ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าเป็นไปได้อยากให้ร่วมโหวดกระทู้ จะขอบพระคุณอย่างสูงครับ :) เพราะอย่างน้อยก็ให้มือใหม่ นักลงทุนหน้าใหม่ๆ ที่สนใจในแนวการลงทุนแบบนี้ ติดตามหรือร่วมแสดงความคิดเห็นกันครับ :) จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:22:05

ความคิดเห็นที่ 2 ขออนุญาตแปะ ทฤษฎีของ VI โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เครดิตจาก http://www.thaivi.org/2009/09/63/ โลกในมุมมองของ Value Investor (29 กันยายน 52) การหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการหรือที่ภาษานักวิชาการเรียกว่า  Intrinsic Value นั้น  สำหรับ VI  แล้ว  มันน่าจะเป็นช่วงมากกว่าเป็นตัวเลขที่แน่นอนเพียงตัวเดียว  หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องขึ้นไปอีกก็คือ  เราไม่พูดว่ามันควรมีค่ากี่บาทถึงกี่บาท  แต่เรามักพูดว่ามันถูกหรือถูกมาก  หรือมันแพงหรือแพงมาก   การวัดความถูกความแพงของหุ้นนั้น   ข้อมูลที่ VI นิยมใช้มากที่สุดน่าจะรวมถึงค่า  PE หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรของกิจการ   ค่า  PB  หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของหุ้น  ค่า  DP หรือปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นหรือที่เรียกว่า  Dividend Yield  และสุดท้ายก็คือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดของกิจการหรือค่า  Market Cap.  นอกจากนั้น  VI บางคนก็ยังใช้ค่า  PEG ซึ่งก็คือค่า PE หารด้วยอัตราการเจริญเติบโตของกำไรของบริษัทด้วย หุ้นที่ถูกสำหรับ VI ก็คือหุ้นที่มีค่า PE  หรือค่า PB  ต่ำกว่าค่า PE หรือค่า PB เฉลี่ยของตลาดหรือมีค่า DP สูงกว่าค่า DPเฉลี่ยของตลาด   VI ส่วนใหญ่มักจะดูค่า PE เป็นตัวหลักและดูค่า PB และDP เป็นตัวประกอบ   ประเด็นสำคัญก็คือ  ค่า E หรือกำไรนั้น  จะนำมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อกิจการมีความสม่ำเสมอของผลประกอบการเท่านั้น   ส่วนบริษัทที่มีกำไรที่ไม่สม่ำเสมอนั้น  จะต้องใช้กำไรเฉลี่ยในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา  หรือใช้กำไรในปีที่ต่ำที่สุดในช่วง 3-4 ปีมาแทนกำไรในปีปัจจุบัน   และในเกือบทุกกรณี  ค่าของ  Market Cap. จะเป็นตัวที่ใช้ตรวจสอบว่ามูลค่าตลาดของกิจการนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่  ซึ่งก็จะต้องมองดูขนาดของธุรกิจและศักยภาพของกิจการในอนาคตเป็นหลัก  อย่างไรก็ตาม  การดู Market Cap. นั้นค่อนข้างเป็นศิลปที่ต้องอาศัยประสบการณ์มาก ในกรณีที่หุ้นเป็นกิจการที่มีคุณภาพสูง  ค่า PE หรือ PB ที่จะบอกว่าหุ้นถูกอาจจะเพิ่มสูงขึ้นได้จากค่าเฉลี่ยของตลาด   โดยที่คุณสมบัติของกิจการที่มีคุณภาพสูงอาจจะแสดงได้โดยตัวเลขหรือลักษณะการดำเนินการของกิจการดังต่อไปนี้คือ   1) กิจการนั้นมี ROE หรือผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงกว่าปกติ  เช่นมากกว่า 20% ต่อปีอย่างต่อเนื่องยาวนาน   2) กิจการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสูง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูงกว่ากำไรทางบัญชีของบริษัท   3)  บริษัทเป็น  Dominant Firm หรือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่าอันดับสองมากอย่างน้อยกว่า 2-3 เท่าขึ้นไป   4)  บริษัทสามารถขยายงานได้โดยใช้เงินลงทุนน้อยมาก  ข้อนี้จะพบมากในบริษัทที่ขายทรัพย์สินทางปัญญาหรือบริการที่ไม่ต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องจักรใหม่มาก   5) บริษัทสามารถปรับราคาขายสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ทันทีโดยไม่สูญเสียลูกค้าไป   6)  บริษัทมีการเจริญเติบโตเร็ว  อย่างน้อยเป็น 3 เท่าของการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ Premium หรือค่า PE ที่สูงขึ้นของกิจการที่มีคุณภาพสูงนั้น  จะสูงขึ้นได้เท่าไรเป็นเรื่องที่บอกได้ยาก   แต่ยิ่งบริษัทมีคุณภาพสูงขึ้นเนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดีหลาย ๆ ข้อดังกล่าวข้างต้น  ค่า  PE  ก็มักจะมีค่าสูงทบทวีขึ้นไปมากขึ้น   ในบางช่วงโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเอื้ออำนวย   ค่า  PE  ของกิจการที่เป็น  “Super Company” สามารถขึ้นไปสูงได้อย่างไม่น่าเชื่อและเกินกว่าราคาที่ Value Investor ส่วนใหญ่จะรับได้   อย่างไรก็ตาม  โดยทั่วไป  ในกรณีที่กิจการเป็นบริษัทที่โตเร็ว  VI  บางคนก็จะยอมรับค่า PE ที่สูงขึ้นได้โดยมีเงื่อนไขว่า  ค่า  PE ที่สูงนั้นต้องไม่เกินอัตราการเจริญเติบโตของบริษัทโดยเฉลี่ยในระยะ 3-4 ปีข้างหน้า  นั่นก็คือ  ค่า  PEG ต้องไม่มากกว่า 1 เท่า การซื้อหุ้นของ VI นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการขายหุ้น  สำหรับคนที่ลงทุนในกิจการที่ดีเลิศแบบ Super Company อย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์นั้น  เขาบอกว่าถ้าซื้อหุ้นถูกตัวแล้ว  ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นเลย   อย่างไรก็ตาม  เวลาที่ซื้อหุ้นของ VI ก็คือเมื่อเขาพบหุ้นที่มีมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาหุ้นในตลาดมาก  ตัวเลขชัดเจนนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนและแต่ละหุ้นแต่โดยทั่วไปน่าจะไม่น้อยกว่า 20-30%  และความแตกต่างนี้เรียกว่า  Margin Of Safety ซึ่ง VI เชื่อว่าจะเป็นส่วนที่  “เผื่อ” เอาไว้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือมีอะไรผิดพลาด  หุ้นที่ซื้อโดยมี  Margin Of Safety สูงก็ยังคงรักษามูลค่าของมันไว้ได้   พูดง่าย ๆ  ถ้าหุ้นตกลงไปจากราคาที่ซื้อ  เราก็สามารถถือยาวและในที่สุดมันก็จะฟื้นตัวกลับมาได้ เวลาขายหุ้นสำหรับ VI นั้น  ก็เช่นเดียวกับการซื้อหุ้น  คือไม่ได้อิงกับภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้น   และโดยทั่วไป  การถือหุ้นมักจะเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวแม้ว่านิยามของคำว่ายาวของ VI แต่ละคนอาจจะต่างกันมาก   เวลาของการขายหุ้นของ VI นั้นไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นเมื่อไรและจะขายเมื่อกำไรหรือขาดทุนเท่าไร  แต่หลัก ๆ แล้วเขาจะขายในกรณีดังต่อไปนี้   1)  ตระหนักว่ากิจการหรือหุ้นที่ซื้อมานั้นตนเองวิเคราะห์ผิดพลาดเนื่องจากข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้มา   2)  พื้นฐานของกิจการเปลี่ยนไปเนื่องมาจากเหตุผลต่าง ๆ  ที่คาดไม่ถึง  อย่างไรก็ตาม  ข้อนี้ต้องระวังว่าไม่ใช่เรื่องที่เราเข้าใจผิดถึงพื้นฐานมาตั้งแต่แรก  เพราะโดยทั่วไปพื้นฐานของกิจการนั้น  มักเป็นเรื่องที่เปลี่ยนยาก   ว่าที่จริง  คำว่า “พื้นฐาน” ก็แปลว่า “เปลี่ยนยาก” อยู่แล้ว   3)  ราคาหุ้นขึ้นไปเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว  ซึ่งไม่ได้แปลว่าหุ้นขึ้นไปมากแล้ว  เพราะการที่หุ้นขึ้นไปมากนั้นก็อาจจะไม่เกินพื้นฐานก็ได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  มูลค่าพื้นฐานของกิจการก็อาจจะเพิ่มขึ้นด้วยทำให้ราคาไม่เกินพื้นฐานแม้ราคาหุ้นจะขึ้นไปมาก   4)  มีหุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจและมี  Margin Of Safety สูงกว่ามากและเราไม่มีเงินสดเหลือ  เราจึงต้องขายหุ้นตัวเดิมเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่   5)  ภาวะเศรษฐกิจการเมืองและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปมากจนทำลายพื้นฐานของกิจการ   นี่ไม่ใช่เรื่องที่เศรษฐกิจถดถอยไปบ้างหรือการเมือง  “วุ่นวาย”  แต่น่าจะเป็นเรื่องของวิกฤติเศรษฐกิจหรือเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจไปในแนวทางที่ไม่ใช่ระบบตลาดเสรี จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:27:24

