ความคิดเห็นที่ 1 ค่อยๆดูกันทีละภาพนะครับ ภาพแรก เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า คนที่รวยที่สุดในอเมริกา 1% แรก มีรายได้ต่อปี ในช่วงนี้ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคิดเป็น 23.5% ของรายได้ทั้งหมดของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งตัวเลขนี้ ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวไปร่วมๆ 2 เท่าทีเดียว ... คำถามคือ แล้วยังไงล่ะ? บริษัทโต ขยายกิจการ กำไรก็ต้องโตตามไปด้วย จะจ่ายผลตอบแทนสูง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:44:06

ความคิดเห็นที่ 2 ถูกต้องแล้วครับ Corporate Profit หลังหักภาษี ของบริษัทในอเมริกา ตอนนี้ ทำจุดสูงสุด เป็น All Time High ทั้งๆที่เพิ่งผ่านวิกฤต Subprime มาเมื่อปี 2008 นี้เอง ดูแค่นี้ ใครๆก็อาจจะมองว่า อเมริกาพ้นจากความเสี่ยงที่จะเกิด Recession แล้วใช่มั้ย? แต่ ชีวิตมันมักจะไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:44:46

ความคิดเห็นที่ 3 จากภาพในความเห็นแรก รายได้ต่อปี ของคนรวย 1% แรกของอเมริกา อาจมีคนเถียงผมว่า มันเป็นแค่ 1% นั้นหรือเปล่า Warren Buffet เอย Bill Gates เอย อีตา Mark Zuckerburg อีกคน เขาเก่ง ก็ต้องให้เขาไปสิ งั้นไปดูกราฟนี้อีกอัน จะเห็นว่า ตั้งแต่ปี 1990 มา ค่าตอบแทนของ CEO ในบริษัทที่อยู่ใน S&P500 สูงขึ้นถึง 300% (ปรับฐานตามเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรียบร้อยแล้ว) อัตราเร่งมันสูงกว่า กำไรของบริษัทด้วยซ้ำ และถ้าเปรียบเทียบกับลูกจ้างธรรมดาๆ ตั้งแต่ปี 1990 ลูกจ้างได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 4.3% เท่านั้นเอง จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:45:30

ความคิดเห็นที่ 4 ค่าจ้างราย ชม. ของแรงงานในอเมริกา ดูเผินๆ ก็เหมือนจะปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1964 เป็นต้นมา แต่หากลองปรับตามเงินเฟ้อแล้ว ตอนระยะเวลา 30 ปีที่ผ่าน (ตั้งแต่ปี 1980) ค่าจ้างของแรงงานไม่ได้ปรับขึ้นตามมา จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:45:55

ความคิดเห็นที่ 5 สรุปจากกราฟ 4 กราฟแรก ก็จะเห็นว่า คนรวย ก็มีแต่รวยขึ้น คนจน เหลือทางไปแค่ 2 ทาง คือ ไม่จนเท่าเดิม ก็จนลง จริงไหม? ลองไปดูสัดส่วนค่าจ้างแรงงานต่อ GDP ของอเมริกากันจากกราฟด้านล่าง จะเห็นว่า ค่าจ้างแรงงานเทียบเป็นสัดส่วนต่อ GDP ในปี 2010-2011 นี้ ต่ำเป็นประวัติศาสตร์เลยทีเดียว จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:46:19

ความคิดเห็นที่ 6 อย่างที่เราทราบกันว่า ตอนนี้ Unemployment Rate ของอเมริกา อยู่ที่ 9% นิดๆ ซึ่งถือว่าเกือบจะสูงสุดตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 80 เช่นกัน ดูแค่ตัวเลข 9% อาจดูว่าเยอะ แต่คงไม่มากมายอะไร ลองคิดเป็นจำนวนคนสิครับ . ตอนนี้มีคนที่เป็นแรงงานของระบบเศรษฐกิจแต่ไม่มีงานทำ สูงถึง 14 ล้านคนด้วยกัน!! กราฟด้านล่าง แสดงให้เห็น สัดส่วนคนที่ไม่มีงานทำมา 6 เดือน คิดเป็น % แล้ว เกือบๆ 50% ของ Unemployment ทั้งระบบ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:47:32

ความคิดเห็นที่ 7 ยังครับ ยังแย่ไม่พอ พาไปดูตัวเลขที่น่ากลัวกว่านี้อีก... หึหึหึ 9% เนี่ย เป็น Unemployment นะ แต่ถ้ารวมแรงงานที่เคยทำงานประจำและหันไปทำ Part-Time ซึ่งแน่นอนครับ คนเหล่านี้อยากได้งานประจำกลับมาทำอย่างเดิม จะพบว่า ตัวเลขรวมกันของคนสองกลุ่มนี้ สูงถึง 17% ทีเดียว หรือคิดเป็นจำนวนคนก็ราวๆ 26 ล้านคน โอ้ววววววว เยอะเกิ๊นนน จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:48:02

