ความคิดเห็นที่ 1 แนว VI ก็ถัวได้หมดทุกทางล่ะครับ ถ้ามูลค่ามันต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้ ถ้ามันลงเรื่อยก็จะได้ของถูกเรื่อยๆ แต่ต้องถัวให้มีจังหวะเว้นสักหน่อยนะครับ ถ้ามันขึ้นมา VI ก็อุ่นใจแล้วครับ อย่างน้อยมันก็เริ่มให้ผลกำไรกลับมาบ้างล่ะ สรุปคือ VI สบายใจครับ 5555 ซื้อแล้วถือยาวๆ ไม่ต้องไปดูตลาดหุ้นให้มันปวดหัว >_< วุ่นวาย จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 20:13:36

ความคิดเห็นที่ 2 ถัวขาขึ้นสำหรับผมคือการเล่น Daytrade เพราะถ้าเด้งสัก 2 ช่องก็ได้ค่าขนมแล้ว ส่วนถัวขาลงก็คือยอดเฉลี่ยที่ต่ำลงมา จากคุณ : amphun (Amphun) เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 20:14:17

ความคิดเห็นที่ 3 ระบบ KZM ที่ผมใช้อยู่มีทั้งการถัวขาขึ้นและขาลงเลยครับ สรุปคือ ถัวหมดทุกสถานการณ์ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 20:14:18

ความคิดเห็นที่ 4 ครับ กลยุทธ์ต่างกันแต่กำไรเหมือนกันครับ มานั่งคิดดู ตอนปี 2008 subprime นี่ ถ้าสายเน้นคุณค่า ยิ่งถูกยิ่งซื้อ ก็ยิ่งลง ไม่มีใครรู้ว่า bottom อยู่ไหน  ก็ต้องบริหารหน้าตักกันเอาเองหละครับ โดย   ถ้ามี benchmark คือ fair value หรือ dividend มา buffer  ก็คำนวณกันไปครับ ^^ จากคุณ : เจ้าชายชาเย็น เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 20:29:00

ความคิดเห็นที่ 5 ถัวขาขึ้นตอนนั้นก็กำไร ถัวขาลงตอนนั้นก็ขาดทุน จากคุณ : เจ้าภาพจงเจริญ เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 20:31:39

ความคิดเห็นที่ 6 สถานะการณ์รอบนี้ เป็นแค่รอบสั้นๆ ไม่เหมาะที่จะซื้อถัว นะครับ จะลองดูก็ได้ครับ( หุ้นขึ้นแต่ท่านอาจไม่ได้กำไร) จากคุณ : tong8 เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 20:43:13

ความคิดเห็นที่ 7 ความคิดเห็นที่ 1 RakRok12 ชอบแนว Vi RakRok12 ต้องเป็นแบบอย่างก่อนครับ ก่อนที่จะเชียร์แนวนี้ RakRok12 ต้องซื้อ ลงไม่ต้องคัดครับ และถือไปเรื่อย เนื่องจากคิดว่าแนวนี้เนี๊ยบแล้ว เดี๋ยวผ่านไป เมื่อทุนตาย RakRok12 ก็จะรู้ได้เองว่า Vi สมควรหรือไม่ จากคุณ : teety เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 20:54:16

ความคิดเห็นที่ 8 ผมรู้แต่ว่า ไม่ต้องมาปวดหัวกับการนั่งมองตลาดตลอดเวลาอ่ะครับ >_<  4 วันแรกที่นั่งเล่นแบบ Daytrade ผมแทบจะไม่ได้ทำงานอย่างอื่นเลยนั่นแหละครับ 5555 เพราะต้องมานั่งพะวงกับหุ้นตัวเองมากๆ ลงเลยใช่ว่าจะต้องซื้อทันทีเสมอไปนะครับ แล้ว VI เน้นการทยอยซื้อเป็นหลัก แต่ขายออกทีเดียว หุ้นตัวผมมองอยู่ก็แวะมาดูแค่ครั้งคราว ดูแค่ราคาเท่านั้นเองครับ ไม่ต้องมานั่งมอง bid offer อะไรอีก >_< แต่ผมก็ไม่ซื้อทันทีที่ลงเหมือนกัน จะต้องมีเกณฑ์การพิจารณาใหม่ว่าควรซื้อเพิ่มหรือควรคัทออกมา >_< แต่แน่นอนครับว่า แนว VI ต้องไปอ่านหนังสือ อ่านข่าว อ่านบริษัทประกอบการเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆ แทนการมองที่ตัวกราฟ แต่ผมก็ยังต้องอ่านทฤษฎีแนวคิดของ VI ให้มากๆกว่านี้เหมือนกันครับ >_<' จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 21:10:45