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องอ่านข่าวหุ้น  จะมีรายชื่อ  10-15 คน   ที่เป็น  VI (ทมิฬ) จากคุณ : เกรซอยากรวย เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:36:23

ความคิดเห็นที่ 4 พยายามจะเป็นอยู่ แต่ใจไม่นิ่งพอ จากคุณ : BT82 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:44:56

ความคิดเห็นที่ 5 พี่ก็อยากจะเป็นแบบ  VI ค่ะ พอเห็น เขียวๆ อดขายไม่ได้ อันนี้สำคัญ ต้องทำใจยังไงไม่ให้ขายละคะ จากคุณ : ker yi (ker yi) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:48:28

ความคิดเห็นที่ 6 บอกตัวเองว่าเป็นครับ พยายามถือหุ้นปันผล แต่มีแอบเก็งกำไรเป็นประจำ นิสัยไม่ดีเลิกไม่ได้จริงๆ PTT SCC ซื้อได้ตอนถูก พอมันราคาพุ่งก็รีบขายทำกำไร >_<'' ใครมีวิธีให้ลิกนิสัยเก็งกำไรได้ช่วยบอกที จากคุณ : NijDoi เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:48:46

ความคิดเห็นที่ 7 จาก NijDoi ถ้าเห็นว่าหุ้นตัวนั้นราคาต่ำกว่าพื้นฐานอยู่ก็ไม่ต้องไปสนใจครับ 5555 ปิดจอนั่งทำงานอื่นไปดีกว่าครับ หรือไม่ก็อ่านข่าวเศรษฐกิจไปพรางๆ ก็ได้ครับ :) ยังไงซะแนว VI ก็ต้องเน้นข่าวสารเป็นพิเศษอยู่ดีครับ ผมก็พยายามไม่มองมันมากครับ 5555 เดี๋ยวเกิดกิเสศ แต่จะพิจารณาถึงจุดว่าควรซื้อเพิ่ม หรือควรขาย หรือไม่น่ะครับ :) ถ้ายังไม่ถึงก็ปล่อยยาวไปเรื่อยๆครับ เว้นแต่ว่าจะมีข่าววิกฤตออกมาอีก ก็ต้องรีบหนีให้ทันครับ 555 จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:52:04

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเอง เริ่มลงทุนเดือน 5 ปีที่แล้ว นับถึงวันนี้กำไรไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ได้ประสบการณ์ side way + bull + bear ที่ดีมากเลย โดยเฉพาะ bear ต้องใช้สมองคิดตลอดเวลา เช่น   - การตรวจสอบ value ของหุ้นที่จับตาดู - การปรับ port เพื่อให้แน่ใจว่า ขาลงไม่เสียเปล่า - การ hedge ด้วยวิธีอื่น เช่น DW เพราะ หุ้นที่ undervalue ราคาไม่จำเป็นต้องตอบสนองเสมอไป - เรียนรู้เพิ่มขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุน และ เลือกหุ้นให้ถูกตัว เมื่อขาขึ้นมาถึง - การปรับสมดุล ระหว่าง การถือหุ้นที่ดี แต่ราคา overvalue ไปแล้ว กับ การขาย เพื่อฉวยโอกาสทำกำไร - การ cut loss อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย - และอีกมากมายหลายอย่าง การลงทุนนี่เป็นอะไรที่สนุกจริงๆนะครับ จากคุณ : monomaniac }:-] เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:53:45

ความคิดเห็นที่ 9 มีน้อยครับในห้องสินธร คนที่เป็น VI แบบตำรับที่เป็น VI นักลงทุนที่เน้นคุณค่าจริงๆ อย่างผมก็ใช้วิธีการคิดแบบดูปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ขายเมื่อโอกาสมาถึงหรือแนวโน้มตลาดขาลง ส่วน VI ตัวจริงเขาจะขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน ส่วนมากคนที่เป็น VI ในห้องนี้แทบจะนับกันไม่ได้ หาตัวจับไม่เจอ หลักๆก็เฮียเอนโดฟิน แล้วก็หนุ่มตี๋สุดหล่อ shone-rise ส่วนคุณสาระขันผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า VI หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือดูปัจจัยพื้นฐาน นอกนั้นก็จำไม่ได้แล้วหงะ = =" แต่รู้ว่าน้อยมาก ทุกๆเช้าจะมีกระทู้คุยโขมง เฮียเอนโดจะสถิตย์อยู่ ณ สถานที่แห่งนั้นเป็นประจำทุกเช้า ลองพูดคุยหรือปรึกษาเฮียดูครับ แนวคิดดีๆเยอะมาก จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 21:55:14

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่ามี แต่ไม่ค่อยอยากแสดงตัวกัน จากคุณ : เขียนบน iPhone (Heinz) เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:09:40

ความคิดเห็นที่ 11 อยากเป็น VI ทมิมฬ์ จากคุณ : pornchal เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:19:58

ความคิดเห็นที่ 12 เคยคิดว่าตัวเองเป็น VI. แต่ตอนนี้ลาออกจาก VI แล้วครับ ใจไม่นิ่งพอ ขนาดทุนต่ำๆ ก็ยังหวั่นไหว ขอแบบเป็นรอบดีกว่า แต่ใครเป็น VI. ได้และเป็น VI ถูกทางถือว่า ok. เลยนะครับ จากคุณ : ajs เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:21:45

ความคิดเห็นที่ 13 ช่วงนี้ไม่ได้เป็น VI แล้ว เพราะขายหุ้นที่ถือมานานมากไปเกือบหมดแล้ว ไล่ตั้งแต่ snc svi mbk bat-3k drt hmpro ตอนนี้เหลืออยู่ตัวเดียวคือ S&P ตอนนี้รายได้จากปันผลเหลือนิดเดียว เล่น tfex ก็เล่นสั้นๆไม่เป็น ชอบเล่นสัญญาณไกลๆ อยากจะบอกท่านที่อยากเป็น VI ว่า VI ให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ ถ้าท่านถือถูกจังหวะ การจะเป็น VI ไม่ใช่การรอลอกการบ้านคนอื่น ไม่ใช่วันๆนึงพอหุ้นตัวเองขึ้นลง เป็นต้องวิ่งเข้าห้องร้อยคนร้อยหุ้นใน thaivi การจะเป็น VI ต้องหนักแน่น แต่ไม่ใช่ดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับความจริง MOS เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ ซื้อ ขายแบบ VI ไม่ได้ทำทุกวัน ไม่ใช่พอลงมานิดนึง บอก Mr.Market ลดราคาให้แล้ว แย่งกันซื้อใหญ่ ต้องรู้จักอดทนที่จะรอเตรียมเงินพร้อมเสมอ ไม่ใช่พอเห็นหุ้นที่อยากได้วิ่งไป กลัวตกรถไปซื้อที่ดอยพอดี หลายๆคนพอเข้าสมัคร thaivi เล่นทางลัดวิ่งเข้าห้องร้อยคนร้อยหุ้นก่อนเลย ในนั้นแต่ละคนเหมือนสาวกหุ้นตัวนั้นๆ วันๆหาแต่ข่าวดีซ้ำๆ พอมีคนลงข่าวร้ายก็ช่วยกันหาเหตุผลให้ดูดีจนได้ สำหรับผมมันเป็นทางลัดที่น่ากลัวมากครับ อยากจะบอกว่า ผมใช้เวลาดูหุ้นข้างบนน้อยมาก ซึ่งผมรู้จุดอ่อนตัวเอง คือ เป็นคนไม่นิ่ง ชอบกลัว ผมไม่เปิดซื้อผ่านเน็ตกับพอร์ตนี้เลย มีแต่เบอร์มาร์เก็บไว้ซึ่งไม่ได้คุยกันมา 2 ปี ล่าสุดโทรไปตอน 10xx สั่งขายหมด มาร์งง หารหัสผมไม่เจอ ผมก็จำไม่ได้ ยังดีมาร์แกจำชื่อผมได้ จำเสียงกันได้เลยไม่ต้องยืนยันอะไร ยังดีมาร์ยังไม่ลาออก วิธีนี้ดีครับ ซื้อถูกจังหวะแล้วแกล้งลืมไปเลย ไม่ต้องไปข้องแวะกับมันมาก ดูมากก็คันมือมาก ขอให้โชคดีนะครับ ปล.ตอนนี้รอ CPF ต่ำๆ ไม่รู้จะได้เปล่า กลัวตกรถเหมือนกันครับ ขอเน้นนิดนึงครับ ราคาหุ้นตรงนี้ ผมว่า หายากมากนะครับที่จะถือแบบ VI ผมยังคิดเลยถ้าตลาดมันขึ้นต่อแล้วไม่ลงตามที่คิด ผมจะเอาเงินที่ขายหุ้นข้างบนไปลงทุนอะไรดี จะให้เล่น daytrade เก็งกำไรก็ทำไม่ค่อยจะเป็น น่าปวดหัวทีเดียว แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 54 22:33:18 จากคุณ : kanstk เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:23:11

ความคิดเห็นที่ 14 vi หรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมได้กำไรจาก lh, atc (ปัจจุบันเป็นpttar), itv, robins, rci, jas ,spali (เรียงตามลำดับเวลาจากอดีตถึงปัจจุบัน)ล้วนแต่ทำกำไรให้ผมเป็นเกิน 100 เปอร์เซนต์ทั้งสิน จากคุณ : tong8 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:28:54

ความคิดเห็นที่ 15 ตอนนี้เป็นลูกผสมอยู่ รอนิ่งๆก่อน จากคุณ : mr.taty เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:32:17

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านหลายความเห็นแล้ว ทำให้ได้คิดครับ ขอบคุณ คุณ RakRok12 สำหรับบทความด้วยครับ จากคุณ : monomaniac }:-] เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:32:34