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นความต่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากขนาดนี้ ใครเข้าข้างคนรวย เพราะมองว่าเขาขยันทำงาน เขาเก่ง ก็ต้องได้มากกว่า ผมก็ยอมรับครับว่าจริงส่วนหนึ่ง แต่พอเอาตัวเลข Wealth ของคนอเมริกามากางดูเป็น Pie Chart แล้ว จะพบความเบี้ยวของระบบทุนนิยมที่ร้ายกาจ นั้นคือ 80% ของคนอเมริกัน เป็นเจ้าของสินทรัพย์การการเงินในระบบเพียงแค่ 7% เมื่อเทียบกับ คนรวยที่สุด 5% แรกของประเทศ เป็นเจ้าของสินทรัพย์และตราสารทางการเงินสูงถึง 72% ทีเดียวเชียว จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:48:31

ความคิดเห็นที่ 9 ขอพยายามเถียงต่ออีกได้ม่ะ ... อัตราภาษีในอเมริกา ยิ่งรวยยิ่งโหดนี่นา แน่นอนว่าคนรวยที่สุดในประเทศ 5% เขาได้รายได้มาก แต่เขาก็ต้องเสียภาษีมาก เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ใช่หรอ จากตัวเลขสัดส่วนภาษีในปี 2010 ของคนรวยที่สุด 1% แรกของประเทศ เทียบกับคนคนรวยรองลงมา 19% ของแรงงานทั้งหมด จะเห็นว่า อัตราภาษีของคนรวยเหล่านั้น น้อยกว่าด้วยซ้ำ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:49:25

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ก็เถียงไม่ได้ครับ เพราะหากดูเป็นภาษีในรูปตัวเลขแล้ว ภาษีที่คนรวย 20% แรกของประเทศ จ่ายให้แก่รัฐ ก็มีสัดส่วนมากกว่าแรงงานกลุ่มอื่น ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 64.3% (กราฟอันล่าง) ส่วนอันบนก็เทียบให้ดูว่า รายได้ของคนรวย 20% แรก คิดเป็น 59.1% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้จากแรงงานทุกระดับ แปลว่า คนรวย 20% จ่ายภาษี เมื่อเทียบกับรายได้ที่พวกเขาได้รับ มากกว่า 80% ของแรงงานที่เหลือ แต่นั้นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้กลุ่มคนที่เหลือพอใจครับ เพราะประเทศประชาธิปไตย หนึ่งเสียงของคนจน ต้องมีค่าเท่ากับหนึ่งเสียงของคนรวย และตอนนี้ คนจน กำลังเยอะขึ้นเรื่อยๆ (แต่คนจนมักโดนคนรวยซื้อเสียงปิดปากกันหมด) จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:50:56

ความคิดเห็นที่ 11 เอาล่ะๆ เข้าใจแล้วว่าคนรวยเขาหาเงินมาแล้วเหยียบย้ำหัวใจน้อยๆของคนฐานะต่ำต้อยอย่างเราๆ แต่ทำไม Wall Street ต้องกลายเป็นแพะรับบาปจากความไม่พอใจนี้ไป ในเมื่อมีมหาเศรษฐีจากธุรกิจอื่นๆอีกตั้งเยอะตั้งแยะ น่าสงสาร Wall Street จะตาย หากย้อนกลับไปตอน Subprime Crisis คงจำกันได้นะครับ ว่าภาครัฐฯ เข้าไปอุ้มสถาบันการเงินโดยใช้ภาษีของประชาชน และอัดฉีดเงินใหม่ผ่านกรรมวิธีที่เราคุ้นชื่อว่า QE โดยให้เหตุผลกับเราว่า เมื่อได้เงินช่วยเหลือจากรัฐฯแล้ว ภาคสถาบันการเงินจะมีสภาพคล่อง และนำเงินที่ได้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ผ่านการปล่อยสินเชื่อ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบอื่นๆ แต่แล้วสิ่งที่เรากังวลก็เป็นจริงครับ ธนาคารได้เงินช่วยเหลือจาก Fed หรือธนาคารกลางไป เราก็เห็นตัวเลขสินเชื่อขยับตัวขึ้นบ้าง แต่หลังจากนั้น ปี 2009-2010 ตัวเลขการปล่อยสินเชื่อกลับตกลงอย่างรวดเร็ว (ตามภาพ) ก่อนดีดกลับช่วงสั้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2010 แต่ก็ไม่ได้ขยับขึ้นต่อ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:51:31

ความคิดเห็นที่ 12 จำ Corporate Profit หลังหักภาษี ของบริษัทในอเมริกา ที่ผมบอกไปเมื่อตอนต้นๆได้ไหมครับว่า กำไรสูงสุดในประวัติศาสตร์ แต่ จากตัวเลขปล่อยสินเชื่อที่ไม่ได้โตตาม ทั้งๆที่ธนาคารได้เงินช่วยเหลือไปแล้ว แล้วเขาเอาเงินไปทำอะไร? – คำตอบคือ เอาเงินไปซื้อ US Treasury และหลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกันโดยรัฐบาล หากดูจากกราฟด้านล้าง จะเห็นว่า สถาบันการเงินไล่ซื้อมาตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน แล้วเขาเอาไปทำอะไร ทำไมไม่เอาไปปล่อยกู้? จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:52:45