ความคิดเห็นที่ 9 RakRok12 สุดหล่อครับ พี่เตือนด้วยความเป็นห่วงครับ แนว Vi ไม่เหมาะครับ จะเหมาะสมก็ต่อเมื่อ มาซื้อมาเข้าหุ้นในราคาถูกและต่ำครับ หาก vi มาซื้อหุ้นตอนที่เต็มหรือเกินมูลค่าไปแล้ว Vi ก็คือ เหยื่อครับ ไม่ต่างกับแนวอื่นๆ เลยครับ จากคุณ : teety เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 21:32:52

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าเป็นผม จะถัวขาลง แล้วหุ้นช่วงที่ลงมาร่วม 300 จุด จาก 1100 ราคาไม่ได้ถูกนะครับ ส่วนมากแค่ fair value เท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้นราคา over value แทบทุกตัว ถ้าผมซื้อหุ้นได้ราคาถูกกว่ามูลค่าปัจจุบันของบริษัท ถ้ามันยิ่งลงผมก็จะซื้อเพิ่ม จากคุณ : Shimi เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 21:35:35

ความคิดเห็นที่ 11 สายพาณิชย์ มีคติพจน์ว่า ...ยิ่งลง ยิ่งซื้อ เพราะ ถือว่ายิ่งถูก หรือ เฉลี่ยขาลง.. - แนวคิดนี้ มีข้อดี คือ ทำให้อัตราผลตอบแทน ต่อเงินทุน ในส่วนหลังๆ ที่ใส่เข้าไป เพิ่มสูงขึ้น ถ้าเงิน ปันผล ที่ได้ เป็นไปตามความคาดหมาย แต่ สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ เงินทุนนั้น จะจมลงไปในหุ้นตัวนั้น และ อยู่ในสถานะขาดทุน เมื่อคิดจาก Capital Gain เสมอ เช่น ซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 10 / 8 / 6 ... บาท/หุ้น .... 3 ราคา โดยซื้อครั้งละ 1 หน่วย ดังนั้น ราคาทุนเฉลี่ย จะอยู่ที่ 8 บาท ในขณะที่ ราคาตลาด อยู่ที่ 6 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ดี และ ราคาหุ้นตกต่ำ เป็นแค่ชั่วคราว ตรงนี้ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ก็เพียงรอเวลา ราคาหุ้น ปรับตัวขึ้น แต่ถ้า การวิเคราะห์ เกิดผิดพลาด หรือ แม้ไม่ผิดพลาด แต่ มีสิ่งที่ไม่คาดคิดกระทบต่อพื้นฐาน หรือ กิจการ อย่างรุนแรง โดยที่ผู้ลงทุน ไม่ทราบ หรือ ไม่มี Inside มาก่อน การเข้าซื้อเฉลี่ย ขาลง ก็อาจเป็น หายนะ ได้เลยทีเดียว ดูตัวอย่าง หุ้นหลายตัว ที่ราคาปรับตัวลงมาก โดยพื้นฐานกิจการ ได้เปลี่ยนไปแล้ว และ ราคาหุ้น ก็ไม่เคยขึ้นมาอีกเลย แม้จะยังอยู่ในตลาด --- ตรงนี้ ฝากไว้ เป็นข้อคิด สำหรับ มือใหม่ นะครับ ใครที่เก่งมากๆ แล้ว ดูงบขาด อ่านอนาคต บริษัทออก คงไม่ต้องสนใจ... + สายเทคนิค ซื้อเพิ่ม หรือ เฉลี่ยเมื่อราคาขึ้น และ ตัดขาดทุน หากราคาลง v v ตรงนี้ คือ แนวคิด ที่แตกต่างกัน แบบตรงข้าม เพราะ สายเทคนิค