ความคิดเห็นที่ 17 ผมเห็นบทความแล้ว ไปคุ้นๆกับหนังสือที่ผมเพิ่งซื้อพอดีเลยครับ คืนนี้ว่าจะอ่านเล่มนี้เหมือนกันครับ :) จากที่อ่านหลายๆความเห็นแล้ว เหมือนกับว่าเริ่มต้นด้วยความคิดอยากลงทุนแบบ VI อยากเป็นแบบบัฟเฟต อยากเป็นแบบ ดร.นิเวศน์ แต่พอเล่นกันไปสักพัก เกิดกิเลศ อยากซื้อเข้าขายออกเร็วๆ จนกลายเป็นว่าจะต้องมาอาศัยดูแนว Technical มากขึ้นเลยกลายเป็นแนว Technical กันไปส่วนใหญ่ -..-' แต่เนื่องด้วยผมเล่นแบบ Technical มาแล้ว ก็รู้ครับว่ามันใช้เวลาค่อนข้างเยอะ และจะต้องตามติดพฤติกรรมมันแทบจะตลอดเวลา ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองยังมีสิ่งอื่นที่ยังอยากทำอีกมากมายครับ แล้วที่เล่นแนว Technical มามันทำให้ผมปวดหัวกับมันมามากมาย และอีกอย่างทำให้ผมไม่ได้สนใจเรื่องงานสักเท่าไหร่ (เพราะผมกำลังทำ thesis ป.โท อยู่ด้วย ไหนจะต้องทำโครงงานภายนอกอีก >_<) ผมมาเลยคิดว่าโดยบุคคลิกส่วนตัวผมชอบอ่านหนังสือ หาข้อมูลตาม Internet ตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็เข้าไปนั่งหาหนังสือพิมพ์ วารสาร มานั่งอ่านนิดหน่อย เหมือนกัน ผมเลยคิดว่า การมานั่งหาข้อมูลแบบนั้นเทียบกับการมานั่งจ้องหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา + ทั้งกับดักในตลาดหุ้นช่างมากมายนัก ผมเลยตัดสินใจว่า จะลองลงมือการลงทุนในแนว VI ดูบ้าง ก็ไม่แน่ครับว่า อนาคตผมอาจจะไม่เหมาะกับ VI จริงๆ ก็ได้เหมือนกัน ถ้าประสบการณ์มีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่โดยส่วนตัวผมกำลังคิดถึงแนวการลงทุนแบบผสมผสานมากกว่าครับ เพราะผมคิดว่าในเมื่อทุกแนวก็มีหลักการลงทุนที่ดี และมีข้อดีในตัวเองตั้งมากมาย ก็น่าจะเอาข้อดีแต่ละอย่างมาผสมๆกันดูเหมือนกันครับ :) ปล.มันยังแค่ความฝัน สำหรับเม่าการลงทุนเพียงไม่ถึง 3 เดือนเท่านั้นครับ (ทอง 2 เดือนกว่า หุ้นอีกสัปดาห์เศษ) 555 แต่ผมมักจะมุ่งมั่นในสิ่งที่ผมได้ชอบและผมคิดว่าคงติดเรื่องการลงทุนไปแล้วน่ะครับ :) ยังไงก็เอาใจช่วยทุกๆคน นะครับ :) จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:50:13

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเอากำไร TFEX ส่วนนึงมาซื้อหุ้นเก็บแบบ VI (ไม่ขายจนกว่าพื้นฐานจะเปลี่ยน) แปลกมั้ยครับ? วันที่ขาดทุน TFEX ก็ไปตัดจากกำไรที่คงเหลือ + รายได้จากภายนอก stop loss TFEX 5 จุด เทรดวันละไม่เกิน 10 สัญญา วันไหนไม่อยู่หน้าจอ แนวโน้มไม่ชัดเจนก็ไม่เทรดครับ จากคุณ : yacht7 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:53:36

ความคิดเห็นที่ 19 อ่าว เพิ่งลงทุนได้ 3 เดือน ช่วงเดือน 8 นั่นดอยของปีเลยนะครับ เลือกช่วงเข้าไม่ค่อยดีเลยนะ แต่อย่างที่เขาพูดกันเสมอว่า ต้องดูกันยาวๆครับ ว่าเราเป็น "ของจริง" รึเปล่า จากคุณ : monomaniac }:-] เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:56:39

ความคิดเห็นที่ 20 >> คุณ yacht7 ไม่แปลกหรอกครับ เพราะเล่นด้วย 2 กอง ที่แยกจากกันชัดเจนอยู่ครับ กองนึงเล่นด้วย Technical กองนึงก็เล่นด้วย VI ผมว่ามีหลายคนที่เป็นแบบนั้นเยอะนะครับ บางคนก็อาจซื้อหุ้นยาวแล้วหาอะไรที่ตื่นเต้นเร้าใจ ก้เล่นด้วยแนว Technical หรือ TFEX กันไปเลยน่ะครับ :) ปล.ถ้าผมมีทุนเยอะก็อยากลอง TFEX บ้างเหมือนกันครับ 555 จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:57:16

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ monomaniac }:-] บังเอิญผมเริ่มต้นด้วย ทอง ก่อนน่ะครับ ซึ่งระหว่างดูทอง ผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจในหุ้นสักเท่าไหร่ด้วยน่ะครับ 555 แบบว่าตกตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าช่วงนั้นทองเด้งได้ใจมากมาย สักพักก็ดิ่งเหว จากกำไร เป็นขาดทุน เลยเริ่มเข้าใจแนว Technical มามากขึ้นเหมือนกันครับ :) แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 54 22:59:13 จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 22:58:27

ความคิดเห็นที่ 22 ลองไป search กระทู้ DVD จาก topic stock ดูครับ ปัญหาคือ ส่วนมากพวก VI ในสินธร บางทีก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน ไปๆมาๆเลยค่อยๆหายหน้ากันไปครับ เพราะส่วนมาก (ถ้าให้เดา คงไม่ได้เฝ้าตลาด หรือเฝ้าบอร์ดมากนัก) จากคุณ : ภูมิทัศน์ เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 23:15:59

ความคิดเห็นที่ 23 พยายามเป็นครับ ถือมานิ่งมากครับช่วงหุ้นตก จะรอดู port. นี้เหมือนกันครับว่าจะเป็นไงต่อไป เรื่องปันผลได้อยู่พอสมควรครับ เฉลี่ยปีละแสนแล้ว ถ้าปันผลเหมือนเดิมก็โอเคอยู่ครับ แต่ตอนนี้ port. -~6%. ครับ จากคุณ : NUKKY007 เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 23:18:18

ความคิดเห็นที่ 24 แนะนำสองท่าน Morning Star กับ Endophine จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 23:31:48

ความคิดเห็นที่ 25 ขอ ถามเจ้าของกระทู้ ตามความคิดคำนวนของท่าน สักนิดครับว่า 1.มูลค่าพื้นฐานหาอย่างไร 2.ขอให้ช่วยยกตัวอย่างสักสี่ห้าตัวดังนี้ ว่าแต่ละตัวมีมูลค่าพื้นฐานเท่าไร  2.1 ptl  2.2 ivl  2.3 ptt  2.4 jas  2.5 banpu .... เอาสักหน่อยนะ อย่าบอกว่าไม่รู้ ตอบหน่อยนะครับ เป็นวิทยาทาน...เพราะผมคิดว่าผมและหลายๆคนในที่นี้ ไม่เข้าใจหลักการตรงนี้จริงๆครับ   .. จากคุณ : halogen เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 23:41:16

ความคิดเห็นที่ 26 ผมคิดว่า VI กับ เม่า ต่างกันแค่ต้นทุน กับประสบการณ์เท่านั้นเองครับ เมื่อต้นทุนเราต่ำ ใจเราจะนิ่ง และเมื่อเรามีประสบการณ์ เราจะมองออกว่า การเข้า - ออก บ่อย มีโอกาสสำเร็จมากเท่าๆกับพลาด เมื่อทั้งสองรวมกัน คุณจะกลายเป็น VI ตามที่ฝันได้ครับ ตอนนี้ผมทดลองกับ โรจนะ กับ นวนครดู อยากหาจุดยืนที่ว่าให้ได้ก่อน มีช่วงหนึ่ง บวกไปเกือบเจ็ดหมื่น ปิดตลาดเหลือบวกสองหมื่นกว่าในวันเดียว มองมันเฉยๆนี่หล่ะไม่ทำอะไร โรจนจะ = 5.9 นวนคร = 1.3 ต่ำทุนอีกซื้ออีก ให้เวลาหกเดือนขึ้น แล้วมาวัดผลกันอีกครั้ง จากคุณ : ทองเนื้อเก้า เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 23:42:02

ความคิดเห็นที่ 27 DSM  ถือว่าเป็น VI ป่าวครับ อยากมีส่วนร่วม   ^ ^ จากคุณ : peboybad เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 00:03:39