ความคิดเห็นที่ 13 สาเหตุที่ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้ ก็เพราะตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศยังมีความเสี่ยง และไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ในยุโรป ที่เป็นเหมือนระเบิดเวลา เพราะธนาคารในอเมริกา ก็เป็นเจ้าหนี้ของกลุ่ม PIIGS เช่นเดียวกัน ตามภาพด้านล่าง เพราะฉะนั้น ถ้าเกิด Default ในประเทศใดประเทศหนึ่งทางฝั่งโน้น ย่อมหนาวถึง Balance Sheet ของธนาคารทางนี้ งั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือ ถือ US Treasury ซะ ก็สิ้นเรื่องเหอะๆ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:53:14

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องยุโรปนี้ พอเข้าใจได้ แต่การแสวงหากำไรของสถาบันการเงินในอเมริกานี้สิครับ ถือเป็นปัญหาหลักเลย ที่ใครๆเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์ นั้นก็คือ การที่เหล่าสถาบันการเงินได้เงินช่วยเหลือจาก Fed ไปแบบฟรีๆ แล้วกลับมาซื้อ US Treasury และหลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกันโดยรัฐบาล มันคือการทำกำไรโดยแทบไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย เอาเงินกินเปล่ามาซื้อพันธบัตร แล้วได้ดอกเบี้ยกับผลตอบแทนจากพันธบัตรอีกต่อหนึ่ง เฮ้ยยยย มันเกิดอะไรขึ้น?!!?? แถม Fed ยังลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0%-0.25%  และออกพันธบัตรชุดใหม่ๆ อีกเพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกดดอกเบี้ยให้ต่ำเข้าไว้ แถมอัดฉีดเงินผ่าน QE2 (เด๋วคงมี QE3 ตามมา) ก็เท่ากับการ สถาบันการเงินเหล่านี้ สามารถกู้เงินจากธนาคารในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน แถมความเสี่ยงไม่มี แล้วเอาไปลงทุนพันธบัตร หรือไปลงทุนอะไรก็ได้ที่น่าจะได้ผลตอบแทน แต่ขอโทษครับ ไม่ใช่การปล่อยสินเชื่อให้ภาคเอกชน :D Institutional Risk Analytics ได้ลองคิดแค่ว่า การได้เงินมาของสถาบันการเงิน แล้วเอาไปลงทุนใน Risk-free Asset อย่าง US Treasury แล้วได้ส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่ที่ 2-3% พบว่า สถาบันการเงินในอเมริกาได้กำไรจากเฉพาะส่วนต่างดอกเบี้ยเป็นเงินถึง $211Billion ในครึ่งปีแรกของปีนี้ ด้วยกัน เฮ้ นี่มัน 1 ใน 3 ของ QE2 เลยนะเพื่อน!!!!!! พอเอารายได้ส่วนนี้ ไปคำนวนรวมกับรายได้อื่นๆแล้วหักค่าใช้จ่าย เงินเดือน โบนัส ผลปรากฏออกมาว่า ธุรกิจธนาคารของอเมริกา ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิได้ $58Billion ทำให้ภาคธนาคารกลับมามีกำไรเทียบเท่ากับช่วงก่อนวิกฤตปี 2008 แล้ว แต่ดูจริงๆแล้ว ไม่ใช่ภาคธุรกิจธนาคารนะครับ ที่กำไรเป็นกอบเป็นกำหลังจาก Subprime Crisis ถ้าตัด Financial Sector ออกไป ธุรกิจอื่นก็กำไรดีกันแทบทั้งนั้น (จากภาพด้านล่าง) แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 54 13:55:34 จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:54:31

ความคิดเห็นที่ 15 ... จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:55:56

ความคิดเห็นที่ 16 มาดูตัวเลขอีกตัวที่น่าสนใจ เปรียบเทียบเงินเดือนพนักงานธุรกิจการเงินเปรียบเทียบกับแรงงานอื่นๆใน New York ตอนนี้พวกเขามีรายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ $360,000 หรือราวๆ 11 ล้านบาทต่อปี (ตกเดือนละ 9แสน) ในขณะที่ Sector อื่น รายได้เฉลี่ยไม่ถึง $60,000 ด้วยซ้ำ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:56:54

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนผมเข้ามหาลัยรัฐของสหรัฐได้ ไอ้ท่าน Dean พูดปฐมนิเทศน์หน้าโพเดี้ยม ขึ้นประโยคแรกๆ " You are the top 10%...." นี่เหรอวะประเทศแห่งความเท่าเทียม ? จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:01:32