โดยปกติ จะเล่นกับ ราคา หรือ ส่วนต่าง เมื่อซื้อหุ้น ที่ราคาหนึ่งแล้ว ราคาหุ้น กลับปรับตัวลง นั่นหมายถึง ต้องเอาเงินทุน กลับมาก่อน โดยยอมเสียส่วนต่างหรือตัดขาดทุน ให้กับ ความผิดพลาด ในการตัดสินใจ ครั้งนั้นไป แต่หาก เข้าซื้อแล้ว ราคาปรับเพิ่ม ก็สามารถ เข้าซื้อเพิ่มได้อีก หรือ ทยอยซื้อ ในขาขึ้น (ซึ่งก็มีหลายรุปแบบ ในการ เพิ่มจำนวน) เช่น ซื้อหุ้นครั้งละ1 หุ้น ที่ราคา 6 / 8 /10... บาท/หุ้น จะทำให้ ราคาเฉลี่ยทุน   อยู่ที่ 8 บาท ในขณะราคาตลาด อยุ่ที่ 10 บาท ตรงนี้ จะเห็นได้ว่า ราคาทุน จะต่ำกว่า ราคาตลาด หรือ ยังมีกำไรจาก Cap. Gain ตลอดเวลา และก็ยัง มีสิทธิรับเงินปันผล หากถือหุ้น ผ่านช่วงเวลาดังกล่าวด้วย การซื้อเฉลี่ยขาขึ้น นั่นหมายถึง การซื้อครั้งต่อไป จะเกิดขึ้น เมื่อการซื้อครั้งแรก มีกำไรแล้ว และตรงนี้ก็จะเป็น  MOS ด้วยตัวเงินจริงๆ ในขณะที่ การซื้อเฉลี่ยขาลง เท่ากับ ได้ใช้ MOS ไปแล้ว ตั้งแต่ ครั้งแรก ที่ซื้อนั่นเอง --- ความแตกต่างของผลตอบแทน สำหรับ มือใหม่ ในการซื้อเฉลี่ย 2 แนวทางนี้ อาจจะมีบ้าง แต่คงไม่มากนัก ถ้าบริษัทนั้น มีผลประกอบการดี และเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่รับรองว่า หากบริษัทนั้น เกิดสิ่งผิดปกติ หรือ มีผลประกอบการเปลี่ยนไป ในทางที่เลวร้ายลง มือใหม่ 2 คนนี้ จะได้รับผลกระทบ ต่างกันมากมาย อย่างแน่นอน ---  สมมติ ราคาตลาด ของหุ้นตัวหนึ่ง อยุ่ที่ 100 บาท /หุ้น เราใช้ค่า P/E  แล้วสรุปว่า ราคาที่เหมาะสม คือ 120 บาท /หุ้น แล้วกำหนด MOS = 30 % (ต้องการส่วนลด เป็นกันชนเพื่อความปลอดภัย 36 บาท) v v คำถาม ท่านจะซื้อ หุ้นตัวนี้ทันที เพราะ Under Valued โดย มี Up side Gain 20 % = 20 บาท หรือ รอจนกว่าราคาหุ้น จะตกลงมาต่ำกว่า 84 บาท โดยในขณะนั้น มี MOS 20 บาทแล้ว และต้องการอีก 16 บาท และ อะไร คือ เหตุผล สนับสนุน ต่อการเลือก ที่ต่างกัน ใน 2 ทางเลือกนี้ --- ถ้าท่านเลือก...ข้อแรก ต่อมา ราคาหุุ้น ตกลงมาอีกเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 84 บาท แล้วมีคนมาบอกว่า  ท่านไม่มีวินัย ในเรื่อง MOS   ท่านจะ ยอมรับหรือไม่ ...เพราะเหตุใด และ ถ้าท่านเลือก ...ข้อหลัง หากราคาหุ้น ไม่เคยลงมาต่ำกว่า 84 บาท อีกเลย เพราะ ราคาได้ขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านคิดว่า เป็นการเสียโอกาส ในการลงทุน ...หรือไม่... เพราะเหตุใด จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 22:08:55

