leftmargin="0" marginheight="0" marginwidth="0" onLoad="makeRequest('/cafe/sinthorn/topic/I11174132/I11174132.txt');">
Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จะซื้อหรือจะขายหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50071
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"


โลกในมุมมองของ Value Investor          8 ตุลาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ   คนที่ไม่ได้ถือหุ้นอยู่  หรือถือไว้น้อยมาก  ก็มักจะถามว่า   “ซื้อหุ้นได้หรือยัง?”  คนกลุ่มนี้มักจะเป็นนักเล่นหุ้นสมัครเล่น  และเป็นคนมีเงินที่พร้อมเข้าไปเสี่ยงเก็งกำไรจากตลาดหุ้นเป็นครั้งคราว  กลยุทธ์ของเขาก็คือ  ช้อนซื้อหุ้นในช่วงที่มันตกต่ำเพราะตลาดเกิด  “แพนิค”  นั่นคือ  นักลงทุนตกใจจากภาวะน่ากลัวทางเศรษฐกิจและเทขายหุ้นอย่างหนัก  ทำให้ดัชนีปรับตัวลงแรง  ความเชื่อของพวกเขาก็คือ  เมื่อหุ้นตกลงมาแรง   มันก็มักจะ  “กระเด้ง”  กลับขึ้นไปอย่างแรงเช่นกัน  ดังนั้น  เขาอยากรู้ว่าดัชนีที่ตกต่ำลงมามากในระยะเวลาอันสั้นนั้น  ถึง  “พื้น” หรือยัง  ถ้าผมตอบว่า  “หุ้นมันก็ลงมามากน่าสนใจแล้ว—ถ้าถือไปซัก 2-3 ปี”  เขาก็จะเข้าไป “ช้อน” ซื้อหุ้นทันที

  เกณฑ์ที่ผมใช้ในการให้คำแนะนำที่  “จำเป็น”  ต้องทำนี้ก็คือ  ผมจะดูว่าดัชนีหุ้นได้ตกลงมามากน้อยแค่ไหน—จากต้นปี   ผมเองไม่เคยจำดัชนีสูงสุดในระหว่างปีได้และก็ไม่สนใจดูด้วยเพราะผมชอบมองระยะยาวมากกว่า  ถ้าผมพบว่าหุ้นได้ตกลงมามากพอสมควรนับจากต้นปี  ผมก็คิดว่าความเสี่ยงในการเข้าไปลงทุนก็น่าจะน้อยลง  อย่างไรก็ตาม  นี่จะต้องประกอบกับการดูย้อนหลังไปอย่างน้อย 2-3 ปีด้วยว่า  ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหน  ถ้าหุ้นติดลบมาต่อเนื่องกัน  ผมก็จะรู้สึกว่าความเสี่ยงในการเข้าไปซื้อหุ้นก็น่าจะลดลงไปอีก  แต่ถ้า 2-3 ปีนั้น  หุ้นได้ขึ้นมามากอย่างที่เป็นอยู่  ผมก็จะระวังมากขึ้น  ลึก ๆ  แล้วผมคิดว่าถ้าสิ้นปีนี้  ดัชนีต่ำกว่าสิ้นปีที่แล้วบ้าง  ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ  ดังนั้น  การที่ดัชนีหุ้นในช่วงนี้ต่ำกว่าเมื่อตอนต้นปีประมาณ 10%  มันก็ไม่น่าจะบอกได้ว่าหุ้นในขณะนี้มีราคาต่ำมากมายอะไรนักแม้ว่ามันจะตกลงมากว่า 20% แล้วถ้านับจากกลางปี  เหนือสิ่งอื่นใด  สถิติหุ้นไทยนั้น  ในเวลา 10 ปี  หุ้นจะขึ้นประมาณ 6 ปี  และหุ้นจะตกประมาณ 4 ปี