ความคิดเห็นที่ 28 มูลค่าพื้นฐานมันไม่เคยมีสูตรคำนวนอะไรออกมาชัดเจนครับ แม้แต่นักวิเคราะห์ตามโบรคต่างๆ ก็ไม่มีใครประเมินมูลค่าหุ้นพื้นฐานออกมาได้อย่างแม่นยำอะไรนักหรอกครับ เพราะเท่าที่ผมศึกษามาก็ไม่เห็นมีใครบอกวิธีหาตัวเลขนั้นได้ชัดเจนอยู่แล้วครับ โดยหลักมันอาศัยหลักการวิเคราะห์ทางตัวเลขด้าน งบการเงินส่วนนึง คาดคะเน P/E จากพื้นฐานอื่นๆ เช่น กิจการของบริษัท / กลยุทธทางการตลาด / คู่แข่ง / โครงการในอดีตที่ผ่านมา / โครงการในอนาคต ซึ่งพวกนี้มันไม่สามารถวัดออกมาได้เป็นตัวเลขอยู่ครับ หลายคนคง งง ว่า "อ้าว แล้วมูลค่าที่แท้จริง จะมองอะไรแน่" สำหรับแนวผม ผมมองที่กิจการเป็นยังไง ผู้ประกอบการเข้าท่าหรือไม่ ประวัติต่างๆที่ด่างหรือไม่ รวมทั้งข่าวที่สะท้อนในแง่ลบต่างๆ นั้น ส่วนมากราคามันกระทบเกินจริงระดับนึงอยู่แล้ว ผมจะเริ่มมามองหุ้นเหล่านั้นว่า ราคาที่ตกไปนั้นมันทำให้พื้นฐานพวก กิจการของบริษัท / กลยุทธทางการตลาด / คู่แข่ง / โครงการในอดีตที่ผ่านมา / โครงการในอนาคต เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน อะไรบ้างที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ตอนนี้ผมก็ยังศึกษา กลยุทธหามูลค่าที่แท้จริง จากหลายๆสำนักเหมือนกันครับ เนื่องด้วยหลากสำนักอาจมีวิธีการแตกต่างกัน ข้อดีข้อเสียก็คงแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ถ้าผมรู้ลึก รู้ละเอียด ผมคงไม่มานั่งเล่น board แบบนี้หรอกครับ 555 แล้วผมยังเล่นหุ้นได้แค่ 2 สัปดาห์ผมคงไม่ใช่เซียน กูรู ฟังธง อะไรขนาดนั้น เพราะทุกอย่างมันต้องมาจากการค้นคว้าของนักลงทุนเองครับ ส่วนหุ้น 5 ตัวที่ halogen ว่ามานั้น ผมถือว่าไม่รู้จักบริษัทนั้นมากพอครับ และผมไม่สนใจหุ้นยอดนิยมแบบนั้นด้วย เหตุผลของผมคือ หุ้นเหล่านั้นผันผวนสูงมาก หุ้นระดับ big ส่วนใหญ่แล้วมันสะท้อนเกินพื้นฐานไปมากแล้วเหมือนกัน (ไม่งั้นมันคงไม่เป็นหุ้นยอดนิยมหรอก) ดังนั้นผมเลยคิดว่าไม่อยากเสียเวลามานั่งดูบริษัทที่โตไปหมดแล้ว กลายเป็นว่า มูลค่าสูงมากเกินไป ผมเริ่มมองมา 3 ตัวแล้ว แต่ก็มาปักใจลงมือกับตัวสุดท้ายเนี่ยแหละครับ จากระยะเวลา 2 สัปดาห์ในการหาข้อมูลตรงนั้น ระหว่างการเล่นแบบ Daytrade ไปด้วย ตอนนี้ผมมามองหุ้นที่หลายคนคิดว่า มีผลกระทบแน่ๆ พื้นฐานเปลี่ยนชัวร์ เพราะราคามักจะสะท้อนราคาก่อนที่จะได้มาวิเคราะห์พื้นฐานเสมอ ซึ่ง ตัวที่ผมลงทุนอยู่นั้นก็มีความมั่นใจใน กิจการของบริษัท / กลยุทธทางการตลาด / คู่แข่ง / โครงการในอดีตที่ผ่านมา ในระดับนึง จากการค้นคว้าและข่าวในอดีตที่ผ่านมา แต่......ทั้งนี้ อนาคต ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปตามที่คิดเสมอไปครับ ไม่งั้นนักลงทุน VI ก็รวยทั้งประเทศแล้วสิครับ หลายคนที่วิเคราะห์ผิดหรือประเมินผิด ก็ควรต้องยอมรับแล้วถอยยอม Cut ออกมาเหมือนกันครับ (ใช่ว่าแนว VI จะไม่มี Cut loss นะครับ) ซึ่งผมกำลังทดสอบความมั่นใจของตัวเองจากประสบการณ์ 2 สัปดาห์ในหุ้นครับ คนอื่นอาจไม่เชื่อผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แต่ผมยังไงก็ยังอยากดำเนินตามแผนดูก่อน ผิดยังไงก็ถือเป็นการเรียนรู้ของตัวเองทั้้งนั้นครับ แล้วอีกอย่างผมยังมีเวลาที่จะได้เรียนรู้อีกเยอะครับ ปล.หวังว่าคุณ halogen จะเข้าใจนะครับ เพราะผมไม่มีความคิดสนใจบริษัทนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ผมเลือกที่จะศึกษาหุ้นอื่นๆ ที่ไม่ยอดนิยมหรือตกนิยม มากกว่าครับ ปล.2 โปรดใช้วิจารณญาณกันด้วยครับ เพราะนี่คือประสบการณ์ของตัวผมเองในการเล่น ทอง 2 เดือนและหุ้น 2 สัปดาห์ ซึ่งคนอื่นอาจจะได้ผลลัพธ์แตกต่างกันได้ ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นแล้ว ควรใช้การวิเคราะห์และการแยกแยะ ด้วยเหตุและผลกันมากๆครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 00:14:05

ความคิดเห็นที่ 29 ขอแนะนำ เล่าประสบการณ์จากตัวที่ผมเล่นละกันครับ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> โปรดใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลครับ และทั้งหมดคือเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านไปแล้วครับ ในอนาคตอาจจะไม่สวยหรูอย่างที่ผมคิดไว้ก็ได้ ซึ่งผมจะต้องเรียนรู้และพัฒนาแผนการลงทุนกันต่อไปครับ เพราะผมเชื่อว่าแผนการลงทุนมันไม่มีอะไรดีที่สุดอยู่แล้วล่ะครับ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> ตัวที่ผมยังเล่นอยู่ คือ ROJNA ครับ จากที่หลายคนคิดว่าพื้นฐานเปลี่ยน น้ำท่วมลูกค้าไม่เข้าแล้ว กำไรหดหาย ปันผลชวด ไม่มีใครอยากเข้าหรอก แล้วก็แห่ไป AMATA มากมาย (ตอนนี้ AMATA สะท้อนล่วงหน้ามาแล้ว) ซึ่งผมก็มีคำถามกลับจากเหล่านั้นครับว่า พื้นฐานเปลี่ยนแล้วจริงหรอ? / รายได้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง (เพราะคงไม่มีแต่อยุธยาหรอกครับ) / กิจการโดยรวมยัง ok อยู่หรือป่าว / ความเห็นของเจ้าของผู้เช่ามีความคิดเห็นยังไงล่ะ? (ผมเห็นแต่ webboard วิจารย์กันเอง) / ทางเจ้าของพื้นที่จะเตรียมแผนรับมือยังไงล่ะ (ผมก็เห็นแต่ webboard กล่าวมาอย่างเดียวว่า "พื้นฐานเปลี่ยน พื้นฐานเปลี่ยน") ด้วยความที่ผมก็อยากรู้ถึงคำตอบเหล่านั้น ก็ได้ไปอ่านพวก รายงานประจำปี 2553 ของ ROJNA เหมือนกันครับ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากอยุธยาจริงครับ แต่.......รายได้ส่วนอื่นๆ ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน รวมทั้งมีรายได้จากต่างชาติด้วยอีก จากนั้นผมก็ลองหาราคาย้อนหลัง และงบการเงินย้อนหลังครับว่า เป็นยังไง เห็นว่าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ก่อนเกิดเหตุ ก็มีแต่ข่าวดี เชียร์ให้ซื้อกันยกใหญ่ อีกทั้งมี deal โครงการในอนาคตอีกมากมาย จากนั้นผมก็ลองไปสืบประวัติผู้บริหาร ประวัติครอบครัว ว่าเป็นยังไง ผลมาว่า มีพื้นฐานเป็นคนจีนค้าขายมาอยู่เดิมแล้ว ดังนั้นผมคิดว่าประวัติก็ ok ระดับนึง ทางญาติผมเห็นว่ามีคนนึงได้เปิดบริษัทพวกประกันเอาไว้ด้วย (จำตัวย่อไม่ได้แล้วครับ) ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเกื้อกูลกันได้บ้างไม่มากก็น้อย จากนั้นผมคิดต่อว่า จะมีข่าวร้ายออกมาบ้างหรือไม่ เพราะจากที่อ่านมาทั้งหมด แทบจะไม่ปรากฎข่าวร้ายอะไรเลย ซึ่งจริงๆข่าวร้ายมีข่าวนึงออกมา ตามข่าวนี้ http://www.setindexnews.com/2011/06/28/38344 ถ้าจะบอกว่าไม่เป็นปัจจัยลบเลยก็คิดไม่ถูกต้องนัก ผมก็เอาข่าวนี้มาสำรองเป็นปัจจัยลบ หาไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอข่าวร้ายอะไรอีกแล้วจาก Google ซึ่งผมมองว่าหุ้นตัวนี้น่าจะขึ้นไปได้อีก ตามกลยุทธและความเชื่อส่วนบุคคลครับว่า ทีมผู้บริหารนี้น่าจะต้องฝ่าอุปสรรคไปได้แน่ๆ ทีนี้ จะซื้อทีเดียวเลยหรือไม่ ??? ผมใช้การ save ตัวเองโดยการทยอยซื้อครับ เพราะผมคงไม่เซียนขนาดทุ่มได้ทั้งตัวโดยไม่ป้องกัน จากนั้นผมก็ตั้งจุด cut ด้านราคาและสถานการณ์ ไว้ครับว่า ถ้าราคาตกเกิน 10% จะขายทันที หรือ ถ้ามีข่าวออกมาในปัจจัยลบอีกผมจะขายทุกราคาเหมือนกัน ส่วนการซื้อนั้นตอนนี้ผมถือไป 1,000 หุ้น (เอ่อ ทุนผมมีแค่นี้ครับเหลืออีกนิดหน่อย รอเก็บตัง >_<) แล้วจะซื้อเพิ่มก็ต่อเมื่อมีข่าวปัจจัยบวกมามากขึ้น หรือผมสามารถหาข้อมูลสนับสนุนได้มากขึ้น (ผมตั้งเกณฑ์การซื้อโดยไม่สนราคาแล้วนะครับ) ทั้งนี้ ผมก็หมั่นคอยตรวจ port เป็นระยะๆ เหมือนกันครับ มีช่วงนึงที่หล่นมาถึง -5% ผมก็ลองหาข้อมูลมาเพิ่มเติมมากขึ้นอีก แต่ก็ไม่เจอปัจจัยลบ ผมเลยถือรอต่อมา จนตอนนี้ได้ +1% กว่าแล้วครับ ซึ่งตอนนี้หุ้นตัวนี้ มันคล้อยตาม SET แล้วครับ จากเดิมที่มันตกไม่สนใจ SET ผมเลยยังมั่นใจครับว่าหุ้นตัวนี้น่าจะไปต่อได้อีก ปล.โปรดใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลครับ และทั้งหมดคือเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านไปแล้วครับ ในอนาคตอาจจะไม่สวยหรูอย่างที่ผมคิดไว้ก็ได้ ซึ่งผมจะต้องเรียนรู้และพัฒนาแผนการลงทุนกันต่อไปครับ เพราะผมเชื่อว่าแผนการลงทุนมันไม่มีอะไรดีที่สุดอยู่แล้วล่ะครับ :) จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 00:35:32