ความคิดเห็นที่ 12 ....แชร์ความเห็นกันนะครับ  ต่างกลยุทธ์ต่างความคิด   mindset นึงๆ จะมี outcome ออกมาต่างกัน ในอนาคตจะมี สถาปนิค ด้านการออกแบบระบบเทรดไหมครับ  ^-^ ... ^ ^ ทุกวันนี้ ก็มีอยู่แล้วครับ Ref : http://www.set.or.th/th/products/trading/equity/tradingsystem_p12.html v v จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 22:33:20

ความคิดเห็นที่ 13 ตลาดหลักทรัพย์ฯหนุนAlgorithmic Trading ตลาดหลักทรัพย์ฯ หนุนผู้ลงทุนสถาบัน ส่งคำสั่งซื้อขายแบบ Algorithmic Trading โดยปรับเกณฑ์รองรับ ลดอุปสรรคในการทำธุรกรรม นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดให้มีการส่งคำสั่งซื้อขายแบบ Algorithmic Trading และมีนโยบายสนับสนุน ลดอุปสรรค เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบัน ใช้ Algorithmic Trading มากขึ้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการซื้อขายของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม อันถือเป็นแผนงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องให้มากขึ้น โดยจากสถิติในปี 2551 มีมูลค่าการซื้อขายผ่านการใช้โปรแกรม Algorithmic Trading ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ร้อยละ 15 ตลาดหลักทรัพย์เกาหลี ร้อยละ 13.5 และตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ร้อยละ 9.3 สำหรับประเทศไทยยังอยู่ในวงจำกัด มีเพียงร้อยละ 0.7 ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด Algorithmic Trading เป็นการซื้อขายผ่านชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยตัดสินใจซื้อขาย โดยการกำหนดค่าต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น เวลา ราคา และปริมาณการซื้อขาย เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่มีกลยุทธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้นักลงทุนส่งคำสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ช่วยเพิ่มความสะดวกในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและต้นทุนการซื้อขาย จึงเป็นวิธีที่ใช้กันมากในกลุ่มผู้จัดการกองทุนในประเทศ แถบอเมริกา ยุโรป และเอเชียบางประเทศ “ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมั่นว่า Algorithmic Trading จะได้รับความสนใจจากบริษัทหลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบันไทยมากยิ่งขึ้น โดยจะสนับสนุนการส่งคำสั่งแบบ Algorithmic Trading อย่างจริงจัง และการปรับปรุงเกณฑ์เพื่อรองรับกลยุทธ์ในการลงทุนให้หลากหลาย ลดความยุ่งยากซับซ้อนในการขอส่งคำสั่งด้วยวิธี Algorithmic Trading รวมทั้งสนับสนุนการใช้ Algorithmic Trading ในประเทศไทย ผ่านช่องทาง Direct Market Access (DMA) (ซึ่งเป็นวิธีการส่งคำสั่งซื้อขาย จากระบบของผู้ลงทุน ผ่านระบบของสมาชิก โดยไม่มีการแทรกแซงจากเจ้าหน้าที่) รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจแก่บริษัทหลักทรัพย์และผู้ลงทุนในประเทศ จะทำให้ Algorithmic trading  เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดสภาพคล่อง กับตลาดหลักทรัพย์ฯ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งกลยุทธ์ด้านการลงทุนต่างๆ จะสามารถตอบสนองการลงทุน ของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาตลาดทุนไทยโดยรวม” นางสาวโสภาวดี กล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามสนับสนุนธุรกรรมดังกล่าว โดยได้เปิดให้บริษัทหลักทรัพย์ที่สนใจการซื้อขายประเภทนี้ สามารถแจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยได้ผ่อนปรนข้อจำกัด ในเรื่องประเภทการส่งคำสั่ง เพื่อให้ผู้ลงทุนสถาบันเกิดความสะดวกและมีต้นทุนการซื้อขายต่ำลง และการจัดสัมมนา “Algorithmic Trading: The Rising Star” ครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในการซื้อขายแบบ Algorithmic Trading โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก Thomson Reuter และ FlexTrade ซึ่งมีประสบการณ์ในการให้บริการระบบซื้อขายแบบ Algorithmic Trading ในต่างประเทศ และเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ กับผู้ลงทุนสถาบันและบริษัทหลักทรัพย์ พัฒนาการของการซื้อขายแบบ Algorithmic Trading เริ่มตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุญาตเพียงการส่งคำสั่งแบบพื้นฐาน และเปิดกว้างรับคำสั่งหลากประเภทมากขึ้นเป็นลำดับ โดยปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ให้บริษัทสมาชิกสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ชุดคำสั่งอมพิวเตอร์ (Strategy) ประเภทต่างๆได้มากยิ่งขึ้น จากกลยุทธ์ที่ได้ให้เป็นการทั่วไปไว้แล้ว ได้แก่ VWAP(Volume Weighted Average Price), TWAP(Time Weighted Average Price), Volume Inline, Price Inline, TEX, Iceberg, Float, Close และ MOC ทั้งนี้ หากบริษัทหลักทรัพย์ หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ที่สนใจการซื้อขายแบบ Algorithmic Trading สามารถยื่นเรื่องมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากต้องการใช้ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ฝ่ายพัฒนาตลาด เบอร์โทรศัพท์ 02-229-2786-90 หรือ  SETAccess@set.or.th --- Ref : กรุงเทพธุรกิจ       Tags : โสภาวดี เลิศมนัสชัย • Algorithmic Trading       วันที่ 21 กันยายน 2552 13:01 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 54 23:00:05 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 54 22:56:19 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 22:55:06

