ตาม จะขึ้น-ลง รอบๆ จุดที่เป็น ราคา สำหรับ Cut Loss กี่หน ... เราก็ไม่ต้องทำอะไร v v ความคุ้มครอง หรือ สิทธิในการเคลมราคา นั้น จะคงอยู่ไปตลอด จน Options หมดอายุ และ ถ้าราคาขึ้นไปแรงๆ หรือ มีกำไร มากๆแล้ว ก็อาจซื้อ Options ใน Strike Price ที่สุงขึ้น (เหมือนกรมธรรม์ อีกฉบับ) ก็จะเป็นการประกัน กำไรในส่วนที่ได้มาแล้ว ก็ยังสามารถ ทำได้อีก โดยหากราคาหุ้น มีการปรับตัวลงอย่างรุนแรง กำไร ที่ได้มาแล้วก็จะไม่หายไป แต่อย่างใด โดยถ้าราคาหุ้นสุงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะได้กำไรจากส่วนเกินของ ค่า Premium นี้ วน Loop แบบเดียวกับที่ได้ทำไป ในครั้งแรก นั่นเอง คือ การใช้ Options ในครั้งแรก ก็เพื่อป้องกัน เงินลงทุน หรือ ตัวพอร์ท ไม่ให้เกิดความเสียหายมากๆ (ซื้อความคุ้มครองเงินต้น) แต่เมื่อราคาสูงขึ้นไปมากๆ  การใช้ Option ซ้อน ในครั้งต่อๆไป ก็จะเป็นการ Protect Profit (ซื้อความคุ้มครอง ในส่วนกำไรที่ได้มาแล้ว) ประมาณๆ นี้น่ะครับ ----   - แต่ถ้าหุ้นลงมากว่าค่า Premium ของ Option ลงผมก็ได้กำไรจาก Option ^ ^  แบ่งเป็น 2 กรณี กรณี ที่ต้องการกำไร จาก Options ตรงนี้  ต้องซื้อ Options ในลักษณะเก็งกำไร คือ มองว่าราคาจะลง แล้ว Long Call Option เปล่าๆ โดยไม่ถือหุ้น แต่ ถ้าราคาหุ้นขึ้นมากกว่า Strike Price เราก็เสียค่า Premium หรือ ยอมขาดทุนส่วนนี้ไป --- ส่วนกรณีที่ กล่าวในช่วงต้น ใน #5 คือ การใช้ Options มาป้องกันความเสี่ยง พอร์ทลงทุน ที่แปรผันตรงกับ ดัชนี หรือ  เช่นในกรณี TDEX ดังนั้น  ถ้าราคาหุ้น ลงต่ำกว่า Strike Price ที่เลือก  นั่นหมายถึง จะมีกำไร จาก Option เมื่อใช้สิทธิ แต่กำไร หรือ ส่วนต่างตรงนี้ จะถูกหักล้างกับ การขาดทุนในราคาหุ้น โดยทั้งหมด จะเป็นตามเงื่อนไขใน #5  นั่นเอง จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 07:45:12

ความคิดเห็นที่ 12 กรณี 2.1 - มี Future อยู่ 2 Series คือ หมดอายุสิ้นเดือน ม.ค และสิ้นเดือน มี.ค - Short future series เดือน ม.ค ที่ราคา 100 บาท - มีแผน Cut loss ที่ 110 บาท - ถ้าถึงจุด Cut loss แล้วเห็น Future series เดือน มี.ค ราคา 100 บาท (ห่างกัน 10 จุด) - แทนที่จะ Cut loss ก็ถือโอกาส Hedge ด้วยการ Long  series เดือน มี.ค อันนี้ ถูกต้อง / ถ้าตัวเลขทั้งหมด เป็นไปตามนี้ - เมื่อสิ้นเดือน ม.ค แล้ว Future เดือน มี.ค ที่จะมาแืทนจะมีราคาเท่ากับ Future เดือน ม.ค ที่จะหมดอายุลง - ผลคือจะได้ส่วนต่าง 10 บาท ผลรวม จะเท่าทุน (ไม่คำนึงถึงค่าคอมฯ) เพราะ ถ้าราคาทั้งสองซีรีส์ วิ่งเข้าหากัน ส่วนต่าง 10 บาท จากกำไรนี้ จะไปหักล้างกับ ที่ขาดทุน10 บาท ในตอนแรก... ก่อนทำการ Hedge ไม่ว่าจะเกิดขึ้น ในวันไหน --- -** มีข้อสงสัยนิดนึงว่า Future series ที่เข้ามาแทนที่กับ series ที่หมดอายุลง มีโอกาสราคาไม่เท่ากันไหมครับ ^ ^ ปกติ ถ้าเดิมอยู่ห่างกัน  วันหมดอายุ ของตัวแรก ...ซึ่งราคา กับ ดัชนี จะลู่เข้าหากัน ส่วนตัวถัดมาทีเข้ามาแทนที่.... จะมีระยะห่าง พอๆกับตัวเดิมก่อนหมดอายุ นั่นไม่ได้หมายความว่า ราคาตัวที่เข้ามาแทนที่ จะเข้าไปเท่ากับราคาตัวที่ กำลังจะหมดอายุ  ในวันนั้น เพราะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ราคาทุกซีรีส์ ก็ต้องเท่าๆกัน แล้วก็ไปเท่าๆ กับ ดัชนี  ในทุกวันสิ้นอายุ   ซึ่งจากกระทู้ ทีอ้างอิงถึง ข้างบน v v === มองไปทางไหนก็เจอแต่ "ขายชอร์ต" เลยขอแบ่งปันข้อมูลค่ะ === http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11129891/I11129891.html ^ ^ จะเห็นได้ว่า กรณีนี้ ไม่ได้ เป็นแบบนั้น แต่เป็น...บทกลับ... ของกรณีข้างต้น อีกทีหนึ่ง v v   คือ ในช่วงเวลา ที่ราคาทุกซีรีส์ เท่าๆกัน และ มีส่วนต่างกับดัชนี ค่าหนึ่ง (Basis)   หมายเหตุ : ในวันที่ 16 สิงหาคม            SET 50 ปิดที่ 748.8 v v แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 54 09:10:08 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 08:46:19

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ในช่วงเวลานั้น เราสามารถคาดได้ว่า ราคา U กับดัชนี ต้องลู่เข้ากัน ...ในวันสิ้นอายุ   เพราะสุดท้าย  ...จะใช้ SET 50 Index ในการอ้างอิงเพื่อคำนวณ ราคาส่งมอบ   เพียงแต่ เราไม่รู้ว่า ราคากับดัชนี ในวันสิ้นอายุ จะอยู่สูง หรือ ต่ำกว่านี้   ดังนั้น ไม่ว่าเราจะกำไร หรือ ขาดทุน ในการ Long - U เราจะไม่ปิดสถานะที่ U ทันที แต่เราควรเลือกที่จะ Hedge ด้วย ซีรีส์อื่นแทน และผล ก็ออกมา ดังภาพที่ปรากฏ   หมายเหุต :ในวันสิ้นอายุของ U           ณ เวลานั้น  SET50 อยู่แถวๆ 643 +/-           ( เท่าๆกับ U )   v v แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 54 09:28:01 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 54 09:05:18 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 08:56:20

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ จากคุณ : dijsktra เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 19:23:00