ความคิดเห็นที่ 30 ฝากคำพูด ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ด้วยครับที่ว่า "จงพยายามกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว" ประกอบกับ "หลักการรวบยอดสำหรับนักลงทุน ก็คือ การเลือกบริษัททีดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่" ซึ่งผมก็ต้องประเมินกันต่อไปในอนาคตครับ :) จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 00:48:15

ความคิดเห็นที่ 31 ผมเป็น นักลอก การบ้าน CI ครับ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 06:55:31

ความคิดเห็นที่ 32 สวัสดีครับ ผมไม่ใช่แนวไหนทั้งนั้นหรอกมั้ง... ก็ออกแนวเล่นรอบใหญ่ ๆ หน่อย ขี้เกียจดูตลอดเวลาน่ะครับ โดยใช้หลักของ vi เล็กน้อยตรงเลือกหาหุ้นดี ๆ มา 6-10 ตัว มาอยู่ใน favorite และดูให้เข้าใจนิสัยมัน ถึงจะเป็นรูปแบบเก็งกำไร แต่ก็ไม่เน้นได้เงินเยอะ กลับกันเน้นในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจและรู้จักเพื่อ play safe ครับ จากคุณ : redreamt เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 07:21:43

ความคิดเห็นที่ 33 เป็นลูกครึ่งค่ะ 555+ แบบว่า มีตัวที่ถือยาว 3 ตัว แล้วก็เดย์เทรดไปวันๆ ตัวที่ถือยาวจะซื้อทุกๆเดือนที่เงินออก เฉลี่ยกันไปนิดๆหน่อยๆเพื่อสะสม คือ CPNRF BCP และ CSL ส่วนตัวอื่นที่เดย์เทรด ก็จะเลือกจากกระดานและ vol การซื้อขายและเทรนด์ในแต่ละวันค่ะ โดยมาก(โดยมากนะ) จะได้ค่าโออิชิ 2คน 1 มื้อ คือประมาณ 500- 2000 บาท แต่ก็จะมีฟลุคๆ ช่วงน้ำท่วมบ้างไรบ้าง มี 4-5000 จากการเดย์เทรด ที่เคยขาดทุนเยอะสุดอยู่ที่ 2000+ บาท 1 ครั้งค่ะ T^T จากคุณ : janiza เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 07:58:02

ความคิดเห็นที่ 34 มาลงชื่อและให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ในการรวบรวมพลครับ จากคุณ : A_different_corner เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:32:00

ความคิดเห็นที่ 35 เห็นกระทู้นี้แล้วนึกถึงกระทู้ DVD (Daily VI Discussion) จากคุณ : จอมโจรแมวเหมียว เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:32:25

ความคิดเห็นที่ 36 เครดิตพี่ CK .....นานมากแล้วครับ จากคุณ : อัศวินม้าไม้ เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:40:24

ความคิดเห็นที่ 37 เครดิตพี่วิบูลย์ .....จากไทยวีไอครับ ....นานมากแล้วครับ จากคุณ : อัศวินม้าไม้ เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:47:34

ความคิดเห็นที่ 38 คุณเวเนเซียร์ กับคุณหมึกสดเอ่ยถึง ก็ขอแวบเข้ามาตอบ ผมแค่คนที่ถือหุ้นที่คิดว่าดีๆ  ได้ไม่จำกัดเวลาเท่านั้นครับ เลยเรียกตัวเองว่า vsop   (Value Surfing  by Open-minded Pragmatist) ปีนี้  ตัวที่ได้จากการกระทำของคนในตลาดหุ้นมากที่สุดคือ TPP ซึ่่งมองยังไง  วีไอก็คงไม่ซื้อ แต่ผมซื้อเฉลี่ยขาลง ไปตามแนวรับสุดท้ายของตัวเองคือ "ซากบริษัท จะขายเลหลังได้ราคาเท่าไร ?" ได้จากตัวนี้มาประมาณสองล้านสองแสนหรือสามแสน ไม่ได้จดเอาไว้ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่เคยจดกำไรขาดทุน  ที่ได้จากการกระทำของคนในตลาดหุ้น แค่ยึดตามหลักการในภาพประกอบ เราก็จะไม่หงุดหงิดกับราคาหุ้นที่ขึ้นลง จนน่าเวียนหัว + แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 54 09:08:20 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:49:16

ความคิดเห็นที่ 39 ตอนนี้ ที่ผมเน้นมากๆคือ เงินที่ได้จากการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียนโดยตรง เอาโฟโต้ช็อบมาให้ดูอีกรอบก็แล้วกัน + จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:53:18

ความคิดเห็นที่ 40 ในพอร์ตมีหุ้น VI แต่ในพอร์ต VI ก็ยังมีหุ้น Technique สรุปเป็น เจ้าชายเลือดผสม จากคุณ : เขียนบน iPhone (opar156) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 08:58:32

ความคิดเห็นที่ 41 จะเล่นแนวไหนก็เล่นไป ทำไมต้องรวมกลุ่ม เดี๋ยวพอมีกลุ่ม แยกกลุ่ม ตอบคำถามกระทบกระทั่งกันอีก คนเราพอมีพวก มันก็จะหึกเหิม ทำอะไรไม่ยั้งคิด เหมือนกีฬาสีที่ผ่านมา ไม่เห็นเหรอ จากคุณ : ฉลาดหน้าตาดีมีเงินใช้ เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 11:02:51

ความคิดเห็นที่ 42 "มนุษย์จะหลงเหลือสิ่งใดให้เชื่อ หากปราศจากแล้วซึ่งศรัทธา..." การลงทุน...เราต้อง "เชื่อ" ในอะไรสักอย่าง และที่สำคัญ...เราต้องมี "ความสุข" บนเส้นทางแห่งการเดินทางของเรา ผมไม่รู้ว่าผมเป็น "นักลงทุนแบบ VI" หรือเปล่า? แต่ที่ผมรู้คือ ผมเป็น "นักลงทุน" และเป็น "เจ้าของกิจการ" คนหนึ่ง...ก็เท่านั้นเองครับ จากคุณ : Bata (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 11:25:05