ความคิดเห็นที่ 14 อันนี้ ข่าวเมื่อ 5 ปีที่แล้ว v v โตเกียว--(บิสิเนส ไวร์)--15 พ.ค. 2549 บริษัทรอยเตอร์ (LSE:RTR, NASDAQ:RTRSY) ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Reuters Tick Capture Engine สำหรับลูกค้าในเอเชีย โดยสร้างระบบวิเคราะห์การซื้อขายสำหรับการบริหารจัดการ แบบเป็นขั้นตอน (algorithmic execution), การวิเคราะห์ต้นทุนธุรกรรม และ การปฏิบัติตามการซื้อขาย ด้วยความสนับสนุนระบบ จาก Vhayu Technology ผลิตภัณฑ์ Reuters Tick Capture Engine นับเป็นแพลตฟอร์มระดับแนวหน้าสำหรับการเก็บบันทึก ข้อมูลความเคลื่อนไหว (tick capture) ที่เชื่อถือได้ และการวิเคราะห์ในรูปแบบสตรีมมิ่งในระบบเรียล-ไทม์ โดยระบบดังกล่าวจะถูกผนวกรวมเข้ากับ Reuters Market Data System (RMDS) ซึ่งเป็นบริการคอนเทนท์ของรอยเตอร์ และยังรวมโมดูล VWAP (ราคาเฉลี่ยที่ถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการซื้อขาย) ล่าสุดของรอยเตอร์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดการด้วย Reuters Tick Capture Engine จะมอบความได้เปรียบในการแข่งขันให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะในด้านการซื้อขายแบบอัลกอริธึม (algorithmic trading) ซึ่งการป้อนข้อมูลโดยตรงของรอยเตอร์ในระบบซื้อขายดังกล่าว มีการใช้อย่างแพร่หลายในญีปุ่นแล้ว ระบบดังกล่าว จะได้รับการส่งเสริมคุณภาพด้วยการเปิดตัวระบบ Reuters Data Feed Direct ที่บริหารโดยรอยเตอร์สำหรับตลาดเกาหลี ฮ่องกง ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น อเล็กซ์ ฮันเกต กรรมการผู้จัดการประจำภาคพื้นเอเชีย กล่าวว่า "เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งกำลังได้รับการจัดการและวิเคราะห์โดคอมพิวเตอร์ ช่วงห่างของราคา (price tick) ทุกช่วง และการนับทุกๆมิลลิวินาที จึงมีแต่รอยเตอร์เท่านั้น ที่มีทั้งความชำนาญด้านข้อมูล และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดโครงสร้างพื้นฐาน ในการวิเคราะห์ การซื้อขายที่รวดเร็วที่สุด และไว้ใจได้มากที่สุด สำหรับลูกค้าของเรา" มารี จิอันกรันเด รองประธานฝ่ายกลุ่มพันธมิตรร่วมทุนของรอยเตอร์ก่าวว่า "ด้วยผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ลูกค้าในเอเชียของรอยเตอร์ จะสามารถจับบันทึกข้อมูลตลาดที่ลึกซึ้งและกว้างขวาง แบบทุกช่วงความเคลื่อนไหว (tick by tick) ได้ ซึ่งลูกค้าสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ร่วมกับข้อมูล การซื้อขายแบบอิน-เฮาส์ได้ Reuters Tick Capture Engine ยังมอบระบบการวิเคราะห์แบบเรียล-ไทม์ในรูปแบบสตรีมมิ่ง ที่สามารถใช้งานร่วมกับ RMDS ได้ 100 % ทำให้ลูกค้าสามารถเพิ่มการวิเคราะห์การซื้อขาย ที่มีประสิทธิภาพสูงกับแอพพลิเคชั่นที่ใช้อยู่แล้วได้" --- Ref : http://www.newswit.com/biz/2006-05-15/reuters-tick-capture-engine/ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 23:01:18