  นอกจากเรื่องของผลตอบแทนที่ผ่านมาทั้งปีปัจจุบันและปีย้อนหลัง 2-3 ปีแล้ว   ผมยังดูด้วยว่าดัชนีที่ตกลงมามากนั้น  ทำให้ค่า PE  ค่า PB  และผลตอบแทนจากปันผลจะเป็นเท่าไร  ถ้าค่า PE และค่าอื่น ๆ  นั้นชี้ว่าหุ้นในตลาดโดยเฉลี่ยไม่แพง  เช่น  ค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่ามาก ๆ  ความเสี่ยงในการเข้าซื้อหุ้นก็ลดลง  ตรงกันข้าม  ถ้าค่า PE  ยังสูงอยู่เกินกว่า 13-14 เท่า  การซื้อหุ้นก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยังเสี่ยงอยู่แม้ว่าราคาหุ้นจะลดลงมาก  แต่ถ้าค่า PE  อยู่ที่ประมาณ 10 เท่าซึ่งเท่า ๆ  กับค่าเฉลี่ยในอดีตของตลาดหุ้นไทยอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้  ผมก็จะถือว่าความน่าสนใจในการซื้อหุ้นน่าจะอยู่ในระดับกลาง ๆ

  นอกจากเรื่องของผลตอบแทนของดัชนีตลาดในปีปัจจุบันและในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  เรื่องของค่าความถูกความแพงของตลาดที่วัดด้วย PE และค่าอื่น ๆ  แล้ว  ผมยังต้องดูสภาวะทางเศรษฐกิจการเงินของโลกและประเทศไทยด้วยว่าจะเป็นอย่างไรในช่วง 1-2 ปีที่จะมาถึง  ถ้าสภาวะไม่ดีและมีความเสี่ยงสูงที่จะเลวร้ายลงมากโดยเฉพาะกับเศรษฐกิจไทย   ความเสี่ยงของการลงทุนซื้อหุ้นก็จะสูงขึ้น   แต่ถ้าผมมั่นใจว่าอย่างไรเสียเศรษฐกิจไทยก็น่าจะยังดีอยู่พอสมควรแม้ว่าเศรษฐกิจต่างประเทศอาจจะไม่ดีนัก  แบบนี้  การที่หุ้นตกเพราะคนกลัวภาวะเศรษฐกิจโลกก็อาจจะเป็นโอกาสของการเข้าไปช้อนซื้อหุ้นได้

  ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็เป็นเรื่องของคนที่ไม่ค่อยมีหุ้นอยู่ในมือและก็มักจะไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นหรือทุ่มเทกับการลงทุนมากนัก  แต่สำหรับคนที่ถือหุ้นอยู่มากและเอาจริงเอาจังกับการลงทุนคำถามก็มักจะกลับกันว่าการที่หุ้นตกหนักมากนั้น  เขาควรขายหุ้นหรือเปล่าเพื่อลดการสูญเสีย  เขาควรรักษาเงินสดเอาไว้เพื่อรอกลับมาซื้อหุ้นที่จะตกต่ำและถูกลงไปอีกหรือไม่?  พวกเขาคิดว่าสภาวการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้ายในต่างประเทศอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยลง   และนั่นจะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและทำให้หุ้นตกลง  ดังนั้น  แม้ว่าค่า PE ตลาดในปัจจุบันอาจจะไม่สูง  หุ้นราคาไม่แพง  แต่ในอนาคตค่า PE  ก็จะสูงขึ้นเพราะค่า E หรือกำไรจะลดลง  ถ้าเป็นแบบนี้หุ้นก็จะตกลงไปอีก  ดังนั้น  ทางออกที่ดีกว่าก็คือ  ขายหุ้นทิ้ง  อย่างน้อยก็บางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงลง  และเมื่อหุ้นตกต่ำถึง “พื้น”แล้วค่อยคิดซื้อหุ้นคืนภายหลัง