ความคิดเห็นที่ 18 ตัวเลข และกราฟ ออกมาค่อนข้างชัดว่า Wall Street ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการที่เศรษฐกิจอเมริกาทรุดลงหลังเกิดวิกฤต เมื่อคนส่วนใหญ่เดือดร้อน แล้วพอกำไรสถาบันการเงินยังดี นายธนาคารยังได้เงินเดือนเป็นกอบเป็นกำ ก็ต้องตกเป็นเป้าในการโจมตีของมวลชนนะครับ นี้คือสาเหตุที่เกิด “Occupy Wall Street” และลุกลามจนกลายเป็น “Global Occupy ” กลุ่ม Adbusters Media Foundation ผู้สนับสนุนการประท้วงครั้งนี้ พยายามพุ่งเป้าไปที่ Wall Street เพราะมีความเชื่อ ต้นตอของปัญหาทั้งหมด มันมาจากที่นี้ แต่ข้อเท็จจริง เบื้องหลังความจริงทางตัวเลขที่ได้เอามาเล่าให้เห็นในวันนี้ ยากนักครับที่จะบอกได้ว่า มันเกิดจาก Wall Street แต่เพียงผู้เดียว ทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น? - ตอนอดีตประธานาธิดีบุช อยู่ในตำแหน่ง ใช้ Air Force One บินไปตากอากาศที่ Taxas เฉพาะค่าเครื่องบินไปกลับ ก็ปาเข้าไป $250,000 แล้ว ยังไม่รวมลีมูซีน เฮลิคอปเตอร์ และเงินเดือนพนักงานผู้ติดตามอีกไม่รู้เท่าไหร่ แล้วตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง แกอยู่ทำเนียบขาวที่เดียวซะที่ไหนละ และไม่ใช่แค่บุช โอบาม่าเองก็มีข่าวในทำนองนี้เช่นเดียวกัน เช่น ตอนไปเยือนอินเดีย มีผู้ติดตามไปด้วยเป็นพัน ใช้เครื่องบินบินไปไม่ต่ำกว่า 20 ลำ ไปพักในโรงแรมระดับ 6 ดาว อย่างทัชมาฮาล ลือๆกันว่า ค่าใช้จ่ายของทริปนั้น ไม่ต่ำกว่าวันละร้อยล้านดอลล่าร์ทีเดียวเชียว - และจริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่ท่านผู้นำครับ ระดับเจ้าหน้าที่รัฐก็มีตัวอย่างเหมือนกัน ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหรัฐ ระบุ เจ้าหน้าที่รัฐ ได้รับเงินเดือนสูงกว่าเอกชนถึง 20% ถ้ารวมสวัสดิการด้วย จะสูงมากกว่า 40% ของเอกชนทีเดียว นอกจากนี้ เรายังเห็นการอนุมัติงบประมาณแบบ ไม่เข้าท่าอีกหลายอย่าง ตัวอย่างหนึ่งที่ Classic ก็คือ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐ ใช้งบประมาณ $500,000 (อาจดูไม่เยอะเท่าไหร่เนอะ) เพื่อวิจัยว่า กุ้งที่ป่วย สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการวิ่งบนสานพานไหม? โอ้วววว แม่เจ้า!!! แล้วเงินเหล่านี้ มันเงินของใครครับ ถ้าไม่ใช่จากภาษีของประชาชน... รัฐบาลไทย คุณทำอะไรอยู่ ดูพี่ใหญ่เป็นตัวอย่างนะครับ ส่วนนักลงทุนไทย อย่าคิดว่าตลาดหุ้นจะกลับไปกระทิงดุๆเหมือนปี 2009-2010 นะ อาจจะไม่ใช่หมี แต่ก็ไม่ง่ายแน่ๆ ที่จะฝันไว้สวยหรู ยิ่งถ้าอเมริกาเป็นแบบนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.businessinsider.com http://www.data360.org http://www.commonblog.com http://www.dailymarkets.com http://www.dol.gov ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:01:40

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ จากคุณ : เถ้าลอย เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:06:01

ความคิดเห็นที่ 20 แอบเอากราฟเปรียบเทียบการขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐมาแปะ เส้นสีน้ำเงินเป็นการขาดดุลจริง ส่วนเส้นสีแดงเป็นการเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ของปีนี้ที่พึ่งประกาศขาดดุล 1.3 ล้านล้านเหรียญ ตรงจุดสีเหลืองๆนั่นแหละ = =' จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:08:01

ความคิดเห็นที่ 21 ไอ้พวกนายธนาคารพวกนี้แหละคือมหาโจรตัวจริง หากินกับวิกฤติพอพลาดก็ขู่เอา Bail Out ตอนนี้มันก็เดินเกมส์อยู่กดดอกเบี้ยต่ำติดดินแล้วปั่นเงินเฟ้อ ใครพลาดท่าเข้าไปเล่นโภคภัณท์เล่นหุ้นคงรู้ไปแล้วว่ามัน'สั่งได้'ขนาดไหน QE3 ผมว่ามีแน่นอนครับเพราะรอไม่ได้เนื่องมาจาก Occupy Movement แบบนี้ และนี่อาจเป็น QE สุดท้ายสำหรับผมแล้วล่ะ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:10:55

ความคิดเห็นที่ 22 บทความเยี่ยม ^_^ จากคุณ : เขียนบน iPhone (opar156) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:13:24

ความคิดเห็นที่ 23 ข่าวร้ายมาแล้ว จากคุณ : คุณถุง เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:17:35

ความคิดเห็นที่ 24 เข้าใจง่าย ภาพประกอบชัดเจน กระทู้ยอดเยี่ยมประจำเดือนครับ! (โหวตแล้ว) จากคุณ : ลูกแม่ตุ่ง เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:20:01

