ความคิดเห็นที่ 1 ... แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 54 23:37:42 แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 54 23:34:29 จากคุณ : Inori เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 23:34:07

ความคิดเห็นที่ 2 ... จากคุณ : Inori เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 23:34:58

ความคิดเห็นที่ 3 ภาพประกอบ จากคุณ : Inori เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 23:35:49

ความคิดเห็นที่ 4 ตัวเลขนี้เปรียบเสมือนว่าคุณฝากเงินไว้ -100 บาท ณ ปีที่ 0 (เงินออกใส่เครื่องหมายลบ)แล้วผ่านไป 5 ปีผลตอบแทนทั้งหมดของคุณจะตกปีละกี่ % จากตัวอย่างจะเห็นว่า 4.35% อาจไม่มากแต่ลองคิดต่อดูหน่อยสมมุติว่ากองที่คุณซื้อลงทุนในหุ้น SET50 กระจายตามน้ำหนัก SET50 ต่อให้หุ้นอยู่ที่เดิมกองทุนของคุณจะได้เงินปันผลจากหุ้นใน SET50 ตกปีละประมาณ 3-4% นั่นจะทำให้การลงทุนของคุณเป็นแบบนี้ จากคุณ : Inori เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 23:36:21

ความคิดเห็นที่ 5 จากตัวอย่างนี้มี assumption ว่าคุณได้ dividend กลับมา 3 บาททุกปี แต่ในทางปฏิบัติคุณไม่ได้ แต่รายได้ส่วนนี้จะถูกบันทึกเพิ่มเข้าไปใน NAV ซึ่งก็เปรียบได้ว่าคุณมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นแล้ว เห็นไหมครับว่าผลตอบแทนกลายเป็น 7.61% แล้ว ก็ดูไม่เลวใช่ไหมครับสำหรับตัวอย่างนี้ แต่บางคนอาจบอกว่าถ้าหุ้นลงฉันก็ขาดทุนอยู่ดี อันนี้ไม่เถียงครับนั่นคือความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องแบกรับแต่ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นพนักงานกินเงินเดือนไม่สามารถหลบภาษีได้นี่จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะคุณจะเห็นว่าในระยะยาวตลาดหุ้นขึ้นมาตลอดถ้าคุณซื้อ LTF ทุกปี ปีไหนหุ้นลงมากคุณก็จะได้หุ้นมากเพราะราคาถูก ปีไหนหุ้นขึ้นมากคุณซื้อหุ้นได้น้อยลงแต่คุณก็ยังกำไร ซึ่งในความคิดเห็นผมการที่หุ้นจะลงใน 5 ปีโอกาสมีแต่ไม่มาก และอย่าลืมว่าถ้าปีต่อไปหุ้นลงคุณจะซื้อมันได้มากขึ้น คราวนี้ลองสมมุติว่าคุณลงทุน LTF แล้วไปบอกฝ่าย HR ว่าขอให้เขาลดการหักภาษี ณ ที่จ่ายออกจากเงินเดือนของคุณ เพราะคุณซื้อ LTF แล้วคุณจะได้เงินส่วนนี้กลับคืนมาพอดีทำให้กระแสเงินสดเป็นดังนี้ครับ จากคุณ : Inori เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 23:36:56

ความคิดเห็นที่ 6 ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของคุณมากขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่ซื้อ LTF อย่าลืมบอก HR นะครับ อันนี้ทำมาให้ดูเล่นๆสำหรับท่านที่จ่ายภาษีปีละ 30% จากคุณ : Inori เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 23:37:25

ความคิดเห็นที่ 7 คราวนี้มาว่ากันต่อเรื่องความสามารถในการบริหารกองทุนของผู้จัดการกองทุน ในความเห็นผมคือมันยากมากที่จะชนะตลาดและผลการดำเนินงานของแต่ละกองทุนก็ไม่ค่อยจะชนะตลาด ดังนั้นผมจึงชอบซื้อกองทุน LTF ที่เป็นประเภท passive มากกว่าเพราะจะได้ผลตอบแทนเท่ากับ(ความจริงน้อยกว่านิดๆเพราะมีค่าธรรมเนียมการบริหาร) benchmark เช่น LTF ที่ลงทุนใน set50 ก็จะซื้อหุ้นใน set50 ตาม weight นั่นจะทำให้คุณได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ set50 ไม่ต้องไปลุ้นว่าผู้จัดการจะเก่งไหม ลุ้นว่าตลาดจะเป็นอย่างไรก็พอ อันนี้คร่าวๆครับ ขอทิ้งท้ายไว้ว่าเงินทองต้องใส่ใจนะครับ จากคุณ : Inori เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 54 23:38:28

ความคิดเห็นที่ 8 ฐาน 10% แต่ยังไงก็เอาเงินมาลงทุนในหุ้น จะผ่านกองทุนหรือซื้อเอง ควรซื้อ LTF หรือไม่เพราะยังไงก็ซทื้อแล้วถือว่าอยู่ดี จากคุณ : งุนงง งงงัน เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 54 11:00:54

ความคิดเห็นที่ 9 มีคนเคยพูดว่า ทำอะไร ทำให้ "เข้าใจง่าย หรือ ใช้งานง่าย" อย่างเช่น Ipod เกิดจากความคิดของ สตีป จ๊อป ว่า ทำไมเวลาจะฟังเพลงต้องกดหลายๆ ปุ่ม หลายๆ ครั้ง  ควรจะกดไม่เกิด 3 ครั้งก็ได้ฟังเพลงแล้ว... สำหรับผม LTF ใช้ลดภาษี (ฐาน 20% แบบแก่ๆ)  เรื่องผู้บริหารนั้น ผมไม่ค่อยสนใจครับ สนใจความสะดวกมากกว่า  แต่เวลาที่หุ้นตก ก็สลับไปกองที่เค้า ดีเฟน ไว้เยอะๆ  พอหุ้นจะขึ้น ท่านก็สลับกลับมา  คลิกเมาส์ไม่กี่ที่ ท่านก็จะได้หน่วยลงทุนเพิ่มแล้ว   ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน....ความรู้คืออาวุธ... ซึ่งต้องพิสูจน์ จากคุณ : เขียนบน PC (mahnoitammada) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 54 12:02:48