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านหัวข้อกระทู้แล้ว ผมไม่เห็นด้วยเรื่องในแนวทาง VI ใครโดดเด่นมากกว่ากัน เพราะถ้าจะหาตัวชี้วัด เราจะชี้วัดอย่างไร จะมองที่ผลตอบแทนการลงทุน หรือว่าการยึดติดกับหลักการ แนวทาง ? สมมติหาก A และ B ออกตัวเป็น VI เหมือนกัน ซึ่งยึดหลักการลงทุนคล้าย ๆ กัน คือ ซื้อกิจการที่ดี อยู่ในอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโต มีผู้บริหารมีธรรมาภิบาล และถือตราบเท่าที่ยังเป็นกิจการที่ดี แต่ช่วงที่ผ่านมา อารมณ์ตลาดทำให้หุ้นแทบทุกบริษัทราคาร่วงลง เพราะความวิตกกังวลของนักลงทุนทุกฝ่าย หาก A ตัดสินใจ SAP ไป ถือไว้เฉพาะเงินสด ส่วน B ยังถือหุ้นครบทุกตัว เพราะกิจการที่ลงทุนอยู่ วิเคราะห์แล้วไม่ได้ผลกระทบในเชิงพื้นฐาน แน่นอนว่า A มีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า B และมีโอกาสซื้อหุ้นกลับมาในปริมาณที่มากกว่าเดิมจากเทศกาล grand sale แต่ถามว่า A คือ VI ที่โดดเด่นกว่า B หรือไม่ ... A เป็น VI ที่เก่งกว่า B หรือไม่ ถ้าถามทุก ๆ คน แน่นอนว่าไม่ว่าใคร รวมทั้งผมด้วย ... อยากจะเป็นแบบ A เพราะปลายทางของทุกคน ก็คือผลตอบแทนการลงทุน ผมจึงมองว่า (ความเห็นส่วนตัว) ไม่ว่าจะ VI VS Technical VSOP หรือ ดูเจ้าเข้าทรง ดูหมอดูดวง ลิงปาเป้า สิ่งเหล่านี้  คือเครื่องมือการลงทุน ไม่ใช่ลัทธิที่บอกว่า หากฉันเข้าอยู่ในลัทธินี้แล้ว ห้ามนอกคอกไปใช้อย่างอื่น ไม่งั้นจะเสียผู้เสียคนไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า แต่อยู่ที่ความถนัด ความเหมาะสมของแต่ละคนที่จะประยุกต์เอาเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ร่วมกัน (อย่างมีบูรณาการ ๕๕๕) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด และแน่นอน เพื่อจุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกัน คือเพื่อผลตอบแทนสูงสุด และถ้าเป็นไปได้ ก็คือ ผลตอบแทนที่ยั่งยืน และความเสี่ยงต่ำสุดด้วย ดังนั้น ข้อดีข้อเสียของแต่ละเครื่องมือ จึงแตกต่างกันไป เช่น VI คือการวิเคราะห์พื้นฐานบริษัท ธรรมาภิบาลผู้บริหาร ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่มีผลตอบแทนที่มาจากผลกำไรของบริษัทจริง ๆ VS Technical คือการวิเคราะห์แนวโน้มความคิดคน จิตวิทยานักลงทุน มองว่าคนหมู่มากจะไปทางไหน และเราก็ชิงไปทางนั้นก่อน อะไรทำนองนั้น สุดแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ว่าใช้เครื่องมือไหนได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ากัน ถ้าถามผม อ่านชื่อผมแล้วคุณจะนึกถึง Candle Stick ตัวหนึ่ง นั่นคือที่มาของชื่อ log-in เพราะผมเลือก Technical เป็นตัวแรกในการลงทุน แต่เนื่องจากความไม่ถนัด ความสามารถไม่ถึง หรือความอ่อนประสบการณ์ในการคาดการอารมณ์ตลาด สุดท้ายผมได้พบว่าแนวทาง VI คือแนวทางที่มีความแน่นอนที่สุดในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้สร้างผลตอบแทนสูงสุด และในบางเวลามันก็ทำให้ผมเสียโอกาส เช่นในช่วงตลาดกระทิง ... หรือสูญเสียกำไรที่ไม่ได้ชิงขายหุ้นปรับพอร์ต เช่นช่วงที่ผ่านมา ถ้าสามารถเป็นนักลงทุนที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกหุ้นได้อย่างเฉียบขาด โดยเฉพาะหุ้นวัฏจักร และสามารถใช้เครื่องมือ Technical ในการเข้าและออกได้อย่างยอดเยี่ยม ... นั่นแหละคือนักลงทุนที่ผมอยากเป็น แต่เผอิญตอนนี้ยังไม่สามารถ VI จึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และผมจะใช้มัน ตราบเท่าที่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด (สำหรับตัวเอง) หรือมีเครื่องมือที่ดีกว่า สุดท้ายแล้ว ความคิดนี้ ก็ไม่หลุดพ้นหลักการ VI อยู่ดี 5555 จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 11:52:41

ความคิดเห็นที่ 44 มาลงชื่อครับ...ผมเชื่อมั่นในแนวทาง VI  พยามยามจะเดินแนวทางนี้ เพราะเห็นว่า ok สุดน่าจะเหมาะกับผมสุด^^ จากคุณ : เขียนบน iPhone (satan@เต้ย) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 11:56:18

ความคิดเห็นที่ 45 ผมหาข้อมูลต่อจำพวก สายต่างๆของ VI ที่คุณ endophine กล่าวถึงน่าจะเป็นตามนี้นะครับ VI (Value Investor) สายวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นโดยตรง VS (Value Speculator) สายวิเคราห์อำนาจการซื้อขาย (น่าจะวิเคราะห์ Fund Flow กับ Tecnical เป็นส่วนใหญ่ไปด้วยล่ะมั้งครับ) VSOP (Value Surfing by Openminded Pragmatic) สายผสมระหว่าง VI เป็นหลักในการหาหุ้นพื้นฐานที่ดีร่วมกับ Techincal เป็นส่วนเสริมในการหาจังหวะซื้อขาย อ้างอิงข้อมูลจากที่นี่ครับ http://cway-investment.บล๊อคสปอทดอทคอม/2011/01/im-vsop.html#more แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 54 12:07:13 แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 54 12:06:51 แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 54 12:06:10 จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 12:04:12

ความคิดเห็นที่ 46 ผมหาข้อมูล DSM จากคุณ peboybad (ตอนแรกผมนึกว่ามันคือชื่อหุ้นซะอีก) โดยอ้างอิงจากข้อมูลตามนี้ครับ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mhakkeaw&group=8 ผมว่าน่าจะเป็นหลักการการในการถือครองหุ้นระยะะยาวมากถึงตลอดชีวิต อาศัยปันผลมาช่วยในการเพิ่มจำนวนหุ้นเข้าไปเรื่อยๆ เน้นการถือครองจำนวนหุ้นมากๆ มากว่าการได้รับส่วนต่าง เพียงแต่หลักการซื้อจะเน้นไปด้วยหลักเริ่มต้นของ Technical มากกว่าคือ ซื้อเมื่อถึงขาขึ้นเท่านั้น แต่การขายจะไม่ขายออกไป หรืออาจจะเริ่มขายด้วยหลักของ Technical แบบทีละส่วน ผมว่ามันก็อาจจะเป็นลูกผสมระหว่าง VI กับ Technical เหมือนกันนะครับ แต่จะเน้นที่ Technical ซะส่วนใหญ่เหมือนกัน อ่านความเห็นไปเรื่อยๆ ผมก็ได้เห็นแนวคิด หลักการ Idea มากขึ้นเรื่อยๆ ขอขอบคุณทุกๆความเห็นมา ณ ที่นี้ด้วยครับ :) ยิ่งเห็นแนวคิดลูกผสมมากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เริ่มมามองสายผสมมากขึ้นแล้วล่ะครับ 555 (นึกว่ากำลังเล่นเกมอยู่ล่ะมั้ง >_< มีสายอาชีพผสม) จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 12:22:34

ความคิดเห็นที่ 47 นึกถึงกระทู้ DVD เหมือนกันค่ะ ^^ จากคุณ : Iceclover เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 12:40:52

ความคิดเห็นที่ 48 ดิฉันกำลังศึกษาอยู่ยังไม่ได้ลงสนามจริง เอาให้มั่นใจกว่านี้แล้วค่อยว่ากัน แต่ส่วนตัวคิดว่า จขกท.น่าจะเป็นสาย Technical เพราะเคยตามอ่านกระทู้อยู่ จากคุณ : totoro_kawaii เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 12:46:14

ความคิดเห็นที่ 49 ปักหมุดไว้ เด๋วมาอ่านคะ ตอนนี้กำลังเป็นเม้ามือใหม่ รอจังหวะอยู่คะ ไล่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ เปิดพอร์ตแล้ว (แต่ยังไม่ลงจริงเหมือนกันคะ) ส่วนเป็น VI หรือป่าว ไม่รู้เหมือนกัน อิอิ แต่อ่านไปอ่านมา ชอบกลยุทธ์ห่านทองคำมากกว่า VI คะ จากคุณ : pupaeblossom เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 12:58:56

ความคิดเห็นที่ 50 จากคุณ totoro_kawaii แต่ก่อนเล่นทองมันต้องอาศัยหลัก Technical เป็นส่วนใหญ่ครับ ผมเลยได้ Skill ด้าน Technical มานิดหน่อย :) แต่ตอนเริ่มแรกสุดนั้นผมอยากที่จะเรียนรู้แบบ VI มากกว่าครับ อย่างแรกเพราะมันสบายๆ ไม่ต้องติดตามกราฟอะไรมากนัก ไม่ต้องมานั่งเฝ้าพฤติกรรมตลาดตลอดเวลา แต่ผมก็ชอบกระบวนการทาง Technical เหมือนกันนะครับ เพราะคนส่วนนึงมักเล่นตามหลัก Technical มันทำให้เกิดรูปร่างกราฟเป็นไปตามหลัก Technical ซึ่งทำใ้ห้การคาดเดากราฟมันทำได้ง่ายๆครับ แต่จริงๆ ผมมักจะชอบดูกราฟแบบ Long-Term มากกว่าครับ เช่น กราฟรายวัน กราฟรายสัปดาห์ หรือกราฟรายเดือน เอาเข้ามาเพื่อหาจังหวะการซื้อขาย หรือแม้แต่ Cycle ของหุ้นแต่ละตัวครับ ส่วนตัวผมเลยคิดว่า ในเมื่อมีข้อดีทั้ง 2 สายขนาดนี้ ก็น่าจะเอาข้อดีแต่ละจุดมาเป็นใช้เป็นแผนในการลงทุนได้เหมือนกันครับ :) ปล.ตกลงผมจะเป็นสาย VSOP หรือป่าวล่ะเนี่ย ฮิๆๆ แต่ผมชอบที่จะค้นคว้าหาข้อมูลด้านพื้นฐานของหุ้นมากกว่านะครับ ผมยังต้องศึกษาหลายๆ อย่างให้ครอบครุมก่อนน่ะครับ แล้วถึงค่อยไปเจาะลึกในสายที่เหมาะกับตัวผมจริงๆ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 13:13:06