ความคิดเห็นที่ 25 คุณถุง ครับ ผมเขียนขึ้นมา เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ ไม่ได้ให้กลัวนะครับ เรื่องพวกนี้ มันคือข้อมูลในอดีตทั้งนั้น ตลาดรับรู้อยู่แล้วครับ เด๋วจะกลายเป็นผมมาสร้าง Panic ให้ห้องสินธร - -" จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:20:51

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ Messenger โพสเรื่องนี้มานานแล้วครับทุกๆท่าน ^ ^ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:22:38

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณครับ จากคุณ : พื้นฐานประสานเทคนิค (Rak-sama) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:24:01

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Ploeauer เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:35:33

ความคิดเห็นที่ 29 Many thanks.  Have fun in Japan. จากคุณ : คุณดี. ซี. เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:39:16

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณมากครับ ได้สาระดีจริงๆ ^^ จากคุณ : SundayroyaL เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 14:52:29

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ จากคุณ : เด่นดวง เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 15:03:37

ความคิดเห็นที่ 32 คิดได้ไง กุ้งวิ่งบนสายพาน ใช้งบ $500,000 ปล่อยมันตายยกบ่อยังไม่ขาดทุนขนาดนี้เลย จากคุณ : Joy_Bune เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 15:48:02

ความคิดเห็นที่ 33 เยี่ยมค่ะ ทำการบ้านมาหนัก  โหวตให้แล้วค่ะ ขอ share ไปลง B นะคะ จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 15:49:04

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณครับ จากคุณ : คุณถุง เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 16:05:04

ความคิดเห็นที่ 35 Thanks a lot จากคุณ : mao_supra เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 16:10:24

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมาก เที่ยวให้สนุกนะ จากคุณ : abyim เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 16:38:38

ความคิดเห็นที่ 37 ห้องนี้ขาด จขกท ไปคงจะแย่ จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 17:18:59

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณครับ จากคุณ : LoveForest เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 18:29:15

ความคิดเห็นที่ 39 ผลกระทบเป็นโดมิโน  มันกำลังคืบคลานมาแล้วคืนนี้ รอ  ...QE3 จากคุณ : บินตัง เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 20:03:33

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับ เข้าใจง่าย ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวครับ จากคุณ : Sylphs เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 20:25:19

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ac_boykung เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 20:30:15

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณครับไปเที่ยวให้สนุก เดินทางปลอดภัยนะพี่ จากคุณ : เขียนบน iPhone (Heinz) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 20:37:35

ความคิดเห็นที่ 43 Thank you mak mak krub จากคุณ : เขียนบน iPhone (joecheezecake) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:02:10

ความคิดเห็นที่ 44 ความเท่าเทียมมันไม่มีจริงหรอก มันก็มีแต่การพยายามประสานประโยชน์ให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ เอ็งอยู่ได้ ข้าอยู่ได้ แต่เมื่อไรที่ข้าอยู่ลำบากแล้วล่ะก็ เอ็งก็ระวังให้ดี แต่ยังไงเสียก็ยังเชื่อว่ามันมีสภาวะที่สมดุล ที่จะบาลานซ์ ทุกฝ่ายให้นิ่งได้ เมื่อใดที่มีสิ่งกระทบให้สมดุลเปลี่ยน สุดท้ายเราก็หาจุดสมดุลใหม่อีกอยู่ดี จากคุณ : ไตรลักษณ์ นิรันดร (emptysoul) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:29:53

ความคิดเห็นที่ 45 เยี่ยมครับท่านจขกท. เขียนสนุก อ่านเข้าใจง่ายมากๆ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 03:39:30

ความคิดเห็นที่ 46 ตอนแรกผมก็สงสัยว่าเค้าประท้วงอะไรกัน พอได้ดูหนังเรือง inside job ก็พอเข้าใจมากขึ้น จากคุณ : toronado เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 04:50:57

ความคิดเห็นที่ 47 Nihon e yokoso   Welcome to Japan จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 06:39:56

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณครับ เขียนอ่านเข้าใจง่ายดีครับ ขอให้มีความสุข และสนุกกับการเดินทางนะครับผม ^^ จากคุณ : noooon010 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 07:27:20

ความคิดเห็นที่ 49 เป็นบทความที่ดีมากครับ แต่แปลกที่คนในหลายๆประเทศเพิ่งคิดได้ เพราะตอนปี subprime แบงค์ทั้งหลายที่ล้ม เช่น Lehman Brothers ผู้บริหารก่อนที่จะล้ม ได้เงินเยอะมากๆๆๆๆๆ เพราะผลประกอบการ แบบฟองสบู่ สักแต่ว่า ปล่อยกู้ๆ แล้วก็ CDS CDO ปั่นเงิน 1 บาท ให้กลายเป็น 100 ด้วย future ทำให้เหมือนผลกำไรดี สุดท้ายล้ม ผู้บริหารรวย Goldman Sachs โดยส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นมือเล่น Commodities มือใหญ่ทีเดียว ไม่อยากนึกสภาพตอน ล้มหรือมีปัญหาขึ้นมาว่าจะเละได้ขนาดไหน ปล. หาข้อมูลของ ประเทศไทยบ้างก็ดีครับ บางทีอาจอึ้ง จากคุณ : น้องส้มเด็กดี เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:26:30