ความคิดเห็นที่ 15 เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองน่าจะเป็น VI. พอช่วงวิกฤษกรีซ black Monday  2 ครั้ง ทำให้เสียกำไรที่ทนไม่ยอมขาย จากที่พอร์ตบวก 60% กลายเป็นติดลบ 2%. คือเสียดายมาก ๆ รู้งี้ขายเอาเงินกำไรไปโปะบ้านดีกว่า ก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า คงต้องเปลี่ยนแนวคือทยอยซื้อขายแบบหุ้นห่านทองคำเน้นตัวปันผลน่าจะเป็นแนวที่ถูกจริตของผมนะครับ. จากคุณ : ajs เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 23:42:23

ความคิดเห็นที่ 16 VI ไม่ใช่การปิดจอนะครับ จากคุณ : พื้นฐานประสานเทคนิค (Rak-sama) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 08:49:45

ความคิดเห็นที่ 17 ถัวขาลง ก็ตายครับ ขาลง ขายดีกว่า ตัดขาดทุน แล้วค่อยไปซื้อ ตอนมันขึ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง ตำแหน่งการซื้อ จะเทคนิค หรือ Vi มันก็ประมาณ จุดเดียวกันนั่นแหละครับ Vi เก่งๆ ตอนขาย เขาไม่ค่อยจะบอกหรอกครับ ว่าเขาขายแล้ว แล้วตอนซื้อ เขาก็ซื้อนานแล้ว จึงมาบอกว่าเขามีตัวนี้นะ คนไม่รู้ เอ้า ก็ตาม เขาไปตอนที่เขาอยากจะขายแล้ว มันก็เป็นงี้ ครับ จากคุณ : DerDen เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 09:00:49

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ทำไมถัวขาลงต้องตายครับ ถ้าซื้อตอนราคาเกิน value ของมัน แล้วถัวเรื่อยๆ ก็สมควรตายครับ VI เก่งๆเขาซื้อขายหุ้น เขาไม่มานั่งประกาศหรอกครับ นอกจากเม่าแอบไปเห็นเอง พอเสียหายแล้วก็ไปด่าเขา ไม่ว่าสายอะไร ถ้าหวังแค่จะเป็นผู้ตาม ไม่รู้จักคิดและวิเคราะห์เพื่อนำหน้าคนอื่นได้ สุดท้ายก็ได้แต่แจกเงินให้คนอื่น รวยเท่านั้น จากคุณ : Shimi เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 09:12:56