ความคิดเห็นที่ 51 ผมเห็นเจ้าของ DVD (ตอนแรกผมก็งงว่า พูดถึงเครื่องเล่นกันหรอ >_< ) น่าจะเป็นตามนี้น่ะครับ Daily VI Discussion (DVD 128) กระทู้การลงทุนแนวเน้นคุณค่า โดย คนจนที่อยากรวย http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2011/01/I10188620/I10188620.html ผมชอบแนวคิดของเค้าเหมือนกันนะครับ แล้วเป็นการรวบรวม Idea ต่างๆ ของเหล่า VI ไว้ด้วยกัน :) แต่ผมค้นไม่เจอหลังจากนั้นแล้วน่ะครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 13:29:28

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่ใช่ VI แต่อยากออกความเห็นครับ ^^" ถ้าต้องการ maximize profit ตามแต่ละแนวทาง(คิดเล่นๆ เอาฮานะครับ) ตามกฎ พาเรโต 80:20 VI : เหนื่อยเริ่มต้น 80 เพื่อที่จะเหนื่อยตอนรักษาหุ้นเพื่อรับผลประโยชน์ 20 TA: เหนื่อยเริ่มต้น 20 เพื่อหาหุ้น และเหนื่อยเพิ่มเพื่อรับผลประโยชน์อีก 80 ที่ยกแค่ 2 สายนี้เพราะมันค่อนข้างจะสุดขั้วตามนิยามที่มองได้ครับ ส่วนสายอื่น ก็บาลานซ์กันไป แล้วแต่จะจัดการ ห่าน ว่ายน้ำอย่างสง่างาม แต่ใต้ผิวน้ำก็ทำงานเต็มที่เช่นกัน ผมเชื่อว่า 2 สาย ถ้าต้องการให้ผลลัพท์ออกมาเต็มที่ มันเหนื่อย พอๆ กันหละครับ มันจึงแตกต่างตามคุณสมบัติพื้นฐานของคนมากกว่า ว่าตัวเราเองเป็นแบบไหน และใช้สายไหน เพื่อให้เสริมกันอย่างเต็มที่มากกว่าครับ ^^ จากคุณ : SundayroyaL เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 13:30:43

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณเสมอนะครับ rakok12 ที่คุณช่วยผมในหลายกระทู้ตอนนี้ผมลงทุนแบบ vi มาตลอด ช่วงนี้บางตัวกำไรเยอะบ้างน้อย ขาดทุนบ้างแต่ไม่ย้อท้อเพราะการลงทุนมีความเสี่ยงและเราต้องรับได้ ตอนนี้หุ้นที่ขาดทุนไม่ใช้จังหวะขายครับ รอก่อนเราต้องขายหุ้นในช่วงที่ดีของกิจการเท่านั้นครับ ช่วงปกติผมซื้อหุ้น ในช่วงวิกฤษติผมก็ซื้อหุ้นครับ ช่วงดีผมขายครับ เช่นการประกาศผลประกอบการที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นต้นครับ ช่วงนี้ผมสนใจ ธุรกิจประกันและนิคมใน อยุธยาเป็นอย่างมากครับ ราคา discount มาแล้ว ยิ่ง bki ราคา pbv อยู่ที่ 0.9 แล้วนี้น่าสนครับ จากคุณ : value invester (value invester) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 13:46:24

ความคิดเห็นที่ 54 VI จำเป็นมาลงชื่อค่ะ ^^ ==" จากคุณ : zelimony เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 15:11:11

ความคิดเห็นที่ 55 ขอเสริมอีกนิดครับ ความจริง  ผมให้คำจำกัดความ vsop ไว้ว่า "ใช้เครื่องมืออะไรก็ได้  ที่เป็นประโยชน์กับพอร์ตการลงทุนของเรา"   ที่แล้วมา  ผมเลือกใช้หมายเลข ๓  เป็นหลัก margin of safety ของผม จึงขึ้นอยู่กับว่า ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นจะยืนอยู่ข้าง อำนาจซื้อของเงิน หรืออำนาจขายของหุ้น แล้วก็โลภหรือกลัวไปตามนั้น ไม่เคยเอาชนะราคาหุ้น ตลาดหุ้นในระยะสั้น เพราะเครื่องมือที่ใช้  มันไม่ได้ไวกับราคาหุ้นเท่ากราฟ แล้วทำไมไม่ใช้กราฟ ไม่ใช้กราฟเพราะ แนวทางที่ผมใช้อยู่  ยังใช้ได้ผล ก็เลยไม่ได้ศึกษากราฟอย่างจริงจังจนรู้จริง (ยอมรับตามตรงว่า ขี้เกียจ) และยังมีความพึงพอใจในการเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น แบบไม่ต้องมานั่งเครียด นั่งเฝ้ามองราคาหุ้น เป็นรายนาที รายชั่วโมง รายวัน  รายสัปดาห์ แม้แต่ตลาดปิดก็ยังตามดู ตามเครียด ไปรอวัดกันที่รายเดือน ไปจนถึงรายปีเลย ทุกคนควรจะทำตาม  margin of satisfaction   ของตัวเอง ไม่เอาพอร์ตของเรา ไปเปรียบเทียบกับของคนอื่น ไม่เอาวิธีการของเรา ไปเปรียบเทียบกับวิธีการของคนอื่น มันดีสำหรับเราก็พอแล้ว + จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 08:25:27

ความคิดเห็นที่ 56 ผมเห็นด้วยตาม พี่ endophine เลยครับ :) แนวนั้นแหละที่ผมกำลังเรียนรู้อยู่ครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 13:51:04

ความคิดเห็นที่ 57 Vi เค้า sap กันมั้งปล่าวครับ ตอนนี้ลดอยู่ 20% ความคิดนี้วนเวียนมา อาทิตย์1ละ จากคุณ : Exploit~* เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 18:26:21

ความคิดเห็นที่ 58 VI ในห้องนี้ อันดับ 1 เดียวใน ใจผม คือ พี่คลายเครียด คนเดียวเท่านั้นครับ ปล. ไม่ใช่ VI เล่นแต่กราฟ จากคุณ : น้องส้มเด็กดี เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 18:35:04

ความคิดเห็นที่ 59 ถ้าคิดว่ามันคือขาลงจริงๆ ก็ทำ SAP ได้ครับ :) แต่ส่วนมากจะเป็น SAP (Sell All Pig) มากกว่าครับ >_<' ผมก็โดนไปแล้วเหมือนกันครับประสบการณ์นี้ ใช้หลัก Cut loss ถอยมาดูห่างๆ ก่อนดีกว่าครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 19:01:07

ความคิดเห็นที่ 60 ระวังโดนกับดัก จากเวป Thaivi ทมิฬ นี่แค่ตัวอย่าง จากคุณ : por_sas_a เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 22:33:51

ความคิดเห็นที่ 61 ผมพิจารณาจากกิจการของบริษัทเป็นหลักครับ ส่วนหุ้นพวกนั้น ผมถือว่าเดิมทีหุ้นตัวนั้นก็ไม่ได้น่าสนใจอะไรกับ VI อยู่แล้วนี่ครับ ?? แต่เหมือนมีคนหลงไปกับมันมากกว่า พอมันเกินมูลค่าไปเยอะก็ไม่ขายกันอีก แล้วปัญหาคือจะโทษใครได้ล่ะครับ :P เรื่องนั้นผมคิดว่าน่าจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการพิจารณากันที่ตัวบุคคลมากขึ้นครับ เพราะบริษัทจะดีหรือไม่นั้น มันขึ้นกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และทีมบริษัทนั่นแหละครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 23:28:19

ความคิดเห็นที่ 62 ฝากกระทู้ ของกระผมด้วยครับ :) >>> VI Chil Chil (19/10/11 ภาคค่ำ) <<< http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11218173/I11218173.html ผมยังเป็นแค่ VI ฝึกหัดครับ แต่ชอบดูกิจการบริษัทมากมาย ยิ่งได้หาตัวเปรียบเทียบกันระหว่าง 2 หุ้นขึ้นไปยิ่งสนุกครับ 555 (เหมือนจิตนิดๆแฮะ ฮิๆ) จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 54 23:29:53

ความคิดเห็นที่ 63 หมอน้องส้ม อย่าชมแบบนั้นเลย เดี๋ยวกลายเป็นขาใหญ่ห้องสินธร โดยไม่ได้เป็นโรคเท้าช้าง ผมแค่ คนที่มีความสามารถถือหุ้นที่เชื่อว่ามันดีๆ  ได้ไม่จำกัดเวลาเท่านั้นครับ ถือยาว หรือถือสั้น  ไม่ได้เป็นเครื่องกำหนดว่าใครลงทุนแนววีไอ แต่ถือไปตามส่วนต่างระหว่าง มูลค่าหุ้นที่เชื่อว่ามีอยู่ในบริษัท  ในปัจจุบันและจะมีในอนาคต กับราคาหุ้นที่คนในตลาดหุ้น ให้ราคากับมันต่างหาก ยิ่งแตกต่างกันมาก ยิ่งถือยาว   ยิ่งแตกต่างกันน้อย ก็ยิ่งถือสั้น และจะไม่มีนักลงทุนแนววีไอคนไหน จะยอมซื้อหุ้นที่ไม่มี mos เหลืออยู่แน่ๆ คนที่ซื้อหุ้นนั้น    ก็แค่คนที่โลภกับราคาหุ้นที่เจ้ามือทำให้เชื่อว่า "จะขายได้  ในราคาที่สูงกว่าที่ตัวเองซื้อมา" วีไอขั้นพอร์ตพันล้านบางคน ถ้ารู้สึกว่า  การกระทำของคนในตลาดหุ้น จะเริ่มคุกคาม margin of safety ของตัวเอง เขาก็ขายหุ้นทิ้งไปก่อน   รอรับกลับใหม่ ตอนที่คิดว่า mos  จะกลับมามีมากขึ้นอีกรอบ ต่อยอด  ดัดแปลง ประยุกต์ใช้ คือหัวใจของนักลงทุนไม่ว่าแนวไหน + แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 54 09:15:36 แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 54 08:35:41 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 54 08:33:47