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ จากคุณ : modern alchemist เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 09:19:44

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณค่ะ สุดยอด Vote!! จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 09:24:29

ความคิดเห็นที่ 52 ธนาคาร ล้มไม่ได้เพราะ อะไร ธนาคาร รับฝากเงิน แล้วให้ดอกเบี้ยเรา จึงทำให้ผู้ฝาก คือเจ้าหนี้ ,ธนาคาร คือ ลูกหนี้ ธนาคารก็ต้องไปหารายได้ มาจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝาก ก็คือการปล่อยกู้ มีเงินฝากเข้ามา ฝ่ายสินเชื่อก็ ต้องหาลูกค้า เพิ่มเข้าไป ถ้าหายาก ก็ผ่อนปรนกฎเกณฑ์ปล่อยได้ง่ายขึ้น เงินฝากส่วนใหญ่ ก็เป็นของคนรวยไม่กี่คน  ประชาชนส่วนใหญ่มีเล็กน้อย ดังนั้น คนรวยก็คือ เจ้าหนี้รายใหญ่ของธนาคาร มีไม่กี่คนหรอก ถ้าธนาคารต้องการได้ผลตอบแทนมากๆ ก็ต้องปล่อยกู้มากๆ จะหาเงินมาจากไหน ในเมื่อ เงินฝาก หาได้ไม่ทัน ก็ต้องออกหุ้นกู้มาให้คนซื้อ ก็คนรวยไม่กี่คนอีกนั้นแหล่ะ ที่ซื้อ หรือองค์กรที่มีเงิน พอได้เงินมาซึ้งต้นทุนสูง คือดอกที่ต้องจ่ายหุ้นกู้นั้นเอง จึงต้องปล่อยกู้หรือลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนสูง สูงกว่าต้นทุนที่ได้มา high risk high return ก็ต้องปล่อยให้คนที่ต้องการมากๆ แต่ credit ไม่ดี เช่น กรีซ เป็นต้น เพราะ คิดว่ารัฐบาลจะจ่ายหนี้คืนได้แน่ๆ ก็ปล่อยไป  ซึ่งเยอะมากๆ  พอจะชักดาบ อ่าวไม่ได้ดอก แถมยังเสียต้นอีก   ก็คือเงินฝากของเรา และ ของคนรวยไม่กี่คนนั้นเอง ซึ่งมีอำนาจ มีพลังการเมือง มากมาย คนเหล่านี้จะไม่ให้ธนาคารล้มเด็ดขาด เพราะ ถ้าล้ม จะไม่ได้เงินคืน เพราะ ไม่มีการประกันเงินฝาก จะถอนออกหมดก็ไม่ได้เพราะ ธนาคารก็ไม่มีจะให้ คนพวกนี้ก็ต้องไปกดดันรัฐ ให้เอาภาษี มาช่วยธนาคาร เพื่อไม่ให้ล้มหรือเรียกอีกอย่างคือ เอาภาษีมารักษาเงินของข้าพเจ้านั้นเอง ให้รัฐออกมารตการต่างๆ มาอุ้มแบงค์ เพื่อรักษาเงินของตัวเองไว้ คนส่วนใหญ่ มีเงินฝากไม่ถึงล้าน ถ้าธนาคารล้ม เราได้คืนจากรัฐ  แต่พวกคนรวย ที่ฝากเกิน 1 ล้าน จะได้แค่ 1 ล้าน เท่านั้น ที่เหลือ ธนาคารไม่ต้องรับผิดชอบเพราะ มีกฎหมายบอกว่าไม่ต้องรับผิดชอบ เห็นหรือ ยัง ว่าทำไม ธนาคารใหญ่ๆ ล้มไม่ได้ แม้จะหน้าด้านเอาเงินภาษีของคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย มาช่วยตัวเอง และ นักธุรกิจไม่กี่คน มันจึงเป็นการเมืองไง  ประชาชนไม่มีใครเห็นด้วยนะครับ  คนธรรมดาทำธุรกิจเจ๊ง ไม่เห็นมีใครช่วย แต่พอเป็นธนาคาร กลับช่วย มากมาย ไม่มีเงิน ก็กู้มาช่วยอีกผ่านพันธบัตรของรัฐ  มันจึงเป็นการเมือง เพราะ ถ้าประชาชนลำบาก  ความรู้สึกแบบนี้ที่ว่า ทำไมต้องไปช่วยคนอื่น แทนที่จะช่วยคนของตัวเอง คนจะต่อต้านรัฐมากขึ้น จนสมัยหน้าอาจไม่ได้เป็นรัฐบาล อีกสมัย แต่ถ้าไม่ทำ ก็จะถูกกดดันทางการเมืองมากๆ จากคนรวยที่เป็นเจ้าของเงินในธนาคาร จะไม่สนับสนุน ให้เป็นรัฐบาลหรือนายกอีก ถ้าไม่เอื้อประโยชน์ให้เขา นายก และ รัฐบาลจึงต้องทำให้เนียนที่สุด ซึ่งไม่ง่าย ขาดเหลือยังไง แนะนำได้ คิดเองครับ อยากแชร์ จากคุณ : Hernia เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 10:46:17