  ประเด็นก็คือ  เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ได้ถูกต้องว่าหุ้นที่ได้ปรับตัวลงมาอย่างหนักแล้ว  จะตกลงต่อไป  ประสบการณ์ในทุกครั้งที่มีเหตุการณ์  “วิกฤติ”  และทำให้หุ้นตกลงมารุนแรงนั้น  ก็จะมีช่วงเวลาที่หุ้นจะ “กระเด้ง”  ขึ้นมารุนแรงเป็นช่วง ๆ  และก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าหุ้นจะขึ้นไปเลยหรือจะตกลงไปใหม่อีก  ที่ยิ่งยากไปกว่านั้นก็คือ  หุ้นตัวที่เราถืออยู่อาจจะมีพฤติกรรมการขึ้นลงแตกต่างจากภาวะตลาดโดยรวมด้วย  นั่นคือ  หุ้นตัวที่ถืออยู่อาจจะแย่หรือดีกว่าตลาด  ทำให้การวิเคราะห์ภาวะตลาดได้ถูกต้องนั้น  ไม่มีประโยชน์  เช่น  ดัชนีตลาดอาจจะลงต่อ  แต่หุ้นที่เราถืออยู่บางตัวอาจจะปรับตัวขึ้นไปแล้ว  ดังนั้น  ถ้าเราขายหุ้นไปโดยหวังว่าหุ้นจะลงแล้วเราเข้าไปซื้อกลับมาก็จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

  สุดท้าย  สำหรับคนที่มีหุ้นจำนวนหนึ่งและก็มีเงินสดที่พร้อมจะลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มเติมได้  สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ  เขาอาจจะอยากถามว่า  เขาควรขายหุ้นที่มีอยู่หรือซื้อหุ้นเพิ่มดี?  คำถามของเขาก็คงมาจากความคิดว่าหุ้นในขณะนั้น  ถูกหรือแพง  และคำตอบก็คือ  เขาไม่มั่นใจ  แต่ละวันที่ผ่านไปเขาอาจจะพยายามประเมินด้วยความกระสับกระส่ายเมื่อเห็นราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว  วันหนึ่งเขาอาจจะนึกอยากขาย  แต่อีกวันหนึ่งก็คิดว่าเขาควรจะซื้อเพิ่ม  เขาอยากฟังคำแนะนำหรือความคิดเห็นของคนที่เขานับถือว่ามีความสามารถและเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และลงทุนในตลาดหุ้นแต่ความเห็นของแต่ละคนก็ยังไม่สอดคล้องกัน   สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายเพื่อ “ลดความเครียด” โดยการขายหุ้นทิ้ง

  ความเห็นของผมสำหรับคนที่ยังคิดไม่ออกหรือตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้อหรือขายหุ้นดี  ก็คือ  เราควรอยู่เฉย ๆ   เพราะการที่เราคิดไม่ออกระหว่างการซื้อหรือขาย   นั่นอาจจะแปลว่า  ราคาหุ้นอาจจะ “ก้ำกึ่ง”  มากระหว่าง  “ถูกหรือแพง”   นั่นแปลว่าหุ้นคงไม่มี  Margin of Safety หรือส่วนต่างของความปลอดภัยในกรณีที่เราจะซื้อ  ดังนั้น  การซื้อคงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ถูกต้อง   เช่นเดียวกัน  การขายในช่วงที่ตลาดกำลังแพนิคนั้น  ตามประสบการณ์ของผม  มักเป็นการขายที่แย่หรือได้ราคาที่ต่ำที่สุด  เพราะถึงแม้ว่าตลาดยังมีแนวโน้มที่จะลงอยู่  แต่ในระยะสั้น  ๆ  บ่อยครั้งหุ้นมักกระเด้งกลับขึ้นมาให้เราได้ขายในราคาที่ดีกว่าวันที่หุ้นตกรุนแรงแบบคนตื่นตูม  ดังนั้น  มันจึงไม่ใช่เวลาที่ควรขาย  สรุปแล้ว  ถ้าเรายังคิดไม่ออกว่าเราควรขายหรือซื้อหุ้น  เราก็ควรจะอยู่เฉย ๆ   ในตลาดหุ้นนั้น  ไม่มีใครบังคับให้เราต้องตัดสินใจ  ยกเว้นในกรณีที่เราใช้มาร์จินในการซื้อหุ้นและหุ้นของเราถูกบังคับขายเพราะราคาตกลงมามาก    ซึ่งในกรณีนั้น  มันก็มักจะเป็นหายนะ  และนี่ก็เป็นอีกคำแนะนำหนึ่งของผมว่า  ในยามที่หุ้นมีความผันผวนและอาจจะมีโอกาสเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้น  อย่าใช้มาร์จิน  และถ้าเรามีเงินกู้มาร์จินอยู่  จงลดมาร์จินให้หมด

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 54 14:00:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com