ความคิดเห็นที่ 64   ความคิดเห็นที่ 46     ขอมีส่วนร่วม ในกระทู้ ปฐมฤกษ์ ด้วยนะครับ ---- ถ้าจะมาทาง สายนี้ ก็ต้องไป ศึกษา ชีวประวัติและผลงานของ Benjamin Graham v v Philip Fisher v v Warren Buffet คนสุดท้าย  นี่คือเพชรแท้ ที่ผ่านการเจียรนัยอย่างประณีต จาก  ปรัชญาการลงทุน ของ บุคคลสองท่านแรก จริงๆ ทางสายนี้ คือ Fundamental Analysis นะครับ VI หรือ Value Investor คือ คำที่เรียกกันเอง สำหรับการลงทุน สไตล์นี้ ในหมู่คนไทย ถ้าจำไม่ผิด คนที่เริ่มต้นใช้คำนี้ คือ ดร.นิเวศน์ นั่นเอง ----- คำเตือน ทางสายนี้ ไม่ได้ปูลาด ด้วยกลีบกุหลาบ จะมีการทดสอบ แนวคิด ความรู้ และ สภาวะจิตใจ เป็นระยะๆ จากสภาพ ความผันผวนของ ตลาด ราคาหุ้น และ สภาวะเศรษฐกิจ ทั้งภาพรวมและรายอุตสาหกรรม ตาม Cycle ของมัน  ทั้งรอบเล็กและใหญ่ --- เวลาที่ ตลาดเริ่มดี หรือ เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว (อย่างเช่นปีนี้) คนที่ ศึกษามาบ้าง แต่ไม่มากพอ หรือประสบการณ์ ยังไม่มากนัก จะไม่สามารถแยกแยะ ได้ว่า ความสำเร็จ ที่ได้มานั้น มาจาก การวิเคราะห์ที่ดีและรอบคอบ หรือ ภาวะตลาด-เศรษฐกิจ ฯลฯ มันนำพากันแน่ หรือ ปนๆ กันไป ซึ่ง ก็ไม่มีใครบอกได้ว่า ในกลุ่มคนเหล่านั้น แท้จริงแล้ว ต่างกันอย่างไร ถ้าดูจาก ผลตอบแทน เป็นปีๆ --- แต่เวลาที่ เกิดวิกฤติ เศรษฐกิจ ตลาดจะ แยก คนเหล่านี้ ออกมาให้เห็นเอง ไม่ว่าแต่ละคนนั้น จะยอมรับ หรือไม่ ก็ตาม --- คำแนะนำ เข้าให้ถึง .............วิถี อย่าไปหลงเพียง....วิธี --- ข้อเสนอแนะ นอกจากจะมองหา ข้อดี หรือ จุดแข็ง ของการเดิน บนเส้นทาง สายนี้ ส่วนที่น่าสนใจ ก็คือ อะไร คือ จุดอ่อน ในวิถีนี้ อะไร คือ ภาพลวงตา หรือ มายา ที่ทำให้บางคนหลงใหล ว่าได้เดินมาถูกทาง แต่ไม่เคยถึงจุดหมาย สักที แม้จะให้เวลา กับเส้นทางสายนี้ ...........จนตลอดชีวิต.......... ------ สุดท้าย ขอให้ทุกท่านที่เลือกเดินบนส้นทางนี้ เดินไปได้ อย่างมีความสุข ในแต่ละวัน และ ไปได้ถึง ฝั่งฝัน ของแต่ละคน ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : The Rounder   เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 52 13:54:41   ^ ^ กระทู้ DVD กระทู้แรก ผ่านไปเกือบ ..สองปี ขอนำความเห็นที่เคยให้ไว้ มาให้ทบทวนอีกที ละกันครับ --- Ref : http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8673388/I8673388.html แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 54 11:00:02 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 54 10:24:39

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบพระคุณ คุณ endophine และ The Rounder อย่างสูงครับ :) ผมเองก็ยังมีอะไรต้องเรียนรู้ในสายการลงทุนอีกมากมายครับ >_<' ยิ่งช่วงนี้คือช่วงวิกฤตหนักๆ ด้วยอีกครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 54 13:15:58

ความคิดเห็นที่ 66 ส่วนต่อไปนี้ ถือว่า แลกเปลี่ยนความเห็นนะครับ เพราะ โดยส่วนตัว ก็ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้นแล้ว เคยศึกษาแนวทางนี้ มาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ซึ่งก็ยอมรับว่า มีข้อดี หรือ จุดแข็งอยู่มาก แต่ก็มีสิ่งที่พึงระมัดระวัง โดยเฉพาะ สำหรับ ... มือใหม่ v v มายา หรือ ภาพลวงตา ที่กล่าวถึง ด้านบนนั้น  คือ อะไร สำหรับ คำอธิบายในส่วนนี้ ไม่มีอะไร ที่จะให้ภาพ ที่ชัดไปกว่า ... Ames room จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 04:25:49

ความคิดเห็นที่ 67 ใครก็ตาม ที่จะเลือกเดินบน...เส้นทางสายนี้ ทุกคน จะต้องเจอ...ด่านทดสอบ เรื่อง ...ภาพลวงตา ของ ... ราคา และ มูลค่า ...     Price & Value ^ ^ ราคา จะถูกเสนอ ...  โดยคนอื่น ส่วน มูลค่า จะต้องตีความ... ด้วยตนเอง --- ในมุมมองส่วนตัว สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุด  ก็คือ หลายๆคน วัดมูลค่าของพอร์ท ด้วย...ราคาตลาด เพื่อเปรียบเทียบ....ประสิทธิผล ของการลงทุน นั่นหมายถึง คนเหล่านั้น แม้บางคนจะ ไม่หลงไปกับ ภาพลวงตา ในส่วนของ... ราคาหุ้น   แต่ก็ยังติดกับดัก... มายา ในเรื่อง...ราคาพอร์ท ซึ่งเป็นการ ให้ราคา Portfolio ของตลาด ณ ขณะหนึ่งๆ ... เท่านั้นเอง ... จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 05:55:48

ความคิดเห็นที่ 68 เริ่มศึกษามาได้สักพักแล้ว งง กับคำว่าซื้อในราคาที่เหมาะสม ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน เอาอะไรมาวัดได้จริง ถ้ามันมีวิธีที่ชัดเจน VI ก็ต้องรวยหมดทุกคนแล้วสิ สรุปที่สงสัยคือ ราคาต่ำกว่าพื้นฐานใช้หลักการใดบ้างมาวัด จากคุณ : สายน้ำสีเดิม เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 21:29:14

ความคิดเห็นที่ 69 เมือ่ก่อนก็เป็นการใช้ pe เป็นหลักเดี๋ยวนี้ต้องดู pbv เป็นหลักมากกว่า เด๊่ยวต่อ จากคุณ : value invester (value invester) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 54 11:43:24

ความคิดเห็นที่ 70 ส่วนใหญ่นั้น vi ส่วนมากใช้ pe แต่ปัจจุบัน บางบริษัทผลประกอบการบริษัทมีความผันผวนจึงทำให้การใช้ pe อาจผิดคาดครับ เพราะฉะนั้นการใช้ pbv (price per book value) นั้นอาจเป็นตัวกำหนดความถูกแพงของหุ้นได้มากกว่า ส่สมวนหุ้นที่มีการใช้เงินสดในการปันผลสูงนั้น อาจใช้ pbv ไม่ได้เนื่องจากบริษัทได้เอากำไรสะสมมาปันผลทำให้ pbv นั้นลดลง เพราะฉะนั้นเราจึงเอาการจ่ายปันผลชองหุ้นหรือ dividend yied มาเป็นตัวกำหนดได้ เช่น การให้ผลตอบแทนที่เราต้องการ เราต้องการกี่ เปอร์เซนต์ก็ว่าไปครับ เมื่อหุ้นได้ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ก็อาจขายทำกำไรได้หรือ ก่ารที่ราคาหุ้นสูงไปมาก อาจทำให้ผลตอบแทนลดลงตามราคาที่ขึ้นสูง เช่น advanc จ่าย 6.3 ณ ราคา 90 บาท ได้ปันผล 7.5% แต่ราคาปัจจุบันขึ้นมา 126 บาท คิดผมตอบแทนกลับ อาจได้ไม่ถึง 5% อย่างนี้เราอาจพิจารณาขายทำกำไรไปก่อนเพื่อรอย่อครับ หรือถ้าผลประกอบการดีขึ้นอาจใช้วิธี let's profit run ไปก่อนได้ การลงทุนแนว vi ต้องได้รับผลตอบแทนสมำ่เสมอ ครับ ไม่ต้องหลายเด่ง แต่อย่าขาดทุนครับ จากคุณ : value invester (value invester) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 54 21:54:37

ความคิดเห็นที่ 71 จะแบบไหนก็ได้  อย่าเล่นแพ้   เป็นใช้ได้ จากคุณ : maruman เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 54 23:39:37