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ สำหรับใครที่อยากรู้ อยากดูสารคดีเต็มๆของ Inside Job ที่อธิบายถึงความไม่เป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจการเงินของอเมริกา ความเห็นแก่ตัวของบรรดา bankers, hedge funds ทั้งหลาย นโยบายที่ผิดพลาดของ รบ.อเมริกันในการแก้ปัญหาการเงิน ทั้งบุช ทั้งโอบามา ฯลฯ ไปดูได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ http://vimeo.com/23086688 เดิมมันมีใน Youtube แต่โดนเอาออกไปเพราะเรืองลิขสิทธิ์ละ ... สารคดีดีๆแบบนี้ น่าจะมีให้คนทั่วไปดูได้ในอินเตอร์เนตโดยไม่ต้องเสียเงินด้วยซ้ำ แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 54 04:25:44 แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 54 04:25:19 จากคุณ : champ_ee85 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 19:26:43

ความคิดเห็นที่ 54 Good จากคุณ : เขียนบน iPhone (kiangsurgeon) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 19:33:38

ความคิดเห็นที่ 55 หลักๆ มันคือแนวคิด "ตัวเองต้องรวยแบบทบต้น" มากกว่า โลกเรามันไม่ได้อ้วนขึ้น 10% ทบต้นทุกปี แต่ระบบการเงินมันกลับตั้งให้มันต้องโตทบต้นทุกปี ถ้าโลกมี 2 คน ถือคนครองคนละ 50% ต่างคนต่าง ตั้งเป้า ปีหน้าตัวเองต้องมี 55% ใครจะได้ตามเป้า??? ถ้าโลกมี 2 คน คนนึงถือครอง 90% อีกคนถือ 10% คนมี 90% ตั้งเป้าปีหน้าต้องมี 99% คน 10% จะเหลืออะไร?? richer get richer สุดท้ายคนจนจะทำงานหนักแต่ติดหนี้ และ ไม่เหลืออะไรเลย ----- ยังไม่รวมเรื่อง ดอกเบี้ย ที่ -ถ้าเศรษฐกิจซบให้ลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ -ถ้าเงินเฟ้อให้ขึ้นดอกเบี้ย ปรากฏว่า เศรษฐกิจซบพร้อมเงินเฟ้อ ควรแก้อะไรก่อน??? ขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อลด เศรษฐกิจจะชะลอตัว ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจไปต่อ แต่เงินเฟ้อพุ่ง แล้วเรา/เอเชีย เลือกขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อ ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว เศรษฐกิจชะลอตัว ธุรกิจไม่มีปัญญาจ่ายเงินตน/ดอกเบี้ย => จะเกิดวิกฤติการเงินในที่สุด ----- จริงๆ ต้องลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้วปราบการเก็งกำไรซะ ที่เงินมันเฟ้อก็เพราะเก็งกำไรกันนี่แหละ ถ้าเอเชีย ยังเดินตามเกมให้ดอกเบี้ยสูงกันแบบนี้ ไม่เกิน 3 ปี เราเองก็จะไม่รอด จีนเองก็จะไม่เหลือ จีนยอมกัดฟัน ซื้อพันธบัตรสหรัฐที่ดอกเบี้ยเกือบ 0% แต่สหรัฐเอากลับมาฝากจีน แล้วรับดอกเบี้ย ประมาณ 3% ไม่รวมแบงค์ที่พิมพ์เองจากธาตุอากาศ แล้วเอามาฝากเรา ที่ทำให้เรา อยู่ๆก็เป็นหนี้จากธาตุอากาศ แล้วยังต้องหาดอกเบี้ยทบต้นมาจ่ายให้อีกด้วย แต่ ฝั่งอเมริกาจะไม่มีทางหยุดการเก็งกำไร แน่ๆ ถ้าดอกเบี้ยลด มันจะเอาเงินมาปั่นสินค้าอุปโภคกดดันให้เงินเฟ้อ ต่อไป จีนจะได้ไม่กล้าลดดอกเบี้ย แล้วโดนดอกเบี้ยกินตายในที่สุด จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 22:44:40

ความคิดเห็นที่ 56 สิ่งที่น่ากลัวสำหรับ real sector คือความผันผวนจากการเก็งกำไรนี่แหละ บางทีพื้นฐานมันไม่ได้เปลี่ยนกันภายในเดือน สองเดือน แต่พี่เล่นปั่นกันขึ้นไป 30-40% แล้วทิ้งดิ่งลงมา 50% ในสองอาทิตย์ ภาคการผลิตที่ไหนจะปรับตัวได้ทัน ทำงานผลิตกันแทบตาย พี่เล่นมาล้วงกระเป๋าเอาตังไปดื้อๆ จากคุณ : เขียนบน iPad (เถ้าลอย) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 23:44:08

ความคิดเห็นที่ 57 จะโทษ ตลาดเงินตลาดทุน อย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะมันมีหน้าที่ของมัน แต่ผิดที่ธนาคารใช้เงินไม่ถูกต่างหาก ดันลืมไปว่า เงินที่ได้มาต้องมาช่วยภาคธุรกิจ ไม่ใช่แสวงหากำไรให้กับภายในองค์กร สุดท้ายผลกระทบเรื่องการเก็งกำไร ก็สะท้อนเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในที่สุด แต่เชื่ออย่างหนึ่งนะคะ ไม่มีระบบอะไรที่ดีที่สุด แต่... เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่คนในสังคมอยู่ไม่ได้ ... คนในสังคมเนี่ยแหละ จะเป็นคนผลัดเปลี่ยนให้เข้าสู่ระบบที่อยู่ด้วยกันได้ พอเกิดความผิดพลาดของระบบใหม่ ก็จะย้อนกลับมาเพื่อปรับเปลี่ยนระบบใหม่ อยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ... เหมือนศาสนาพุทธกล่าวไงค่ะ ว่าใด ๆ ในโลกล้วนอนิจัง... จากคุณ : amakin เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 13:49:11

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณมากครับ เห็นชื่อคุณ Mr.Messenger  ไม่มีผิดหวังจริงๆ จากคุณ : donclub เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 18:42:48

ความคิดเห็นที่ 59 ความรู้ล้วนๆเลยครับ จากคุณ : ZaTaN_KruZZ เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 21:22:09

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณสำหรับการแบ่งบันความรู้ครับ จากคุณ : หัวใจดวงเดียว เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 54 10:06:35

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณบทความและข้อมูลดีๆครับ อ่านแล้วเก็ตเลยครับ คนจน - วันนี้จะทำอะไรดี เมื่อไหร่จะมีคนเอาของมาแจก นายจ้างให้เงินน้อยจัง ได้เงินเดือนมาแล้วจะเอาไปซื้ออะไรดี เหล้า หวย ล็อตเตอร์รี่? คนรวย - 1 ปีนับจากนี้เรามีแผนจะทำอะไรบ้าง แผนการตลาดอีก 3 ปีข้างหน้าเทรนตลาดจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน เงินปีนี้มีอัตราก้าวหน้ากี่เปอร์เซ็น เงินที่ได้มาเอาไปลงทุนอะไรต่อดี อย่าถามว่าทำไมเค้าถึงรวยครับ ในเมื่อคนส่วนใหญ่ยังเป็นขอทานกันอยู่ก็อย่าแปลกใจ คนรวยเอาเปรียบ!!? คุณก็เอาเปรียบนายจ้างเมื่อมีโอกาสเช่นกัน อย่าบอกนะครับว่าไม่เคยเอาดิสอปากกากระดาษของที่ทำงานมาใช้ที่บ้านเลย แทนที่จะเอาเวลาไปประท้วงผมว่าเอาเวลาไปทำงานดีกว่ามั้ยครับ ถ้าทำแล้วขาดทุน ไม่พอกิน...แล้วคุณยังทำแบบเดิมๆ อยู่ทำไมครับ เปลี่ยนมันซะิสิ ทำอย่างอื่นที่ได้กำไร หรือหาวิธีที่พอกิน และอย่าแปลกใจครับว่าทำไมคนที่ประทั้วก็ยังประท้วงอยู่อย่างงั้น เพราะมันเป็นกลไกที่แบ่งคนรวยออกจากคนจน ที่เห็นคนอื่นมีแล้วอิจฉาอยากมีบ้าง และคนทั่วไปนั้นก็ยังเป็นคนจนก็ไม่แปลกใจที่แนวคิดของขอทานที่เริ่มประท้วงกันตามตลาดหุ้นถึุงกระจายกันเยอะขนาดนี้ ความรวยความจนไม่อยู่ที่ตัวเลขอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความพอด้วย ได้เดือนละ 16000 แต่เดินห้างทุกวัน ผ่อนรถด้วย มันก็ต้องไม่พอสิครับ แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 54 11:43:13 แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 54 11:40:07 จากคุณ : leo_attack เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 11:35:51

ความคิดเห็นที่ 62 ผมเจอกับตัวเอง เนื่องจากผมทำกิจการอยู่ผมทำแท็กซี่ให้เช่าครับ คนขับส่วนใหญ่จนมีปัญหามาก ค่าเช่าจ่ายไม่ครบ รถไม่รักษา หยุดบ่อย กินเหล้าหลังเลิกขับ ติดพนัน อย่างนี้ มันก็จนซิครับ เป็นผม ผมขัดค้านการประท้วงเรื่องนี้อย่างมาก ปํญหาไม่ไ้ด้มาจากระบบ ปัญหามาจากการประพฤษติตน ที่ไม่สามารถทันต่อการเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ายังการประพฤษติแบบนี้อย่างนี้อย่าหวังว่าอะไรจะดีขึ้นสำหรับคนจน จากคุณ : value invester (value invester) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 10:16:50